แสดงกระทู้
|
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to. |
Messages - มานพ
|
หน้า: [1] 2 3
|
9
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: เพื่อน ๆ มีความเห็นกับการระลึกชาต กันอย่างไร ?
|
เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2012, 02:26:49 pm
|
เรื่องระลึกชาติ นั้น เป้นเรื่องที่จะทำให้ทำดี และ หยุดทำชั่วได้ครับ หากเราระลึกได้ เพราะวิบากนี้มาจากกรรมนี้ เราจะได้ เกรงกลัวต่อบาป และสร้างกุศลกันให้มากขึ้น คนที่ทำความชั่วในปัจจุบันนี้ เชื่อว่าเกือบ 100 เปอร์เซ็นไม่เชื่อเรื่องภพ ชาติ กรรมที่ต่อเนื่องกันไป กันมา จึงไม่คิดจะสร้างกุศลหันมาทำความดี กัน ดังนั้นเรื่องการระลึกชาติ นั้น นับว่าเป็นเรื่อง ที่ควรสนับสนุนครับ
|
|
|
12
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พิจารณาอาหาร ของพระคืออย่างไรครับ
|
เมื่อ: ธันวาคม 14, 2011, 10:12:41 am
|
ผมเห็นเวลา พระท่านตั้งโต๊ะเพื่อรับอาหาร ก็เห็นพระเดินเลือกอาหาร ต่าง ๆ ตามความชอบใจ ( เข้าใจอย่างนี้ ) การที่พระ่ท่านเดินเลือกอาหารใส่บาตรไปเพื่อฉันนี้ จัดว่าเป็นการพิจารณา ที่ถูกตามหลักของพระสงฆ์หรือไม่ เพราะท่านเลือกอาหารอันปราณึต ( ชอบใจ ) อาหารอันไม่ปราณีต ( ไม่ชอบใจ ) ไม่ตักดังนั้นทุกท่านมีความเห็น อย่างไร กับการที่พระพิจารณาอาหาร การปัจจเวกขณวิธี ต้องการอย่างนี้หรือครับ เรียนถามสมาชิก ทุกท่านด้วยความสงสัยครับ
|
|
|
14
|
เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ยามที่เราสับสน ผิดหวัง อยู่ในสภาวะเครียด ควรทำอย่างไรดีคะ
|
เมื่อ: ธันวาคม 10, 2011, 04:02:22 pm
|
เจ๊ ratchanee คิดมากไปหรือไม่ ครับ นั่นแน่ ผมเรียก เจ๊ อย่าโกรธ นะครับ เพราะภาษาจีน เจ๊ แปลว่า พี่ นะครับ ผมว่า เจ๊ ratchanee อาจจะคิดมาก และ ตีความผิด ไปก็นะครับ ที่สำคัญ คนฝึกภาวนาธรรม เขาไม่มาหวั่นไหว กับเรื่อง สรรเสริญ หรือ นินทา หรอกครับ ผมว่า หายใจเข้า ฮู่ ๆๆๆๆๆๆๆ หายใจออก ฮ่า ๆๆๆๆๆๆ ดูหนังละคร บ้างก็ได้นะครับ ฟังเพลง อายุ 30 - 40 - 50 ปี ก็ฟังได้ครับ ที่สำคัญ ของดี ไม่ต้องกลัวร้อนครับ ฮั่นแน่ อ่านมาถึงตรงนี้ แล้ว อย่าคิดมาก ยิ้มหน่อยครับ ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม ผมอ่านแล้ว ยังมีความเชื่อว่า เจ๊ คิดมากไปเองครับ ปรุงแต่งเองครับ ระดับเจ๊ ที่ผมติดตามมาในสาย กรรมฐานหลวงปู่มั่น แล้ว ปล่อยวางครับ วาง ๆๆๆๆ แต่ไม่ใช่ทิ้งธุระ นะครับ เพราะตอนนี้ต้องพลิกวิกฤติ เป็นโอกาส ด้วยการพิจาณาธรรม คือ ความเป็นจริง ของสรรเสริญ และ นินทา มีค่าอันใดที่จะทำให้ใจเราต้องยึดเหนี่ยว ส่วนใหญ่ ที่ผมเจอ คือ ไม่ใช่ปล่อยวางครับ จะเป็น ปล่อยทิ้ง คือทอดธุระ ครับ
|
|
|
20
|
ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / สตตวิหารธรรม๑ (ธรรมเป็นเครื่องอยู่เป็นนิตย์ของพระขีณาสพ) ๖
|
เมื่อ: สิงหาคม 31, 2011, 09:36:31 am
|
[๓๒๘] สตตวิหารธรรม๑ (ธรรมเป็นเครื่องอยู่เป็นนิตย์ของพระขีณาสพ) ๖ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ๑. เห็นรูปทางตาแล้ว เป็นผู้ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ ๒. ฟังเสียงทางหูแล้ว เป็นผู้ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ ๓. ดมกลิ่นทางจมูกแล้ว เป็นผู้ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ ๔. ลิ้มรสทางลิ้นแล้ว เป็นผู้ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ ๕. ถูกต้องโผฏฐัพพะทางกายแล้ว เป็นผู้ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ ๖. รู้แจ้งธรรมารมณ์ทางใจแล้ว เป็นผู้ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค [๑๐. สังคีติสูตร] สังคีติหมวด ๖
|
|
|
21
|
ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: มีคำกล่าวว่า ถ้าต้องการศึกษาให้เห็นจริงในธรรม ให้ศึกษาที่ตัวเราเอง
|
