ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - ครูนภา
หน้า: 1 2 [3] 4
81  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มาทำสมาธิ...ลดความเครียดกันเถอะ เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2010, 01:09:00 pm


    * สุขภาพใจ

แนะวิธีบำบัดจิต สร้างความสงบในใจ

 

 

          คน ส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าทำไมจึงเครียด เพราะไม่เคยสังเกตตัวเอง เมื่อมีสิ่งมากระตุ้นประสาทสัมผัสทั้ง 5 หรือคิดอะไรขึ้นในใจ ถ้าเป็นสิ่งที่ (ตา หู จมูก ใจ) เราชอบ อร่อย (ลิ้น) สนุก (ใจ) สบาย (กาย) เรามักจะไม่เครียด โดยเฉพาะเป็นสิ่งที่สมอยาก (ตัณหา) สมหวัง หรือ รอมานาน

 

          แต่ ถ้าสิ่งเหล่านี้ (แม้จะเป็นสิ่งที่เคยชอบ) ทำให้ไม่ชอบไม่ถูกใจ ไม่ได้ดั่งใจ หรือ มาดูถูก มาทำให้ตัวเราด้อยค่า (มานะ) มากระทบความคิดเห็นของตัวเรา (ทิฐิ) ฯลฯ ก็จะเริ่มหงุดหงิด เครียด ฉุนเฉียว โมโห

 

          บาง คนความเครียดจะสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดอาการไม่สบาย เช่น ปวดเมื่อยต้นคอ ศีรษะ หนักหัว มึนงง นอนไม่หลับ ฯลฯ แท้จริงแล้ว เรารู้สึกเครียดมากน้อยขึ้นอยู่กับตัวเราเองว่า มีมุมมอง ท่าทีต่อสิ่งเร้านั้นอย่างไร

 

          วิธีจัดการกับความเครียดอย่าง "การเจริญสมาธิ" เป็นวิธีปฏิบัติในหลายศาสนา เป็นวิธีหนึ่งในการเข้าสู่ความสงบสุขทางจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นทั้งวิธีคลายความเครียดที่มีอยู่ และยังเป็นทางหนึ่งในการป้องกัน เข้าใจสาเหตุและปัจจัยส่งเสริมความเครียดในชีวิตประจำวันของเราได้

 

          ใน พุทธศาสนามีวิธีเจริญสมาธิถึง 40 วิธี วิธีที่นิยมมากคือ อาณาปานสติ โดยการกำหนดลมหายใจเข้าออกจนจิตสงบตั้งมั่น อิริยาบถใหญ่ทั้ง 4 ของคนเราก็เจริญสมาธิได้ เช่น นั่งสมาธิแบบพุทธ หรือแบบชี่กง นอนท่าศพแบบโยคะ ยืนอรหันต์แบบชี่กง หรือเดินจงกรมแบบพุทธ ก็สามารถเข้าสมาธิจนใจสงบนิ่ง และใช้ใจที่มีสมาธิพิจารณาความเครียดในตัวเอง ให้เข้าใจถึงเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องได้

 

          ตัวอย่างวิธีการนั่งสมาธิอย่างง่าย

 

          1. เวลาที่นั่งสมาธิควรเป็นเวลาที่ไม่หิว ไม่อิ่ม ไม่กลั้นอุจจาระ/ปัสสาวะ นั่งบนเก้าอี้ที่ไม่มีพนักพิง หรือไม่พิงพนักในท่าที่สบาย ยืดตัวตรง มือทั้งสองวางบนหน้าตัก ผ่อนคลายทั้งตัว

 

          2. กำหนดใจให้สนใจแต่เสียงเพลงสวด หรือเพลงบรรเลง หายใจเข้าออกช้าๆ ยาวๆ

 

          3. ถ้าใจคิดถึงเรื่องใดๆ ให้กำหนดใจกลับมาที่เสียงเพลงทุกครั้ง ประคองใจไว้

 

          4. ถ้ามีอาการบางอย่างเกิดขึ้นในร่างกาย เช่น ร้อน ชา น้ำมูกน้ำตาไหล ให้เฝ้าดูอาการนั้นไปเรื่อยๆ ใจยังกำหนดอยู่ที่เสียงเพลง จนรู้สึกความสงบสุขในใจ

 

          5. รู้สึกกายผ่อนคลาย ใจโปร่งเบา ปล่อยวางจากความเครียดต่างๆ แต่ถ้าไม่มีเสียงดนตรีหรือเพลงสวด ให้กำหนดใจที่ลมหายใจเข้าออก ร่วมกับการภาวนาในใจ ว่า "ผ่อน" เวลาหายใจเข้า "คลาย" เวลาหายใจออก หรือ "ปล่อย" เวลาหายใจเข้า "วาง" เวลาหายใจออก ความสุขสงบจะค่อยๆ เกิดในใจเรา

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน
82  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ๔ วิธี สร้างสมาธิแบบไม่น่าเชื่อ เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2010, 01:06:46 pm
๔ วิธี สร้างสมาธิแบบไม่น่าเชื่อ


๑. ท่องบทกลอน
หา ท่องกลอนเด็ดมาจำเล่น ไม่ต้องถึงขนาดนั่งท่องกลอนทั้งหมด แค่ประโยค ๒ ประโยค ท่องซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ทำให้คุณเกิดภาวะสมาธิขึ้น โดยเฉพาะประโยคฮิตของท่านสุนทรภู่ที่เคยประพันธ์เอาไว้ว่า “แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำเหนือกำหนด เหมือนเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็มีคดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน” จากเรื่องพระอภัยมณี

๒. กินอาหารช้าๆ
คุณชอบ กินอาหารจานด่วนหรือเปล่า? ไม่ใช่อาหารเยอะนะ แต่เพราะคุณกินเร็วมากจนคนอื่นตามไม่ทันหรือชอบกินไปดูทีวีไป ทุกๆ คำที่กินเข้าไปคุณนึกถึงสุขภาพมากแค่ไหน พอทำแบบนี้ทุกวัน มื้ออาหารธรรมดาก็อาจเปลี่ยนเป็นช่วงเวลาแห่งความสงบภายในใจก็ได้

๓. ฟังเพลงชิลๆ
คัด เพลงที่ชอบฟังที่สุดมาไว้ในเครื่องเล่น ในคอมพิวเตอร์ก็ได้ หรือ เครื่องเล่น MP๓ ฟังเมื่อไหร่ก็ใส่หูฟังได้เลย หยุดเม้าท์ซะบ้างจะได้มีสมาธิมากขึ้น

๔. เขียนลิสท์ความสุขทางใจ
เคย แต่เขียนรายการที่ต้องทำส่งแต่ในงานล่ะซิ ลองหาเวลาเขียนรายการในสิ่งที่คุณรู้สึกดีมากขึ้น อย่าง ๑๐ เหตุการณ์ประทับใจตอนเด็กที่คุณลืมไม่ได้แล้วคุณจะพบว่าสมาธิช่วยให้ชีวิต คุณดีขึ้นทันที