เมื่อ: สิงหาคม 21, 2011, 12:27:40 pm
|
เริ่มจาก ต้องรู้ว่า หลัก คืออะไร ถ้าจับหลักไม่ได้ก็เคว้ง หลัก คืออะไร ก็เช่น ศานาพุทธมีเป้าหมายอย่างไร เพื่ออะไร ทำอย่างไร สำหรับ ผมยึดจาก "โอวาทปาฏิโมกข์" ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญเพื่อเข้าถึงจุดมุ่งหมายของพระพุทธศาสนา ได้แก่ 1. การไม่ทำบาปทั้งปวง 2. การทำกุศลให้ถึงพร้อม 3. การทำจิตใจให้บริสุทธิ์ 1. การไม่ทำบาปทั้งปวง - งดเว้นจากอกุศลกรรมบภ 10 2. การทำกุศลให้ถึงพร้อม - บุญกิริยาวัตถุ 10 3. การทำจิตใจให้บริสุทธิ์ - ปฏิภาวนา : สมถะภาวนา แล วิปัสสนาภาวนา ลอง ไปศึกษาดูสิ่งทั้ง 3 อย่างนี้นะครับ ว่าในแต่ละหัวข้อมีรายละเอียดอะไรบ้าง แล้วปฎิบัติสิ่งนี้ไป ผลที่ได้คืออะไร แล้ววิธีปฎิบัติทำอย่างไร รวมทั้งจุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนาคืออะไร ลองไปค้นคว้ามาก่อนนะครับ
|
|
|
27
|
ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / หนีเสือ ปะจระเข้ วัดเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้แล้วครับ
|
เมื่อ: เมษายน 23, 2011, 05:15:43 pm
|
คนที่เป็น อุบาสก อุบาสิกา ยามทำงานก็ต้องขวนขวาย ก็ประกอบด้วยความทุกข์อยู่แล้ว เมื่อมีควาทุกข์ก็หาทางที่จะให้ใจสงบลง ด้วยการเข้าวัดทำบุญ ภาวนามาก ๆ ขึ้น แต่สุดท้ายพอเข้าไปในวัดกับต้องไปพบเรื่องของพระ ที่สารพัดจะให้ทุกข์ไม่ว่า เรื่องการขอให้ทำผ้าป่า ทำกฐิน สร้างนั้น สร้างนี้ หนักที่สุดแทนที่จะได้สนทนาธรรมกับพระ พระกับคุยเรื่องโลกให้เราปวดหัว บางครั้งกลายเป็นเรื่องพระ ทะเลาะกัน ในเรื่องต่าง ๆ กรรมจริง ๆ ครับใจเป็นทุกข์เข้าวัด เพื่อให้ใจสงบ แต่กับเหมือนเข้าวัด พาใจให้เศร้าหมอง อีก อย่้างนี้ เหมือนหนีเสือ ปะจระเ้ข้า หรือไม่ครับ พี่น้อง
|
|
|
28
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โอม~ คำนี้เจ๋งกว่าที่คุณคิด
|
เมื่อ: เมษายน 21, 2011, 06:54:31 pm
|
มีคนให้วาดสัญลักษณ์ "โอม" ให้ แต่แรกก็ไม่มั่นใจว่าจะวาดได้ไม๊แต่สุดท้ายออกมาก็ค่อนข้างชอบ แบบปรับสีในคอม(บ่ได้ปรับเอง^^) ไหนๆ ก็เอา"โอม" มาลงแล้ว ไม่ให้เสียเที่ยวก็เลยเอาเกร็ดเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับคำนี้มาฝาด้วย ไม่อยากพูดในเชิงศาสนาให้เกิดกังขาในอารมณ์...และเราก็ไม่ได้เชี่ยว-_-" แต่ยังไงก็ต้องเกริ่นพาดพิงหน่อยนะ "โอม" เป็นคำศักดิ์สิทธิ์ในศาสนฮินดู แต่รู้รึเปล่าว่าคำนี้มีพลังและมีความหมายมากกว่านั้น ตามความเชื่อของฮินดู "โอม" มาจากตัวอักษร 3 ตัวประกอบกันนั่นก็คือ อะ - อุ - มะ ซึ่งหมายความถึงพระนามของมหาเทพสูงสุด3 พระองค์คือ อะ คือ พระศิวะ อุ คือ พระวิษณุ มะ คือ พระพรหม มาถึงตรงนี้แล้วสงสัยมะ ว่าจากชื่อแล้วย่อยังไงถึงเป็น 3 คำนี้ได้ ได้สิ! เพราะมาจากพยางค์ท้ายขอชื่อน่ะเอง พระ(ศิว)อะ พระ(วิษณ)อุ และ (พระพรห)มะ ในทางพุทธ สมเด็จพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 ทรงดัดแปลงคติเรื่องโอม จากของฮินดูมาเป็นพุทธ โดยทรงอธิบายว่า อะ มาจาก อรหํ (พระอรหันต์) หมายถึงพระพุทธเจ้า อุ. มาจาก อุตฺตมธมฺม (ธรรมสูงสุด) หมายถึง พระธรรม ม. มาจาก มหาสงฺฆ (สงฆ์หมู่ใหญ่) หมายถึงพระสงฆ์ รวมแล้วเป็นพระรัตนตรัยนั่นเอง พอ~......เรื่องศาสนาดีกว่า ลองมามองแบบวิทยาศาสตร์บ้าง อันนี้มันเกี่ยวเนื่องกับเรื่องเสียงบำบัด ที่จริงเคยอ่านเรื่องนี้เมื่อนานมาแล้ว ด้วยสมองปลานิล(ทอง!) ของเราจึงจำได้รางๆ เท่านั้น555 เค้ามีพูดถึงเสียงต่างๆ [เช่น อา อู โอ อี ฯลฯ] ว่ามันมีธรรมชาติของคลื่นเสียงที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลกระทบ หรือกระตุ้นประสาท อวัยวะ หรือจักระในร่างกายเราในแบบต่างๆ กัน จำได้อยู่ตัวอย่างนึงคือเสียงคำว่าฉี่ อย่างเวลาทำเสียง ชี่ ชี่ กระตุ้นให้เด็กทารกฉี่ ก็เป็นเพราะคลื่นเสียงลักษณะนี้มันช่วยกระตุ้นร่างกายบริเวณกระเพาะปัสสาวะอะไรประมาณนั้น คิดแล้วก็ปวดฉี่....เฮ้ย! อุปทานนอกเรื่องแล้ว!! ต่อๆ ในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ "โอม" เป็นเสียงที่เกิดจากการผสมจากเสียง 7 เสียง คือ โอ อู อา เอ อี อือ อึม ซึ่งจะส่งผลสั่นสะเทือนจักระ 6 จุดในร่างกาย (ร่างกายมนุษย์มี 7 จักระ แต่อันนี้ยกเว้นจักระที่ 1 คือบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์กับทวารหนัก) เสียง โอ และ อู แรงสั่นสะเทือนอยู่ที่ ท้อง เสียงอา แรงสั่นสะเทือนอยู่ที่ หัวใจ เสียง เอ สั่นสะเทือนที่คอ เสียง อี สั่นสะเทือนที่หน้าผาก เสียง อือ และ อึม สั่นสะเทือนที่จอมประสาท และทั่วศีรษะ ดังนั้นเวลาที่เราเปล่งเสียงคำว่า โอมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม ให้ออกมาจากท้อง จึงเป็นการบริหารจักระ หรือเป็นการบริหารระบบประสาทนั่นเอง เรื่องนี้สัมพันธ์กับการที่ในบทสวดต่างๆ ซึ่งมีเสียงต่างๆ เหล่านี้อยู่ เวลาที่คนเรารู้สึกไม่สบายใจ เมื่อเปล่างเสียงบทสวดจึงเป็นการช่วยคลายความคับข้องหมองใจไปได้ในระดับนึง ถ้าใครไม่เชื่อเรื่องพลังของคลื่นเสียงว่ามันมีผลกับร่างกายและจิตใจเราจริงๆ แนะนำให้ลองไปอ่านเอนทรี่นี้ดู >>> http://--ame--.exteen.com/20081105/messages-from-water ขอบคุณข้อมูล ติดตามอ่านได้ใน http://--ame--.exteen.com/20090315/entry
|
|
|
29
|
ธรรมะสาระ / ห้อง_ด า ว น์ โ ห ล ด / Re: เพลงช่วยดำเนินสมาธิ เปิดจักระ
|
เมื่อ: เมษายน 21, 2011, 06:49:23 pm
|
จักระทั้ง7เป็นอย่างไร
จักระ 1 (ดอกบัว 4 กลีบ) มีชื่อว่า มูละธารณะ - อยู่ระหว่างอวัยวะเพศ และทวารหนัก - เป็นรากฐานของระบบจักระ หรือระบบพลังงาน เป็นพื้นฐานของพลังชีวิต และเป็นกลไกที่ทำให้สืบทอดพันธุ์เป็นมนุษย์อยู่ในโลกทุกวันนี้ - ผู้ที่ปฏิบัติได้ถึงระดับสูงสุด จักระนี้จะเปิดเองโดยอัตโนมัติ จักระ 2 (ดอกบัว 6 กลีบ) ชื่อว่า สวาธิษฐานะ - อยู่ตรงปลายก้นกบ เป็นศูนย์กลางเกี่ยวกับพลังทางเพศ รวมทั้งความเชื่อมั่นในตนเอง - ควบคุมระบบการสืบพันธุ์, การขับกากอาหารและของเสียออกจากร่างกาย (ระบบการขับถ่าย) รวมทั้งการตั้งครรภ์และการคลอด - ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับอัณฑะ, ท่อปัสสาวะ, อวัยวะสืบพันธุ์, มดลูก, รังไข่, ช่องคลอด, ทวารหนัก, กามโรค จักระ 3 (ดอกบัว 8 กลีบ) มีชื่อว่า มณีปุระ - อยู่ตรงแนวสะดือตัดกับกระดูกสันหลัง เป็นศูนย์กลางของการหยั่งรู้ ณ จุดนี้เป็นศูนย์กลางของร่างกาย - ควบคุมระบบการย่อยอาหารและการขับถ่ายของเสีย - ใช้รักษากระเพาะอาหาร, ลำไส้ใหญ่, ลำไส้เล็ก, ลำไส้อ่อน, ลำไส้แก่, ไส้ติ่ง, ตับ, ม้าม, ดี, กระเพาะปัสสาวะ, ไต, โรคเบาหวาน, ถุงน้ำดี, ต่อมหมวกไต จักระ 4 (ดอกบัว 10 หรือ 12 กลีบ) ชื่อว่า อะนาหตะ - อยู่ตรงแนวหัวใจตัดกับกระดูกสันหลัง เป็นศูนย์รวมของความรักที่แท้จริง รวมทั้งการพัฒนาจิตใจ ด้วยความเมตตากรุณา และความเสียสละ - ควบคุมระบบหมุนเวียนโลหิต, หัวใจและระดับไขมันในเส้นเลือด - ใช้รักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจโต, หัวใจเล็ก, หัวใจรั่ว, ความดันโลหิตสูง, ไขมันในเส้นเลือด, หัวใจเต้นอ่อนและเหนื่อยเร็ว จักระ 5 (ดอกบัว 16 กลีบ) ชื่อว่า วิศทะ - ความรัก ความเห็นอกเห็นใจ ความสมดุลของสติปัญญา - อยู่ตรงบริเวณเส้นแนวไหล่ตัดกับกระดูกสันหลัง - ควบคุมระบบทางเดินหายใจ และผิวหนัง - ใช้รักษาโรคปอด, หลอดลม, ลำคอ, ไซนัส, ต่อมผิวหนัง, หลอดลมอักเสบ, หอบหืด, ไอ, จมูก, ผื่นคัน, โรคผิวหนัง จักระ 6 (ดอกบัว 2 กลีบใหญ่ และกลีบย่อย 100 กลีบ) ชื่อว่า อะชะ - อยู่ตรงกลางหน้าผาก เปรียบเสมือนนัยน์ตาของปัญญา ใช้เป็นตาที่ 3 (ญาณวิเศษ) สำหรับการติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน ห้าม ผู้สำเร็จ ระดับ1, 2,3,4 และ 5 ใช้จักระนี้ในการรักษาโรคอย่างเด็ดขาด - ควบคุมสติปัญญา, ความนึกคิด, ความเฉลียวฉลาด, และระบบประสาท - ผู้ที่เรียนถึงระดับ 5 จะใช้จักระนี้ทำสมาธิเท่านั้น (ถ้ารักษาโรคด้วยจักระนี้ จักระที่เปิดไว้ทุกจักระจะปิด) จักระ 7 (ดอกบัว 1,000 กลีบ) ชื่อว่า สหสราระ - อยู่ตรงกลางกระหม่อมหรือจุดตัดของเส้นที่ลากจากปลายจมูก ผ่านกลางหน้าผาก ตัดกับเส้นที่ลากจากหูซ้ายไปหูขวา เปรียบเสมือนมงกุฎดอกบัว - ควบคุม ระบบประสาททั้งหมดของร่างกาย เป็นศูนย์ควบคุมทุกจักระ เป็นจุดรับพลังจักรวาล และทำการกระจายไปทั่วร่างกาย เป็นจุดที่ สามารถรักษาอาการเจ็บป่วย ที่จักระอื่นไม่สามารถรักษาได้โดยตรง - ใช้รักษาเส้นประสาท, สมอง, ตา, หู, อวัยวะในช่องปาก, โรคเจ็บป่วยซึ่งเกี่ยวกับระบบประสาททั่วไป ที่อยู่นอกเครือข่ายของ จักระอื่น เช่น ระบบกล้ามเนื้อ, ไทรอยด์, ต่อมทอนซิล, กล่องเสียง จักร ทั้ง 7 นี้ทำหน้าที่ควบคุม จิต จิตใต้สำนึก อารมณ์ ปัญญา เป็นต้น เซลล์พิเศษของสมอง เรียกว่า ไมโครเซลล์ ไมโครเซลล์นี้ จะฉายแสงสีเหลืองเป็นประกายและสั่นไหวอย่างรุนแรง เป็นหลักการสั่นไหว เมื่อผู้ฝึกสมาธิ และจะสั่นไหวแรงขึ้น เมื่อ ฝึกในระดับที่สูงขึ้น จนขยายไปทุกส่วนของอวัยวะในร่างกายในทั่วร่าง และถ้าหากผู้ฝึกสามารถสั่งสมเพิ่มพลังงานให้มากขึ้น ไมโครเซลล์เหล่านี้ จะมีลักษณะเฉพาะที่เรียกว่า กายทิพย์ และกายทิพย์นี้ เป็นเหมือนเครื่องมืออเนกประสงค์เลยทีเดียว บางที่อาจสร้างความมหัศจรรย์ของมนุษย์ได้ครับ
จากหลัก การสั่นไหว มากับพลังจักรวาล มาอีกหลักหนึ่งคือ การหมุน หรือการเคลื่อนไหวเป็นทรงกลม ดูดพลังจักรวาล เข้ามาเพื่อเป็นกลไกการทำงาน คน โบราณได้ค้นพบว่า รูปทรงต่าง ๆ บางรูปเปล่งหรือปล่อยพลังจักรวาลออกมาเองโดยอัตโนมัติ และแรงกว่าธรรมดา ที่เป็นเช่นนี้เพราะพลังจักรวาลเป็นอนุภาคที่มีขนาดเล็กมาก และเป็นทรงกลมที่หมุนอยู่ตลอดเวลา เมื่ออนุภาคมาเกาะตัวกันมันก็หมุน โดยเคลื่อนไหวของอนุภาคเหล่านี้ก็จะเกิดการถ่ายเทพลังงาน และนำไปสู่รูปทรงที่ต่างกันย่อมก่อให้เกิดคลื่น ของจักรวาลที่ต่างกันออกไป ปราณ เป็นสิ่งค้ำจุนสรรพสิ่งในจักรวาล ดังนั้น ย่อมสามารถนำมันมาใช้เพื่อการพัฒนาชีวิตและจิตวิญญาณของคนได้แน่นอนครับ การ หมุน การหมุน จะถ่ายเทพลังงานตามหลักการสั่นไหวร่วมกัน เห็นได้ชัด ตามตัวอย่างทั่วไป ก็คือ พายุ ไต้ฝุ่น ซึ่งหมุนซ้ายทวนเข็มนาฬิกา และเวลาผ่านไป มันจะรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ การหมุนนี้ ก็คล้ายกับวิชาอื่น ก็คือ ไทเก็ก และ ฝ่ามือมังกรแปดทิศ ก็มีการเคลื่อนไหว เป็นวงกลม และถ้ายิ่งฝึกวิชามังกรแปดทิศ พลัง รวมถึง ดูดซับพลังจักรวาลด้วยแล้ว พลังก็จะเพิ่มเป็นทวีคูณเลยครับ
ที่มา :http://www.dhammakid.com/http://www.jomvet.com/forum/index.php?topic=435.0
|
|
|
30
|
ธรรมะสาระ / ห้อง_ด า ว น์ โ ห ล ด / Re: เพลงช่วยดำเนินสมาธิ เปิดจักระ
|
เมื่อ: เมษายน 21, 2011, 06:46:36 pm
|
จักระทั้ง7เป็นอย่างไร จักระ 1 (ดอกบัว 4 กลีบ) มีชื่อว่า มูละธารณะ - อยู่ระหว่างอวัยวะเพศ และทวารหนัก - เป็นรากฐานของระบบจักระ หรือระบบพลังงาน เป็นพื้นฐานของพลังชีวิต และเป็นกลไกที่ทำให้สืบทอดพันธุ์เป็นมนุษย์อยู่ในโลกทุกวันนี้ - ผู้ที่ปฏิบัติได้ถึงระดับสูงสุด จักระนี้จะเปิดเองโดยอัตโนมัติ จักระ 2 (ดอกบัว 6 กลีบ) ชื่อว่า สวาธิษฐานะ - อยู่ตรงปลายก้นกบ เป็นศูนย์กลางเกี่ยวกับพลังทางเพศ รวมทั้งความเชื่อมั่นในตนเอง - ควบคุมระบบการสืบพันธุ์, การขับกากอาหารและของเสียออกจากร่างกาย (ระบบการขับถ่าย) รวมทั้งการตั้งครรภ์และการคลอด - ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับอัณฑะ, ท่อปัสสาวะ, อวัยวะสืบพันธุ์, มดลูก, รังไข่, ช่องคลอด, ทวารหนัก, กามโรค จักระ 3 (ดอกบัว 8 กลีบ) มีชื่อว่า มณีปุระ - อยู่ตรงแนวสะดือตัดกับกระดูกสันหลัง เป็นศูนย์กลางของการหยั่งรู้ ณ จุดนี้เป็นศูนย์กลางของร่างกาย - ควบคุมระบบการย่อยอาหารและการขับถ่ายของเสีย - ใช้รักษากระเพาะอาหาร, ลำไส้ใหญ่, ลำไส้เล็ก, ลำไส้อ่อน, ลำไส้แก่, ไส้ติ่ง, ตับ, ม้าม, ดี, กระเพาะปัสสาวะ, ไต, โรคเบาหวาน, ถุงน้ำดี, ต่อมหมวกไต จักระ 4 (ดอกบัว 10 หรือ 12 กลีบ) ชื่อว่า อะนาหตะ - อยู่ตรงแนวหัวใจตัดกับกระดูกสันหลัง เป็นศูนย์รวมของความรักที่แท้จริง รวมทั้งการพัฒนาจิตใจ ด้วยความเมตตากรุณา และความเสียสละ - ควบคุมระบบหมุนเวียนโลหิต, หัวใจและระดับไขมันในเส้นเลือด - ใช้รักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจโต, หัวใจเล็ก, หัวใจรั่ว, ความดันโลหิตสูง, ไขมันในเส้นเลือด, หัวใจเต้นอ่อนและเหนื่อยเร็ว จักระ 5 (ดอกบัว 16 กลีบ) ชื่อว่า วิศทะ - ความรัก ความเห็นอกเห็นใจ ความสมดุลของสติปัญญา - อยู่ตรงบริเวณเส้นแนวไหล่ตัดกับกระดูกสันหลัง - ควบคุมระบบทางเดินหายใจ และผิวหนัง - ใช้รักษาโรคปอด, หลอดลม, ลำคอ, ไซนัส, ต่อมผิวหนัง, หลอดลมอักเสบ, หอบหืด, ไอ, จมูก, ผื่นคัน, โรคผิวหนัง จักระ 6 (ดอกบัว 2 กลีบใหญ่ และกลีบย่อย 100 กลีบ) ชื่อว่า อะชะ - อยู่ตรงกลางหน้าผาก เปรียบเสมือนนัยน์ตาของปัญญา ใช้เป็นตาที่ 3 (ญาณวิเศษ) สำหรับการติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน ห้าม ผู้สำเร็จ ระดับ1, 2,3,4 และ 5 ใช้จักระนี้ในการรักษาโรคอย่างเด็ดขาด - ควบคุมสติปัญญา, ความนึกคิด, ความเฉลียวฉลาด, และระบบประสาท - ผู้ที่เรียนถึงระดับ 5 จะใช้จักระนี้ทำสมาธิเท่านั้น (ถ้ารักษาโรคด้วยจักระนี้ จักระที่เปิดไว้ทุกจักระจะปิด) จักระ 7 (ดอกบัว 1,000 กลีบ) ชื่อว่า สหสราระ - อยู่ตรงกลางกระหม่อมหรือจุดตัดของเส้นที่ลากจากปลายจมูก ผ่านกลางหน้าผาก ตัดกับเส้นที่ลากจากหูซ้ายไปหูขวา เปรียบเสมือนมงกุฎดอกบัว - ควบคุม ระบบประสาททั้งหมดของร่างกาย เป็นศูนย์ควบคุมทุกจักระ เป็นจุดรับพลังจักรวาล และทำการกระจายไปทั่วร่างกาย เป็นจุดที่ สามารถรักษาอาการเจ็บป่วย ที่จักระอื่นไม่สามารถรักษาได้โดยตรง - ใช้รักษาเส้นประสาท, สมอง, ตา, หู, อวัยวะในช่องปาก, โรคเจ็บป่วยซึ่งเกี่ยวกับระบบประสาททั่วไป ที่อยู่นอกเครือข่ายของ จักระอื่น เช่น ระบบกล้ามเนื้อ, ไทรอยด์, ต่อมทอนซิล, กล่องเสียง จักร ทั้ง 7 นี้ทำหน้าที่ควบคุม จิต จิตใต้สำนึก อารมณ์ ปัญญา เป็นต้น เซลล์พิเศษของสมอง เรียกว่า ไมโครเซลล์ ไมโครเซลล์นี้ จะฉายแสงสีเหลืองเป็นประกายและสั่นไหวอย่างรุนแรง เป็นหลักการสั่นไหว เมื่อผู้ฝึกสมาธิ และจะสั่นไหวแรงขึ้น เมื่อ ฝึกในระดับที่สูงขึ้น จนขยายไปทุกส่วนของอวัยวะในร่างกายในทั่วร่าง และถ้าหากผู้ฝึกสามารถสั่งสมเพิ่มพลังงานให้มากขึ้น ไมโครเซลล์เหล่านี้ จะมีลักษณะเฉพาะที่เรียกว่า กายทิพย์ และกายทิพย์นี้ เป็นเหมือนเครื่องมืออเนกประสงค์เลยทีเดียว บางที่อาจสร้างความมหัศจรรย์ของมนุษย์ได้ครับ http://www.dhammakid.com/board/ano/annacoaooonaa-aad-nadne-7/
|
|
|
32
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ปลูกต้นไม้เพิ่มอากาศบริสุทธิ์ในบ้าน
|
เมื่อ: เมษายน 21, 2011, 06:33:07 pm
|
ต้นจั๋ง(Lady Palm) จั๋ง (Lady Palm) จั๋งเป็นไม้ประดับในอาคาร อีกชนิดหนึ่งที่สวยงาม ทนทาน และดีที่สุดในการช่วยปรับปรุงคุณภาพของอากาศในอาคาร และมีคุณสมบัติในการดูดไอระเหยของสารเคมีต่างๆ ได้ดีเท่าต้นหมากเหลืองที่เคยเสนอไปแล้ว จั๋งมีคุณสมบัติเฉพาะเหมือนหมากเหลือง คือ ดูดหรือสะสมเกลือ และแร่ธาตุต่างๆ ไปไว้ที่ปลายใบ ทำให้ปลายใบอาจแห้งหรือเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ถ้าจะให้สวยงามต้องหมั่นใช้กรรไกรขลิบปลายใบออก ต้นจั๋งนี้ชอบความชื้นเหมือนต้นไม้ตระกูลหมากทั่วไป และจากลักษณะที่โตช้าทำให้เป็นต้นไม้ที่ดูแลง่าย ไม่ต้องเปลี่ยนกระถางบ่อย จั๋งไทยด่าง ชื่อสามัญ Lady palm ชื่อวิทยาศาสตร ์ Rhapis exclesa ตระกูล PLAMAE ถิ่นกำเนิด ไทย จีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย ลักษณะทั่วไป จั๋งเป็นปาล์มที่มีขนาดเล็ก