โดย พี่ทิพ

สนับสนุนข้อมูลโดย
http://campus.sanook.com/teen_zone/senior_04704.php
83  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / โครงการอุปสมบทพระสงฆ์ 999 รูป เพื่อเสริมสร้างสังคมแห่งความดี ถวายเป็นพระราชกุศล เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2010, 07:21:24 pm
โครงการอุปสมบทพระสงฆ์ 999 รูป เพื่อเสริมสร้างสังคมแห่งความดี ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    โครงการอุปสมบทพระสงฆ์ 999 รูป เพื่อเสริมสร้างสังคมแห่งความดี ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ

    นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อพระราชพิธีว่า “พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554” และใช้ชื่อการจัดงานเฉลิมพระเกียรติว่า “งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554” โดยกำหนดการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ ระหว่างวันที่ 1 ม.ค.-31 ธ.ค. 2554
    นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าตลอดทั้งปี 2554 จะมีการจัดกิจกรรมเพื่อเทิดพระเกียรติ และเฉลิมพระเกียรติหลายกิจกรรม โดยเฉพาะกิจกรรมที่คณะกรรมการภริยาของคณะรัฐมนตรีดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเป็นโครงการปฐมฤกษ์นั้น เป็นโครงการอุปสมบทพระสงฆ์ 999 รูป ทั้งนี้เพื่อเสริมสร้างสังคมแห่งความดี และแสดงความจงรักภักดี ด้วยการกระทำความดีของประชาชนทั่วประเทศ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยจะเปิดรับสมัครผู้สนใจเข้าร่วมโครงการจำนวน 999 คน เข้ามาอุปสมบทและศึกษาพระธรรมวินัย ปฏิบัติธรรม และปฏิบัติกิจภาวนา ในช่วงวันที่ 9-23 มกราคม 2554 โดยจะเปิดรับสมัครทั่วประเทศ โดยมีกิจกรรมที่สำคัญคือ การฉลองผ้าไตรในวันที่ 7 มกราคม ที่กรุงเทพมหานครและสถานที่สำคัญในแต่ละจังหวัด นอกจากนั้นวันที่ 21 มกราคม 54 พระสงฆ์ทั้ง 999 รูปจากทั่วประเทศ จะมาประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพร และถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่วัดพระแก้ว กรุงเทพฯ ด้วย
    สำหรับคุณสมบัติผู้ที่เข้าร่วมโครงการต้องมีสัญชาติไทย อายุ 20 ปีขึ้นไป ไม่ต้องโทษกระทำความผิด และมีสุขภาพแข็งแรง สมัครที่หน่วยงานที่สังกัด หรือสมัครที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ว่าการอำเภอและจังหวัดของท่าน ตั้งแต่วันที่ 15 - 25 พฤศจิกายน 2553

ที่มา
http://region3.prd.go.th/ct/news/viewnews.php?ID=101114110212
84  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ++ ล า ว โหดสุดๆ ห้ามซื้อ/ขาย!! สายเดี่ยวรัดติ้วโชว์เต้า !!!!! เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2010, 12:05:30 pm
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว



ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่อนุรักษ์วัฒนธรรมได้เป็นอย่างดี

 โดยเฉพาะการแต่งกายที่มีเอกลักษณ์ของชาติ แต่ด้วยสมัยปัจจุบัน

แอบถ่ายนักศึกษาสาวเอาซะเยิ้มกลางห้องเรียน 18+

 มีการเปิดรับวัฒนธรรมจากภายนอก ชาวลาวเริ่มนิยมแต่งกายให้เป็นสมัยนิยม

เช่น นุ่งสั้น (เลยเข่า) ใส่สายเดี่ยว ชุดรัดสัดส่วน ทางการจึงได้ออกคำสั่ง

เพื่อควบคุมการแต่งกายของชาวลาว เพื่อเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมการแต่งกายเอาไว้

[yuiyt]

โดยนาย สมบัด เยียลีเฮอ  เจ้าครองนครเวียงจันทร์ ได้ลงนามคำสั่ง ห้ามนำเข้า

ห้ามซื้อห้ามขาย เสื้อผ้าที่ดูไม่สุภาพ ชุดที่ดูโป๊เปลือย เพื่อเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมการแต่งกาย

 และสร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อยให้ดูสวยงาม โดยคำสั่งดังกล่าวระบุว่า

ห้ามซื้อขายเสื้อผ้าดังกล่าวไม่ว่าจะในห้างสรรพสินค้าหรือริมทางเท้าก็ตาม
เมื่อผม search คำว่านิสิตนักศึกษา

นอกจากนี้ คำสั่งนี้ ยังเพื่อเป็นการ ทำให้งานเฉลิมฉลองเวียงจันทน์เป็นนครหลวงครบรอบ 450 ปี

 มีความสงบ มีบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย มีความสงบ

ให้เป็นงานที่น่าประทับใจและภาคภูมิใจ ให้แขกคนที่มาร่วมงานได้มีความชื่นชมและยกย่องสรรเสริญ

ทั้งนี้ หากมีการพบว่า มีการซื้อขายสินค้าดังกล่าว จะถูกอบรมสั่งสอน

 ยึดของกลาง รวมทั้ง ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายด้วย

ขอบคุณ : Mthai news  และขอบคุณภาพสวยจากอินเตอร์เน็ต

ที่มา FWD mail
85  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อะไรคือความแตกต่าง ของ สองสิ่งที่เหมือนกัน เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2010, 11:59:04 am

จีน


ไทย


พม่า




พระเวียตนาม
86  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สุดยอดวิทยายุทธ ทีแย่งชิงกันถึง 1000 ปี ปรากฏแล้วตามแผงหนังสือ เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2010, 11:49:28 am

วัดเส้าหลินแห่งซงซันเจาะตลาดวงการกีฬาเอาใจคนรักสุขภาพด้วยการ ตีพิมพ์คัมภีร์ อี้ จินจิง แนะนำวิธีเดินลมหายใจกับการเคลื่อนไหว ปรากฏแล้วตามแผงหนังสือเมืองใหญ่เช่นปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้
       
คัมภีร์ อี้จินจิง หรือ วิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นไม่ใช่การผ่าตัดเปลี่ยนเส้นเอ็นหากแต่เป็นการทำกาย บริหารจากภายใน เริ่มตั้งแต่ควบคุมลมหายใจทุกขณะที่ร่างกายเคลื่อนไหว ถือเป็นการออกกำลังกายประเภทหนึ่งของจีน ที่มีจุดประสงค์เพื่อบำบัดโรคและส่งเสริมให้ร่างกาย แข็งแรง หลังการฝึกจะช่วยให้เลือดลมภายในโคจรไหลเวียนได้สะดวก เป็นปกติไม่ติดขัด ซึ่งคัมภีร์อี้ จินจิงถูกคิดค้นขึ้นโดยพระภิกษุชาวอินเดียนามต๋า โม๋ หรือ ตั้กม้อ
       