ลำต้นมีขนาดเท่าหัวแม่มือหรือใหญ่กว่าเล็กน้อย โดยทั่วไปมีเส้นผ่าศูนย์กลาง ไม่เกิน2 นิ้ว ลำต้นเป็นกอคล้ายไผ่ มีความแข็งแรงมาก กอหนึ่งจะสูงประมาณ 3-5 เมตร ใบมีสีเขียวเข้ม เป็นมันรูปใบพัด และมีใบย่อยแตกออกจากกันเป็นแฉกลึก ใบ 1 ใบจะมีใบย่อยประมาณ 5-10 ใบ ก้านใบเล็ก มีสีเขียวและแข็งยาวประมาณ 12 นิ้ว การดูแลรักษา แสง ชอบแสงแดดมาก น้ำ ต้องการน้ำพอประมาณ ดิน เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุย ปุ๋ย ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ปีละ 2 ครั้ง การขยายพันธ ุ์ โดยการเพาะเมล็ดและแยกหนอ (การเพาะเมล็ดจะได้รูปทรงที่สวยงามกว่า) โรคและแมลง ทนทานต่อโรคและแมลงได้ดี http://www.kroobannok.com/7580
|
|
|
35
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เครื่องดื่ม ยามเช้า ที่ควรสนใจครับ
|
เมื่อ: มีนาคม 04, 2011, 11:01:42 am
|
ใน ตอนเช้าๆ หลายๆ คนคงต้องการที่จะหาอะไรดื่มก่อนทำงาน เพื่อให้ร่างกายมีพลังในการทำกิจกรรมต่างๆ เราเลยหาเครื่องดื่มที่เหมาะสมกับเช้าวันใหม่มาแนะนำกัน
น้ำมะนาว ลองหาน้ำมะนาวดื่มตอนเช้า เพราะในน้ำมะนาวจะมีกรดกรดซิตริกมีวิตามินซีที่นอกจากจะช่วยขับเสมหะ แก้อาการเจ็บคอแล้วยังช่วยให้ร่างกายสดชื่น แถมกลิ่นหอมอ่อนๆ จากเปลือกที่โดนคั้นยังช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายได้ดีอีกด้วย
น้ำขิง สำหรับ คนที่มีอาการเมาค้าง คลื่นไส้ อยากอาเจียน ก็ขอแนะนำน้ำขิงร้อนๆ สักแก้วเพราะในขิงมีสารเคมีชนิดที่เรียกว่า “จินเจอรอล” (Gigeyol) ที่เป็นสารเคมีประเภทน้ำมันหอมระเหยที่ให้รสและกลิ่นพิเศษไม่เหมือนใคร จัดอยู่ในกลุ่มแอลกอฮอล์ที่ไม่ทำให้เรารู้สุกมึนเมา แถมยังแก้อาการเมาได้ดี การทำน้ำขิงให้อร่อยนั้น ควรบุหัวขิงที่ไม่แก่จัดจนเกินไป ต้มด้วยน้ำร้อนพอเดือดอย่าต้มนานเกินไป เพราะขิงจะเสียรสและกลิ่นไปได้
น้ำผักและผลไม้ เป็นเครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยวิตามินหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินซี วิตามินเอ โฟลิคแอซิค และแร่ธาตุ เช่น โซเดียม โปแตสเซียม สังกะสี นอกจากนั้นในน้ำผักและผลไม้ยังมีส่วนผสมของน้ำตาลโดยธรรมชาติ ซึ่งสามารถให้พลังงานแก่ร่ายกาย ช่วยให้เราหายเหนื่อยหายเพลีย ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น
น้ำหวาน คนที่นอนดึกส่วนใหญ่ยามเช้าของคุณจะมีอาการปวดหัว มึนศีรษะ เกิดอาการเครียดทางประสาท ซึ่งอาจเป็นเพราะร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ควรรับประทานอาหารเช้าที่มีแป้งและน้ำตาลซึ่งจะสามารถช่วยได้ โดยเฉพาะน้ำตาลนั้นจะถูกดูดซึมได้ดีและง่าย ดังนั้นน้ำหวานจะทำให้จิตใจสงบ คลายอาการเครียดและมึนงงได้อย่างดี
นมถั่วเหลือง ปัจจุบันนมถัวเหลืองหาซื้อได้ง่าย และเหมาะสมสำหรับคนที่รักสุขภาพ เพราะนมถัวเหลืองเป็นเครื่องดื่มที่ให้โปรตีนที่มีคุณสมบัติเหมือนโปรตีนจาก เนื้อสัตว์ อุดมไปด้วย คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ, บี, บี1, บี2, บี6, บี12 ในเมล็ดถั่วเหลืองนั้นยังมีเลซิทิน ซึ่งเป็นสารบำรุงสมอง เพิ่มความทรงจำ ลดไขมันและลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย นมถั่วเหลืองยังช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน โรคหัวใจล้มเหลว ท้องผูก สามารถลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งในลำไส้ ริดสีดวง ลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้อีกด้วย
กาแฟ กาแฟเป็นเครื่องดื่มยามเช้าของคนทำงาน เพราะกาแฟช่วยกระตุ้นความสดชื่นและความกระปี้กระเปร่าก่อนลงมือทำงาน นอกจากนี้ยังสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่ ลดอาการหอบในผู้ที่เป็นโรคหอบหืด และเป็นผลดีต่อนักกีฬาในการเพิ่มความทนทานและความอืดในกีฬาที่ต้องใช้เวลา นาน
|
|
|
39
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โรงเรียนต้นแบบ สร้างเด็กด้วยธรรมะ รายงานพิเศษ มานิตย์ สนับบุญ
|
เมื่อ: มกราคม 18, 2011, 12:16:56 pm
|
การ กระจายอำนาจการศึกษาในทุกระดับทั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทำให้เกิดการจัดการด้านการศึกษาด้วยประชาชนเองอย่างคึกคัก ตามแผนการศึกษาแห่งชาติที่เป็นแม่บท โรงเรียนเทศบาล 5 (บดินทรเดชาประ สิทธิ์) สังกัดเทศบาลเมืองปราจีนบุรี อ.เมือง เป็นสถานศึกษาเล็กๆ ที่โดดเด่นน่าจับตามองในการจัดการศึกษาที่เน้นเด็กเป็นศูนย์กลางให้เป็นคนดี คนเก่ง เรียนรู้อย่างมีความสุขอย่างแท้จริง ด.ญ.อภิระมณ พูลธนพันธุ์ ประธาน นักเรียน อายุ 12 ปี บอกว่า โรงเรียน คณะครู เพื่อนๆ และน้องๆ กว่า 140 คน ตั้งแต่ระดับอนุบาล-ป.6 จะร่วมกันเข้าวัดทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ฟังธรรมทุกวันพระ ที่วัดแจ้ง ตั้งอยู่ตรงข้ามกับโรงเรียน โดยนักเรียนนำปิ่นโตใส่ข้าว อาหารคาว-หวาน ดอกไม้ธูป เทียนมาร่วม ทำ ให้เรารู้จักการกราบพระ ไหว้บุคคล การกล่าวอาราธนาศีล อาราธนาธรรม การใส่บาตร การกรวดน้ำ ส่วนวันศุกร์จะรวมนักเรียนทุกระดับชั้นมาร่วมสวดมนต์ไหว้พระ พร้อมกับโรงเรียนได้นิมนต์พระมาเทศน์ สอนหลักธรรมเพื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ด.ญ.อภิระมณ เล่าอีกว่า แต่ละวันโรงเรียนได้จัดให้นักเรียนปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน 10 อย่าง เมื่อกลับบ้านแล้วให้นักเรียนบันทึกการปฏิบัติลงสมุดบันทึกความดี คือ สวดมนต์ก่อนนอน นั่งสมาธิ 15 นาที เก็บที่นอนตอนเช้า แต่งกายสุภาพ สมาทานศีล 5 ออมบุญ ช่วยงานบ้านและงานโรงเรียน อ่านหนังสือที่มีประโยชน์ กราบพ่อ-แม่ โดยให้พ่อแม่ผู้ปกครอง ร่วมประเมินผล อันเป็นการสร้างวินัย ฝึกระเบียบ ร่วมกันระหว่างบ้านกับโรงเรียน ส่วนช่วงหลังออกพรรษา จะนำนักเรียนร่วมทอดกฐินสามัคคี ปฏิบัติศาสนพิธี การแห่กฐินร่วมกับชุมชนและนำกล่าวอาราธนาศีล ถวายกฐิน ตลอดจนร่วมพิธีทางศาสนาอื่นๆ เช่น แห่เทียนเข้าพรรษา หรือปัดกวาดลานวัด ทั้งยังมีค่ายธรรมะวัยใสใจสะอาดในการปฏิบัติธรรมร่วมกันกับสถานศึกษาอื่นๆ ด.ญ.อภิ ระมณ เล่าว่า กิจกรรมต่างๆ ที่ได้ร่วมปฏิบัตินั้นจะมีการรวบรวมเผยแพร่ข่าวสาร ข้อเสนอแนะผ่านหนังสือพิมพ์ทำมือ ที่ได้เขียนด้วยลายมือและภาพวาด และนำมาแปะแผ่นฟีเจอร์บอร์ดลักษณะหนังสือพิมพ์กำแพง สะท้อนผลงานและประชาสัมพันธ์กิจ กรรมที่ได้ทำแต่ละอย่างด้วย "อยาก ให้ผู้ใหญ่เห็นความสำคัญของเด็กและเยาวชน การให้งบประมาณ หรืออุปกรณ์จัดการศึกษาให้มากขึ้น อาทิ อุปกรณ์การกีฬา อุปกรณ์การเรียนการสอน อยากให้ลงมาร่วมกิจกรรมกับเด็กและเยาวชนให้มากกว่าปัจจุบัน" ด้านนาง ศิริวรรณ สัตยธีรานนท์ ผู้อำนวยการโรงเรียน กล่าวว่า กิจกรรมดังกล่าว เป็นการร่วมฟื้นฟูศีลธรรมสู่เด็กและเยาวชน ที่เป็นโครงการร่วมระหว่างโรงเรียน บ้าน วัดและชุมชนให้ศีลธรรมกลับคืนมา นอก จากวิชาการความรู้ที่เด็กพึงได้รับ โดยผลสำเร็จนี้เด็กและเยาวชนเป็นผู้ได้รับจากการจัดการศึกษาที่ครู สถานศึกษา ผู้ปกครอง ร่วมกันดูแล เป็นอีกนิมิตหมายของท้องถิ่นที่จะสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีคุณธรรมและศีลธรรม ขึ้นมา กิจกรรมจัดการศึกษาและผลงานที่เด็กและเยาวชนได้ร่วมกับครู สถานศึกษา เป็นอีกบริบทแห่งการจัดการศึกษาโดยท้องถิ่นที่ดูแล้วไม่ธรรมดาเลย ที่มา ข่าวสด
|
|
|
40
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ต้าน"โรคหวัด"..ด้วยอาหาร 7 อย่าง
|
เมื่อ: มกราคม 18, 2011, 12:11:25 pm
|
ต้าน"โรคหวัด"..ด้วยอาหาร 7 อย่าง
อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ดูเหมือนว่าคนใกล้ตัวจะเป็นหวัดกันมากขึ้น มาป้องกันหวัดด้วยวิธีง่ายๆ กับอาหาร 7 อย่างที่ช่วยต้านหวัด