อย่างไรก็ตาม จากวิชาที่มีเพียงศิษย์ในวัดเส้าหลินที่สามารถฝึกฝน ปัจจุบันศูนย์วิจัยและบำบัดโรคด้วยคัมภีร์อี้จินจิงแห่งวัดเส้าหลิน ได้นำความรู้การฝึกกายบริหารที่ถูกต้องตามหลักแห่งวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นรวบ รวมเป็นคู่มือในรูปแบบหนังสือและวีซีดี โดยโครงการนำร่องได้จัดทำเผยแพร่ในเมืองใหญ่เช่น ปักกิ่ง และเซี่ยงไฮ้ อย่างไรก็ตามศูนย์วิจัยดังกล่าวอาจดูคล้ายสถาบันวิจัยแห่งหนึ่ง ทว่าในความเป็นจริงกลับมีฐานะเสมือนสำนักพิมพ์เสียมากกว่า
       
ตลอด ระยะเวลากว่า 1,500 ปี วัดเส้าหลินถือเป็นวัดพุทธนิกายเซ็นอันดับหนึ่งในประเทศจีน อีกทั้งมีความโดดเด่นในศิลปะกังฟู ทว่าในยุคปัจจุบันกลับกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดนิยมในมณฑลเหอหนัน กระทั่งเจ้าอาวาสซื่อ หย่งซิ่นก็ถูกขนามว่าเป็น ซีอีโอ แห่งวัดเส้าหลินด้วย จนทำให้วัดแห่งนี้เข้าสู่เชิงพาณิชย์มากยิ่งขึ้น

ที่มา http://www.manager.co.th/
87  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ช่างไม่มีเมตตาเอาเสียเลย เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2010, 11:42:12 am


เรื่อง ช่างไม่มีเมตตาเอาเสียเลย

--------------------------------------------------------------------------------

    ในประเทศจีน ในสมัยที่นิกายเซ็นกำลังรุ่งเรืองมาก ใครๆก็นิยมนับถือภิกษุในนิกายเซ็นนี้ .

    มียายแก่คนหนึ่ง เป็นอุปัฏฐากของภิกษุองค์หนึ่ง ซึ่งปฏิบัติเซ็นมาด้วยความศรัทธาอย่างยิ่งมาเป็นเวลาถึง ๒๐ ปี แก่ได้สร้างกุฏิน้อยๆที่เหมาะสมอย่างยิ่งให้ และส่งอาหารทุกวัน นับว่าภิกษุองค์นี้ไม่ลำบากในการที่จะปฏิบัติสมาธิภาวณาอะไรเลย แต่ในที่สุดล่วงมาถึง ๒๐ ปี ยายแก่เกิดความสงสัยขึ้นมาว่า พระองค์นี้จะได้อะไรเป็นผลสำเร็จของการปฏิบัติบ้างไหม ที่มันจะคุ้มกันกับข้าวปลาอาหารของเราที่ส่งเสียมาถึง ๒๐ ปี.
   

    เพื่อ ให้รู้ความจริงข้อนี้ แกก็คิดหาหนทาง ในที่สุดก็พบหนทางของแกคือ แกขอร้องหญิงสาวคนหนึ่ง ที่มีรูปร่างหน้าตาอะไรๆยั่วยวนไปหมดให้ไปหาพระองค์นั้น โดยบอกว่า ให้ไปที่นั้นแล้วไปกอดพระองค์นั้น แล้วถามว่าเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไรบ้าง ผู้หญิงคนนั้นก็ทำอย่างนั้น พระองค์ นั้นก็ตอบ ด้วยถ้อยคำเป็นกาพย์กลอน ว่า "ต้นไม้แก่ใบโกร๋นบนยอดผา ฤดูหนาวทั้งคราวระดมมา อย่ามัวหาไออุ่นแม่คุณเอ๋ย" ว่าอย่างนี้เท่านี้น แล้วไม่ว่าอะไรอีก ไม่มีอะไรที่จะพูดกันรู้เรือ่งอีก.
   

    หญิง สาวคนนั้นก็กลับมาบอกยายแก่อย่างที่ว่านั้น ยายแก่ก็ขึ้นเสียงตะเบ็งขึ้นมาว่า คิดดูทีซิ ฉันเลี้ยงไอ้หมอนั้นมาตั้ง ๒๐ ปีเต็มๆ มันไม่มีอะไรเลย แม้จะเพียงแสดงความเมตตาออกมาสักนิดหนึ้งก็ไม่มี ถึงแม้จะไม่สนองความต้องการทางกิเลสของเขา ก็ควรจะเอ่ยปากเป็นการแสดงความเมตตากรุณา หรือขอบคุณบ้าง นี้แสดงว่ามันไม่มีคุณธรรมอะไรเลย ฉะนั้นยายแก่ก็ไปที่นั่นเอาไฟเผากุฏินั้นเสีย และไม่ส่งอาหารอีกต่อไป . แล้วเรื่องนี้ก็จบ.


--------------------------------------------------------------------------------
คติธรรม

    เรื่องนี้บอกให้ รู้ว่า คนเรามักมีแบบแห่งความยึดมั่นเป็นของตนเอง แล้วก็คิดว่าจะให้คน

อื่นเหมือนตน พอคนอื่นเขาไม่เหมือนตนก็หาว่าเขาโง่ หรือบ้า ซึ่งแม้แต่ผู้ที่สิ้นกิเลสแล้วก็

ยังไม่เป็นที่พอใจของคนที่ยึดมั่น เพราะเขายึดมั่นจะให้เป็นไปตามที่ยึดถือเท่านั้น.

http://atcloud.com/stories/63257

ที่มา FWD mail
88  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / แนะนำเกี่ยวกับหนังสือ พระไตรปิฏก คะ เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2010, 09:54:12 am
พระไตรปิฎกฉบับพิมพ์ภาษไทย
ผมเห็นมีผู้สอบถามเรื่องพระไตรปิฎกฉบับพิมพ์ภาษาไทย ในขณะนี้จะซื้อได้ที่ใด ราคาเท่าใด จึงได้ไปค้นรวบรวมมา ถ้าท่านใดมีข้อเพิ่มเติม กรุณา ช่วยเพิ่มให้ด้วย เพื่อจะได้เป็นประโยชน์แก่ท่านที่สนใจ

ตอนนี้มีหนังสือพระไตรปิฎกภาษาไทยพิมพ์ 4 ฉบับที่พิมพ์ครบแบบไม่ได้ย่อความคือ

1.พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏ 91 เล่มทั้งชุด16,961.75 บาท แยกเล่มถ้ามีรวม 19,955.- บาท
2.พระไตรปิฎกฉบับเฉลิมพระเกียรติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 พรรษามหาเถระสมาคมที่วัดเทวราชกุญชร 15000 บ 45 เล่ม
3.พระไตรปิฎกฉบับเฉลิมพระเกียรติฉบับเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว ฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 พรรษา และสมเด็จพระราชินีพระชนม์พรรษา 60 พรรษามหาจุฬาฯ 15000 บ. 45 เล่มแต่พิมพ์ใหม่เสร็จ ธค 51
4.ส. ธรรมภักดี 20000 บาทมีทั้งหมด 100 เล่ม รวมอรรถกถา

ข้อดี ข้อด้อย(ในความคิดของผม)

พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาฯ ที่พิมพ์เสร็จแล้ว มี 45เล่ม เดิมสีเหลืองฉบับเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 พรรษา และ เล่มสีฟ้าเข้มสมเด็จพระราชินีพระชนม์พรรษา 60 พรรษา เล่มใหญ่มากขนาด A4 จึงทำให้หนัก ไม่สามารถถือแล้วนอนอ่านได้ แต่ข้อดีเหมาะสำหรับคนสายตาไม่ดี พิมพ์ตัวใหญ่ ช่องไฟห่าง อ่านสบายตา มีบทสรุปหรือกล่าวถึงที่มาของเนื้อหาในเล่มปะหน้าทุกเล่มให้รู้คร่าวๆว่า ท่านกำลังจะอ่านอะไรในเล่ม ส่วนใหญ่สรุปได้ดี ข้อเสีย การแปลพระไตรปิฎกค่อนข้างสวิงสวาย และที่เป็นข้อเสียมากๆ คือ เลขข้อธรรมไม่ตรงกับที่ปรากฏในหนังสือพระไตรปิฎกเล่มอื่นๆทั้งในแผ่น CD ด้วย ทำให้เราอ่านแล้ว reference อาจไม่เหมือนชาวบ้านเขา ขณะนี้พิมพ์ใหม่เสร็จ ตค - ธค 51

พระไตรปิฎกฉบับเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษามหาเถระสมาคมก็เช่นกัน แต่เล่มเล็กกว่า(ใหญ่กว่าของมหามกุฏ)มี 45เล่ม ไม่มีบทนำ ใส่เลขข้อธรรมมากเกือบทุกย่อหนัา ถือแล้วนอนอ่านได้(ดูเลขข้อธรรมเหมีอนของ ฉบับมหาจุฬาฯ ตรงกัน)

พระไตรปิฎกของมหามกุฏ 91 เล่มอาจซื้อสะสมไปทีละเล่มได้ ต้องโทรไปถาม (มหาจุฬา ต้องซื้อเป็นชุด มีเหลือบ้างแยกเล่มขาย ต้องโทรไปถามแต่เป็นชุดหมดแล้ว) แปลเป็นแบบแผนดี เทียบกับภาษาบาลีง่าย แต่อ่านแล้วรู้ว่าใช้คนแปลเยอะมากเพราะสำนวนต่างกัน พิมพ์ตัวเล็ก โบราณ อ่านไม่ยาก แต่ถือนอนอ่านได้สบาย เนื้อหาข้างในมีการยกใจความสำคัญเป็นหัวข้อให้อ่านแล้วเข้าใจใจความสำคัญ แต่ไม่มีบทสรุปทั้งเล่ม มีอรรถกถา พึ่งพิมพ์ใหม่เสร็จเมื่อต้นปี 2551

พระไตรปิฎกของ ส. ธรรมภักดี เล่มใหญ่ขนาด A4 แต่บาง พิมพ์ตัวใหญ่ แปลแบบเทศนาเป็นกัณฑ์ๆไป มีเนื้อหา อรรถกถา บรรยายธรรม ไม่มีเลขข้อธรรมเลย สำนวนแบบพระขึ้นเทศน์ อ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง ต้องซื้อเป็นชุด

มหาจุฬาฯออก พระไตรปิฎกฉบ้บแก่นธรรมฉบับเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระ ชนม์พรรษา 80 พรรษา 6 เล่ม 3300 บาท เป็นการย่อเนื้อหาทั้งหมด ใจตวามคล้ายกับบทนำของ 45เล่มใหญ่ เล่มเกือบเท่าเล่มใหญ่ขนาด A4หนาเกือบ 800 หน้าหรือกว่า หน้ก ไม่สามารถถือแล้วนอนอ่านได้

พระไตรปิฎกฉบ้บประชาชน อ.สุชีพ ปุญญานุภาพก็ใช้ได้ เป็นการย่อเนื้อหาทั้งหมดแต่เล่มใหญ่มากขนาดA4พิมพ์ตัวเล็กมาก แต่ราคาถูก คือ 500-600 บาท กรมศาสนาพิมพ์แจก 25,000 ชุดเมื่อปี 2550 เป็น 3 เล่มแยกพระวินัย - พระสูตร - พระอภิธรรมขนาด A4ตัวหนังสือใหญ่อ่านชัดแต่แจกหมดในเวลารวดเร็ว

หนังสือชุด พระไตรปิฎกสำหรับผู้เริ่มศึกษา 1 ชุด มี 18 เล่ม ๑๑,๐๐๐ .๐๐ บาท ประกอบด้วย- พระวินัยปิฎก 4 เล่มจบ- พระสุตตันตปิฎก 12 เล่มจบ- พระอภิธรรมปิฎก 2 เล่มจบโดย อ.อุทัย บุญเย็น

ที่คงที่คือพระไตรปิฎกภาษาบาลี แต่ถ้าไม่รู้ภาษาบาลีดีพอก็คงไม่รู้เรื่อง

แนะว่าถ้ามี computer CD พระไตรปิฎก 3 ฉบับ เวลานี้มี PDF 91 เล่มมีอรรถกถา Word Doc 45 เล่ม ไม่มีอรรถกถา Text File 45เล่ม ไม่มีอรรถกถา เชื่อถือได้มากกว่าของทุกอันเว้น ของมหามกุฏ หรือเข้าไปที่ http://84000.org// แต่ถ้าคิดจะพิมพ์จาก CD เปํนเล่มไปซื้อเอาอาจจะถูกและทนกว่า

ขออนุโมทนาครับ

ขอบคุณที่มาคะ
http://www.dhammathai.org/webboard/dbview.php?No=849
89  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / แนะนำให้อ่านบทความในหน้าหนึ่ง "ศาสนาเสื่อม หรือ คนเสื่อม" เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2010, 10:42:49 am
เป็นบทความที่ดี คะ มีที่หน้าหนึ่ง ในบอร์ดไม่มีคะ ควรอ่านนะคะสำหรับคนที่มีความหวั่นไหว

ในศรัทธา ต่อพระรัตนตรัย อ่านแล้วจะได้เข้าใจความเป็นจริง คะ

ผู้เขียน ๆ ไว้ได้ดีคะ


http://www.madchima.org/madchima/index2.php?name=knowledge&file=readknowledge&id=66


อนุโมทนากับเรื่องนี้ คะ

 :25:
90  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ความสุขที่ถูกมองข้าม เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2010, 01:32:15 pm
เสียเวลาอ่านสักนิด แต่ได้ประโยชน์มากมาย ความสุขที่ถูกมองข้าม
ความสุขที่ถูกมองข้าม