1.โยเกิร์ต ไม่ ว่าจะกินเปล่า ๆ หรือกินคู่กับซีเรียล และผลไม้ โยเกิร์ตก็เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตนับล้าน ที่ปกป้องร่างกายจากแบคทีเรียอันตรายและเชื้อโรคต่าง ๆ ที่จะเข้ามาทำร้ายเรา พวกมันเหมือนกองทหารที่อยู่ในลำไส้ คอยขับไล่สิ่งแปลกปลอมที่คิดร้าย โดยกองทหารพวกนี้ มีชื่อคุ้นหูว่า 'โปรไบโอติกส์' ทั้งแล็กโตบาซิลลัส และไบไฟโดแบคทีเรียม ซึ่งจะไปเพิ่มเม็ดเลือดขาว ในร่างกายและป้องกันเชื้อโรคได้นั่นแหละ
2.ชา เครื่อง ดื่มเพื่อสุขภาพ ยอดนิยมรองลงมาจากน้ำเปล่า ชาทั่วไปจะมีสารโพลีฟีนอลซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยฆ่าแบคทีเรีย ไวรัส และยับยั้งอาการอักเสบ นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังเชื่อว่าประโยชน์ส่วนหนึ่งของชาอยู่ที่ความอุ่น สำหรับคนที่เป็นหวัดแล้ว เครื่องดื่มหรือน้ำซุปอุ่น ๆ จะให้ความรู้สึกไหลลื่น และการสูดเอาไออุ่น ๆ จากชาเข้าไปก็จะช่วยให้โล่งจมูกได้มาก อย่างไรก็ดี การเติมนมลงไปในชา อาจทำให้ร่างกายของเราดูดซึมสารคาเตชินได้ไม่มากเท่าที่ควร ดังนั้น ถ้าอยากต้านหวัดจริง ๆ ก็ดื่มชาอุ่น ๆ ธรรมดาดีกว่านะ
3.หอยนางรม อย่า เอ็ดไป แต่เขาบอกว่า หอยนางรมคือยาปลุกพลังชั้นดีที่สุดที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เพราะสังกะสีที่มีอยู่ในหอย จะช่วยปลุกฮอร์โมนเทสทอสเทอโรนให้แก่ทั้งชายและหญิง หุหุ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ประเด็นอยู่ที่ว่า สังกะสีช่วยปกป้องเราจากหวัดและไข้หวัดใหญ่ได้ต่างหาก มันจะทำให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้ดีขึ้น เพื่อตักจับและทำลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย
แต่ทั้งนี้ FDA เขาก็เตือนมาว่าอย่ากินสังกะสีเกินวันละ 11 มิลลิกรัม ไม่งั้นมันจะเป็นพิษ โดยหอยนางรมตัวปานกลางหนึ่งตัวจะมีสังกะสีมากถึง 12.7 มิลลิกรัม มากกว่าปริมาณที่สาว ๆ ต้องการในหนึ่งวันอีกนะ ดังนั้น 1 วัน 1 ตัว ก็พอแล้วจ้า
4.ขมิ้น ใคร นึกไม่ออกว่าจะกินขมิ้นอย่างไรก็ควรจะลองกินแกงกะหรี่สีเหลืองดู และสาเหตุที่ขมิ้นมีสีเหลืองออกทองก็เป็น เพราะสารเคอร์คิวมินซึ่งเป็นโพลิฟีนอลตัวหนึ่งนี่เอง โดยการศึกษาในปี 2008 จาก Biochemical and Biophysical Research Communications ชี้ว่าสารเคอร์คิวมินนี้ช่วยไม่ให้เกิดการอักเสบในร่างกายได้ สำหรับผงขมิ้นแล้ว ถ้าใช้ภายนอกจะมีคุณสมบัติเป็นยาฆ่าเชื้ออีกด้วย...วิเศษสุด ๆ
5.พริกหวานสีแดง ถ้า เทียบกันแบบนักมวยกิโลฯ ต่อกิโลฯ พริกหวานสีแดงมีวิตามินซีมากกว่าผักและผลไม้อื่น ๆ ถึงสองเท่า วิตามินซี เป็นที่รู้จักดีในฐานะวิตามิน เพื่อดูแลผิวพรรณ ดังนั้น เมื่อผิวพรรณแข็งแรง ก็เท่ากับว่าปราการด่านแรกของร่างกายแข็งแรงไปด้วย นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวและการสร้างแอนตี้บอดี้ด้วย
6.ฟักทอง ท่อง กันมาตั้งแต่เด็กว่าฟักทองมีวิตามินเอ และวิตามินเอนี่ล่ะที่ช่วยให้เซลล์ แต่ละเซลล์ของเราสื่อสารกันได้อย่างปกติ (จึงช่วยป้องกันมะเร็งด้วย) การกินวิตามินเอเป็นประจำจะทำให้ทางเดินหายใจมีสุขภาพดีอยู่เสมอ ซึ่งเหมาะกับหน้าหวัดเป็นอย่างยิ่ง แต่จุ๊ ๆ อย่าเพิ่งดีใจไป การกินวิตามินเอมากเกินไปไม่ดีเลยนะ มันอาจไปสะสมอยู่ในเซลล์ไขมัน และเมื่อมีมาก ๆ ก็เป็นอันตรายได้ ถ้าใครคิดอยากกินวิตามินเอจากแคปซูล ก็น่าจะลองกินฟักทองดีกว่านะ ปลอดภัยกว่ากันเยอะ
7.บร็อกโคลี่ สี เขียวเข้มสวยกับใบพุ่มใหญ่ ๆ คอยบอกใบ้ว่าบร็อกลี่ดีต่อสุขภาพของเรามาก ๆ บร็อกโคลี่เป็นพืชที่อยู่ในตระกูลผักกาด ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มากมาย และเป็นแหล่งของวิตามินเอ ซี อี นอกจากนี้ ยังมีสารกลูโคไซโนเลต สังกะสี และซีลีเนียม ช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานจากเชื้อโรคต่าง ๆ ขอแค่เพียง บร็อกโคลี่วันละหนึ่งถ้วย เราก็ได้วิตามินซี เท่าที่ต้องการในแต่ละวัน ป้องกันเชื้อโรค และอาการอักเสบภายในร่างกายได้
|
|
|
|