    * ข้อคิดสะกิดใจ
    * ความสุขที่ถูกมองข้าม

คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่เชื่อ ว่า ยิ่งมีเงินทองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ความเชื่อดังกล่าวดูเผิน ๆ ก็น่าจะถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ประเทศไทยน่าจะมีคนป่วยด้วยโรคจิตน้อยลง มิใช่เพิ่มมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่รายได้ของคนไทยสูงขึ้นทุกปี ในทำนองเดียวกันผู้จัดการก็น่าจะมีความสุขมากกว่าพนักงานระดับล่าง ๆ เนื่องจากมีเงินเดือนมากกว่า แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป
ไม่นานมานี้มหาเศรษฐีคนหนึ่งของไทยได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต เขาพูดถึงตัวเองว่า “ชีวิต(ของผม)เริ่มหมดค่าทางธุรกิจ” ลึกลงไปกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมาย เขาเคยพูดว่า “ผมจะมีความหมายอะไร ก็เป็นแค่….มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง” เมื่อเงินหมื่นล้านไม่ทำให้มีความสุข เขาจึงอยู่เฉยไม่ได้ ในที่สุดวิ่งเต้นจนได้เป็นรัฐมนตรี ขณะที่เศรษฐีหมื่นล้านคนอื่น ๆ ยังคงมุ่งหน้าหาเงินต่อไป ด้วยความหวังว่าถ้าเป็นเศรษฐีแสนล้านจะมีความสุขมากกว่านี้ คำถามก็คือ เขาจะมีความสุขเพิ่มขึ้นจริงหรือ ?
คำถามข้างต้นคงมีประโยชน์ไม่มากนักสำหรับคน ทั่วไป เพราะชาตินี้คงไม่มีวาสนาแม้แต่จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็คงตอบคำถามที่อยู่ในใจของคนจำนวนไม่น้อยได้บ้างว่า ทำไมอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย รวมทั้งบิล เกตส์ จึงไม่หยุดหาเงินเสียที ทั้ง ๆ ที่มีสมบัติมหาศาล ขนาดนั่งกินนอนกินไป ๗ ชาติก็ยังไม่หมด
แต่ ถ้าเราอยากจะค้นพบคำตอบให้มากกว่านี้ ก็น่าจะย้อนถามตัวเองด้วยว่า ทำไมถึงไม่หยุดซื้อแผ่นซีดีเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับหมื่นแผ่น ทำไมถึงไม่หยุดซื้อเสื้อผ้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วเกือบพันตัว ทำไมถึงไม่หยุดซื้อรองเท้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับร้อยคู่ แผ่นซีดีที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนฟังทั้งชาติก็ยังไม่หมด ในทำนองเดียวกัน เสื้อผ้า หรือรองเท้า ที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนก็เอามาใส่ไม่ครบทุกตัวหรือทุกคู่ด้วยซ้ำ มีหลายตัวหลายคู่ที่ซื้อมาโดยไม่ได้ใช้เลย แต่ทำไมเราถึงยังอยากจะได้อีกไม่หยุดหย่อน
ใช่หรือไม่ว่า สิ่งที่เรามีอยู่แล้วในมือนั้นไม่ทำให้เรามีความสุขได้มากกว่าสิ่งที่ได้มา ใหม่ มีเสื้อผ้าอยู่แล้วนับร้อยก็ไม่ทำให้จิตใจเบ่งบานได้เท่ากับเสื้อ ๑ ตัวที่ได้มาใหม่ มีซีดีอยู่แล้วนับพันก็ไม่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้เท่ากับซีดี ๑ แผ่นที่ได้มาใหม่ ในทำนองเดียวกันมีเงินนับร้อยล้านในธนาคารก็ไม่ทำให้รู้สึกปลาบ ปลื้มใจเท่ากับเมื่อได้มาใหม่อีก ๑ ล้าน
พูดอีกอย่างก็คือ คนเรานั้นมักมีความสุขจากการได้ มากกว่าความสุขจากการมี มีเท่าไรก็ยังอยากจะได้มาใหม่ เพราะเรามักคิดว่าของใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิม
บ่อยครั้งของที่ได้มาใหม่นั้นก็เหมือนกับของ เดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่เพียงเพราะว่ามันเป็นของใหม่ ก็ทำให้เราดีใจแล้วที่ได้มา จะว่าไปนี่อาจเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่กับสัตว์หลายชนิดไม่เฉพาะแต่มนุษย์ เท่านั้น ถ้าโยนน่องไก่ให้หมา หมาก็จะวิ่งไปคาบ แต่ถ้าโยนน่องไก่ชิ้นใหม่ไปให้ มันจะรีบคายของเก่าและคาบชิ้นใหม่แทน ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองชิ้นก็มีขนาดเท่ากัน ไม่ว่าหมาตัวไหนก็ตาม ของเก่าที่มีอยู่ในปากไม่น่าสนใจเท่ากับของใหม่ที่ได้มา
ถ้า หากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่าของเก่าจริง ๆ เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดี แต่ปัญหาก็คือของใหม่นั้นไม่นานก็กลายเป็นของเก่า และความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป ผลก็คือกลับมารู้สึก “เฉย ๆ” เหมือนเดิม และดังนั้นจึงต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก เพื่อหวังจะให้มีความสุขมากกว่าเดิม แต่แล้วก็วกกลับมาสู่จุดเดิม เป็นเช่นนี้ไม่รู้จบ น่าคิดว่าชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขจริงหรือ ?
เพราะไล่ล่าแต่ละครั้งก็ต้องเหนื่อย ไหนจะต้องขวนขวายหาเงินหาทอง ไหนจะต้องแข่งกับผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ครั้นได้มาแล้วก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ ไม่ให้ใครมาแย่งไป แถมยังต้องเปลืองสมองหาเรื่องใช้มันเพื่อให้รู้สึกคุ้มค่า ยิ่งมีมากชิ้นก็ยิ่งต้องเสียเวลาในการเลือกว่าจะใช้อันไหนก่อน ทำนองเดียวกับคนที่มีเงินมาก ๆ ก็ต้องยุ่งยากกับการตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวลอนดอน นิวยอร์ค เวกัส โตเกียว มาเก๊า หรือซิดนีย์ดี
ถ้าเราเพียงแต่รู้จักแสวงหาความสุขจากสิ่ง ที่มีอยู่แล้ว ชีวิตจะยุ่งยากน้อยลงและโปร่งเบามากขึ้น อันที่จริงความพอใจในสิ่งที่เรามีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่เป็นปัญหาก็เพราะเราชอบมองออกไปนอกตัว และเอาสิ่งใหม่มาเทียบกับของที่เรามีอยู่ หา ไม่ก็เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เมื่อเห็นเขามีของใหม่ ก็อยากมีบ้าง คงไม่มีอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ได้บ่อยครั้งเท่ากับการชอบเปรียบ เทียบตัวเองกับคนอื่น การเปรียบเทียบจึงเป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์ที่ใคร ๆ ก็นิยมใช้กัน
นิสัย ชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น ทำให้เราไม่เคยมีความพอใจในสิ่งที่ตนมีเสียที แม้จะมีหน้าตาดี ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่สวย เพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับดาราหรือพรีเซนเตอร์ในหนังโฆษณา
การมองแบบนี้ทำให้ “ขาดทุน” สองสถาน คือนอกจากจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว ยังเป็นทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งที่อยาก พูดอีกอย่างคือไม่มีความสุขกับปัจจุบัน แถมยังเป็นทุกข์เพราะอนาคตที่พึงปรารถนายังมาไม่ถึง ไม่มีอะไรที่เป็นอุทธาหรณ์สอนใจได้ดีเท่ากับนิทานอีสปเรื่องหมา คาบเนื้อ คงจำได้ว่า มีหมาตัวหนึ่งได้เนื้อชิ้นใหญ่มา ขณะที่กำลังเดินข้ามสะพาน มันมองลงมาที่ลำธาร เห็นเงาของหมาตัวหนึ่ง (ซึ่งก็คือตัวมันเอง) กำลังคาบเนื้อชิ้นใหญ่ เนื้อชิ้นนั้นดูใหญ่กว่าชิ้นที่มันกำลังคาบเสียอีก ด้วยความโลภ (และหลง) มันจึงคายเนื้อที่คาบอยู่ เพื่อจะไปคาบชิ้นเนื้อที่เห็นในน้ำ ผลก็คือเมื่อเนื้อตกน้ำ ชิ้นเนื้อในน้ำก็หายไป มันจึงสูญทั้งเนื้อที่คาบอยู่และเนื้อที่เห็นในน้ำ
บ่อเกิด แห่งความสุขมีอยู่กับเราทุกคนในขณะนี้อยู่ แล้ว เพียงแต่เรามองข้ามไปหรือไม่รู้จักใช้เท่านั้น เมื่อใดที่เรามีความทุกข์ แทนที่จะมองหาสิ่งนอกตัว ลองพิจารณาสิ่งที่เรามีอยู่และเป็นอยู่ ไม่ว่า มิตรภาพ ครอบครัว สุขภาพ ทรัพย์สิน รวมทั้งจิตใจของเรา ล้วนสามารถบันดาลความสุขให้แก่เราได้ทั้งนั้น ขอเพียงแต่เรารู้จักชื่นชม รู้จักมอง และจัดการอย่างถูกต้องเท่านั้น
แทน ที่จะแสวงหาแต่ความสุขจากการได้ ลองหันมาแสวงหาความสุขจากการมี หรือจากสิ่งที่มี ขั้นต่อไปคือการแสวงหาความสุขจากการให้ กล่าวคือยิ่งให้ความสุข ก็ยิ่งได้รับความสุข สุขเพราะเห็นน้ำตาของผู้อื่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม และสุขเพราะภาคภูมิใจที่ได้ทำความดีและทำให้ชีวิตมีความหมาย จากจุดนั้นแหละก็ไม่ยากที่เราจะค้นพบความสุขจากการไม่มี นั่นคือสุขจากการปล่อยวาง ไม่ยึดถือในสิ่งที่มี และเพราะเหตุนั้น แม้ไม่มีหรือสูญเสียไป ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้
เกิดมาทั้งที น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากการให้ และ การไม่มี เพราะนั่นคือสุขที่สงบเย็นและยั่งยืนอย่างแท้จริง
พระไพศาล วิสาโล
ที่มา บล็อกพี่คอน http://lanpanya.com/wash/archives/235
91  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / ขอให้ทีมงาน ประสพความสุขทุกคน คะ เมื่อ: พฤศจิกายน 01, 2010, 10:31:18 pm
ไม่ไ้ด้เข้าใช้างาน ตั้ง 4 วัน รู้สึกคิดถึงจังเลย

แต่ก็คิดอยู่ว่า ทางทีมงาน เว็บมาสเตอร์ ต้องทำงานหนักแน่ เลย คงจะนอนดึก แน่

วันนี้ใช้ได้แล้ว แต่ไม่ทราบว่า อยู่ตัวหรือยังคะ อย่างไรกลุ่มเราก็มี Hi5 ร่วมเผยแผ่ด้วยคะ

ขอให้เว็บมาสเตอร์ มีงานเยอะ ๆ นะคะ ได้เงินทุกงาน คะ

92  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / เวลาภาวนา พระพุทธานุสสติ นั้นต้องระลึกถึงพระพุทธคุณด้วยหรือป่าวคะ เมื่อ: ตุลาคม 27, 2010, 06:50:43 pm
เวลานั่งกรรมฐาน พระพุทธานุสสติ อยู่นั้นได้ไปฟังพระคุณเ้จ้า ท่านบรรยายธรรมให้ฟังว่าเวลา

นั่งภาวนา พุทโธ นั้น ให้ระลึก นึกถึง พระพุทธคุณทั้ง 9 ของพระพุทธเจ้า ด้วยดิฉันก็มานั่งภาวนา

ตามที่พระคุณเจ้า สอนไว้ แต่นั่งไปแล้ว พุทโธ ก็จะหายไปด้วย จึงอยากทราบว่า ที่ถูกในกรรมฐาน

มัชฌิมา แบบลำดับนั้น ต้องการให้ระลึกถึง พระพุทธคุณ ทั้ง 9 ด้วยหรือป่าวคะ

ควรปฏิบัติภาวนา อย่างไร คะ

 :25:
93  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / นั่งกรรมฐาน แล้ว มีอาการอย่างนี้บ่อย ๆ คะ เมื่อ: ตุลาคม 27, 2010, 06:47:27 pm
พอนั่งกรรมฐาน สักประมาณ 30 นาทีขึ้นไป มักจะได้กลิ่น หอม ๆ และ หู แว่วเสียง สวดมนต์ ทำให้จิตติดชอบ

ที่จะได้กลิ่นนั้น และ เสียงนั้น ( ไม่รู้ว่าคิดไปเอง หรือ ป่าว ) แต่ก็มีอาการอย่างนี้ทุกครั้งเวลานั่งกรรมฐาน หลัง

จากปีติ เกิดขึ้นแล้ว ไม่ทราบต้องแก้ไขอย่างไร คะ

 :25:
94  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / การกำหนด ปีติ ใน อานาปานสติ กับ พระพุทธานุสสติ เหมือนกันหรือป่าวคะ เมื่อ: ตุลาคม 27, 2010, 06:42:06 pm
ช่วงนี้ไม่ได้พบพระอาจารย์ กันมาเป็น 2 ปีแล้ว ก็ปฏิบัติ อานาปานสติ ตามที่แนะนำมาคะ

ที่นี้ขั้นตอนในการกำหนด ปีติ ใน ใน อานาปานสติ กับ พระพุทธานุสสติ นั้นมีขั้นตอนเหมือนกันหรือป่าวคะ

 :25:
95  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / มีขั้นตอนในการกำหนดรู้ สักกายทิฏฐิ หรือป่าวคะ เมื่อ: ตุลาคม 27, 2010, 06:36:58 pm
ในการรู้ เห็น ตาม ความเป็นจริง ในสักกายทิฏฐิ มีการเห็นอย่างไร คะ

จึงจะละ สักกายทิฏฐิ ได้คะ
96  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ที่พึีีงยามยาก ของผู้เดือดร้อน เมื่อ: ตุลาคม 19, 2010, 02:55:08 pm
ติดตามข่าวสาร เรื่องน้ำท่วม อันเป็นภัยพิบัติ เพียงแค่ 1 อาทิตย์
ก็เห็นเลยว่า สิ่งสำคัญ คืออาหาร น้ำ ยา สุขอนามัย

ตอนนี้ก็ทราบว่า ที่พึ่งหลัก ก็เป็น วัด ศาลาวัด ศูนย์กระจายความช่วยเหลือ ก็เป็น วัด
 :25:
97  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / ช่วยเหลือผู้ประสพภัย น้ำท่วม กับทีวีไทย เมื่อ: ตุลาคม 19, 2010, 02:40:06 pm

(2010-10-19 10:58:13 น.)     
   ทีวีไทย ร่วมกับ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพอากาศ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม    
   สถานี โทรทัศน์ทีวีไทย เป็นศูนย์กลางประสานงาน ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม เปิดพื้นที่หน้าจอรับบริจาคเงินและสิ่งของ ประสานส่งตรงยังพื้นที่เกิดเหตุ งดรายการปกติ เปิดช่วงพิเศษเกาะติดสถานการณ์    
      
   

ตาม ที่ สถานีโทรทัศน์ทีวีไทย  รายงานเกาะติดสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ต่างๆ  อย่างต่อเนื่อง ทำให้เห็นความเดือดร้อนของประชาชนที่ประสบภัยพิบัติในครั้งนี้  จึงทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางเพื่อประสานให้ความช่วยเหลือ  โดย ทีวีไทย  ร่วมกับ  ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย  กองทัพอากาศ  รับบริจาค  ข้าวสาร  อาหารแห้ง  น้ำดื่ม  ยารักษาโรค  และของใช้จำเป็น  บริจาคได้ที่ สถานีโทรทัศน์ทีวีไทย อาคารชินวัตร 3 ถ.วิภาวดีรังสิต  นอกจากนี้ ยังร่วมกับมูลนิธิอาสา  เพื่อนพึ่ง(ภาฯ)  ยามยาก  สภากาชาดไทย  รับบริจาค  เงินสด  เพื่อนำมาซื้อสิ่งของที่จำเป็นสำหรับผู้ประสบภัย โดยบริจาคได้ที่


ธนาคารไทยพาณิชย์  สาขาเทเวศร์  บัญชีออมทรัพย์

ชื่อบัญชี  "เพื่อนพึ่งภาช่วยน้ำท่วม"

เลขที่บัญชี  020-2-69333-2

พร้อม กันนี้  ทีวีไทยยังคงเกาะติดรายงานสถานการณ์วิกฤตน้ำท่วมในทุกพื้นที่ โดยผู้ที่เดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือ  หรือต้องการร่วมบริจาคเงินสดและสิ่งขอ ง  สามารถติดต่อได้ที่หมายเลข  0-2791-1385-7  และ  0-2791-1113




ที่มา
http://www.thaipbs.or.th/
98  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เรื่องไม่ดี ที่ไม่ควรมีในครอบครัว เมื่อ: ตุลาคม 12, 2010, 09:41:35 am


ครอบ ครัวควรมีแต่เรื่องดีๆ แต่ในความเป็นจริง ครอบครัวแต่ละครอบครัวก็คงไม่ได้มีแต่เรื่องดีๆ ตลอดเวลา ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญคือ เราต้องรู้สิ่งที่เรามีในครอบครัวว่าสิ่งไหนเป็นสิ่งที่ดี ที่ควรมี  ควรรักษาไว้และสิ่งไหนเป็นสิ่งที่ไม่ดีที่ต้องขจัดให้หายไป เครือข่ายครอบครัวได้มีการสำรวจเพื่อระบุว่าสิ่งใดบ้างที่ไม่ควรให้มี พื้นที่อยู่ในครอบครัว   

1. ความรุนแรง
ภาพที่ชัดเจนที่สุดของความรุนแรง ในครอบครัวคือ การใช้อารมณ์ของพ่อแม่ทั้งต่อพ่อแม่ด้วยกันเองและต่อลูก บางครั้งอาจจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและปกติ เช่น การดุด่าว่ากล่าวหรืออารมณ์เสียใส่ลูก แต่สิ่งเหล่านี้ก็อาจสามารถนำมาซึ่งความรุนแรงกับเด็กอย่างไม่รู้ตัว ฉะนั้น “อารมณ์เสีย” จึงเป็นอย่างแรกๆ ที่ควรนำออกไปจากครอบครัว คุณอัณศยา แซ่ลี้ แกนนำเครือข่ายครอบครัวแนะนำว่า “พ่อแม่ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ อย่าใช้อารมณ์กับลูก ไม่มีใครทำร้ายเรา ทางอารมณ์ได้ นอกจากตัวของเราเอง  ถ้าลูกซนบ้าง เราก็ต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองเอาไว้ ให้คิดถึงแต่ความรักความหวังดี คิดถึง เหตุผลว่าทำไมลูกเราถึงมีพฤติกรรมแบบนี้แล้วหาวิธีแก้ไขอย่างมีสติ”

  2. เหล้า/บุหรี่
นอกจากจะเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อลูกๆ แล้ว เหล้าและบุหรี่ ยังเป็นตัวการทำให้บรรยากาศในครอบครัวเสียอีกด้วย ในครอบครัวที่พ่อหรือแม่ดื่มเหล้า และเมาเป็นประจำ สติที่ควรมีในการเลี้ยงลูก ก็จะหายไป อาจเป็นเหตุให้พ่อแม่ทำสิ่งที่ไม่ควรจะทำหรือร้ายกว่านั้น อาจนำความรุนแรงมาสู่ครอบครัวอีกด้วยในส่วนของบุหรี่ก็ไม่แพ้กัน เพราะมีข้อมูล ชัดเจนว่าคนที่อยู่รอบข้างคนสูบบุหรี่จะได้รับสารพิษมากกว่าตัวผู้สูบเอง หลายเท่า การสูบบุหรี่จึงเหมือนเป็นการแสดงออกถึงความไม่ห่วงใยคนในครอบครัว ลูกๆ จึงอาจมีความรู้สึกเชื่อมโยงว่า พ่อแม่ที่สูบบุหรี่ไม่รักตนก็ได้คุณทนง แว่นสุวรรณ ประธานชมรมเครื่องข่ายผู้ปกครอง โรงเรียนกุนนที-รุทธาราม กล่าวว่า “เรื่องไม่ดีที่อยากจะให้ช่วยกันเพลาๆ ลงก็คือ เรื่องที่บั่นทอนสุขภาพอย่างเรื่องการดื่มเหล้าและการสูบบุหรี่ เพราะนอกจากจะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพแล้ว ยังส่งผลทำให้เกิดความขัดแย้งในครอบครัวได้ง่ายด้วย” 

3. บริโภคนิยมและความฟุ่มเฟือย
นอกจากจะเป็นสาเหตุต้นๆ ที่จะนำพาปัญหาเศรษฐกิจมาสู่ครอบครัวแล้ว ยังเป็นพิษเป็นภัยต่อวัฒนธรรมการออมที่พ่อแม่ควรจะปลูกฝังกับลูกด้วย ที่น่าวิตกมากกว่านั้น คือ วัฒนธรรมบริโภคนิยม ซึ่งผลักดันให้ผู้คนโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นให้หันไปให้ความหมายกับชีวิตที่ เน้นการบริโภคเพียงอย่างเดียว ตั้งแต่บริโภคเพื่อสร้างอัตตลักษณ์ บริโภคเพื่อแสดงอำนาจ บริโภคเพื่อเข้ากลุ่ม เป็นที่มาของการบริโภคที่มาเกินความพอเพียง นำมาสู่ความเสี่ยงต่อปัญหาอื่นๆ ได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเด็กติดเกม ปัญหาโรคอ้วน ซึ่งล้วนมีส่วนมาจากวัฒนธรรมบริโภคนิยมทั้งสิ้น 
 

 

4. สื่อไม่สร้างสรรค์
สื่อโฆษณา มอมเมาบริโภคนิยม  เกินเหตุ ค่านิยมผิดๆ แฝงเร้น แถมยังผลิตซ้ำจนฝังหัวหรือแม้แต่ความรุนแรงโหดร้าย จนด้านชา ล้วนแต่มีแฝงอยู่ในสื่อไม่สร้าง-สรรค์ในสังคมไทยมาโดยตลอด ครั้นจะกีดกันลูกออกจากสื่อไม่สร้างสรรค์ที่เกลื่อนกลาดอยู่ทั่วสังคมก็คง เป็นไปได้ยาก แต่หากครอบครัวเข้มแข็ง สร้างภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า “ วิจารณญาณ” ให้กับลูกๆ ได้ ก็จะสามารถนำสื่อไม่สร้างสรรค์ ที่มีอยู่ดัดแปลง ให้เป็นสื่อสร้างสรรค์และสร้างความระแวดระวังให้กับลูกๆ ได้คุณสรวงมณฑ์ สิทธิสมาน ประธานชมรมผู้ปกครองและครูโรงเรียนสาธิตละอออุทิศ กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า “ทุกวันนี้ รายการโทรทัศน์บางรายการได้รับการดูแลไม่ทั่วถึง และไม่มีการควบคุม ถ้าพ่อแม่นั่งดูอยู่กับลูกด้วย ก็พอจะอธิบายแนวคิดสอนลูกได้ เพราะฉะนั้น การดูโทรทัศน์หรือการรับสื่อของลูกจึงควรได้รับการใส่ใจจากพ่อแม่อย่างที่ ขาดไม่ได้ และนอกจากพ่อแม่      ต้องคอยดูแลการรับสื่อของลูกแล้ว อีกวิธีหนึ่งที่ควรทำก็คือหากิจกรรมอื่นๆ ให้ลูกทำด้วย จะได้ไม่หมกมุ่นกับการรับสื่อมากเกินไป เช่น พาเขาไปออกกำลังกาย หรือหาหนังสือดีๆ อ่าน”

  5. การโกหก
สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับครอบครัว ก็คือ ความไว้เนื้อเชื่อใจกัน หากไร้ซึ่งความไว้เนื้อเชื่อใจกันแล้ว ครอบครัวที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน ย่อมมีบรรยากาศไม่ต่างไปจากซ่องโจร และสิ่งที่จะทำลายความไว้ใจได้ดีที่สุด คงหนีไม่พ้นการโกหก การโกหกเล็กๆ น้อยๆ เพียง 1 ครั้ง อาจนำมาเพียงความระแวงเล็กๆ เพียง 1 อย่าง แต่ความหวาดระแวงที่ไม่มีวันลบเลือนนี้ ก็สามารถแผ่ขยายทำลายบรรยากาศของครอบครัวได้ง่ายๆ

นอกจาก 5 ประการข้างต้นแล้ว ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ควรปล่อยให้เข้ามากล้ำกลายครอบครัวของเรา แต่ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะมีมากน้อยเพียงใดก็ตาม  หากครอบครัวมีความรักและความเข้าใจให้แก่กัน ก็ย่อมจะกำจัดสิ่งไม่ดีเหล่านั้นให้หมดไปได้ในที่สุด 

ที่มา : จดหมายข่าวชุมชนคนรักสุขภาพ ฉบับสร้างสุข
99  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หมั่นรดน้ำ ดูแลใจ เมื่อ: ตุลาคม 12, 2010, 09:33:40 am



มักมีผู้กล่าวอยู่เสมอว่า

"จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว ทุกเรื่องราวล้วนเกิดจากใจ"

เมื่อต้องการมีความสุขในชีวิต
สิ่งสำคัญที่ต้องทำ
จึงเป็นเรื่องของการดูแลจิตใจ

การดูแลจิตใจจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะละเลยไม่ได้
ด้วยเมื่อใดที่จิตใจของเราดี

สิ่งอื่นที่อยู่รอบข้างก็จะพลอยดีไปด้วย
และผู้ที่ได้รับประโยชน์ก็ย่อมเป็นตัวเราเอง

"การดูแลจิตใจของเราเอง

เปรียบเสมือนการปลูกต้นไม้สักต้น

ที่ต้องคอยหมั่นดูแลรักษา

เพื่อให้ต้นไม้ที่ปลูกไว้ได้เจริญเติบโต

เป็นต้นไม้ใหญ่ผลิดอกออกผล

ให้ร่มเงา ให้ที่พักพิงในยามที่เราต้องการ"



100  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / งู หรือ พระยานาค ดูกันนะจ๊ะ ( ผ่อนคลายกันหน่อย ใจไม่กล้าห้ามดู ) เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 12:28:42 pm
เห็นกระุทู้ สนทนากันในระดับ เทพ แล้ว เมื่อวานกระทู้ จึงนิ่ง

ผ่อนคลายกันด้วย ภาพกันสักหน่อย นะคะ





101  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / บทบาทของพระสงฆ์ ไทย กับ มุมมองคนปัจจุบัน เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 12:03:19 pm
ขอเสริมเติมท้ายอีกนิดว่า การที่พระจะมีบทบาทในสังคมได้นั้น นอกจากรู้เท่าทันตนเอง และรู้เท่าทันสังคมปัจจุบันแล้ว ยังควรรู้ภูมิหลังทางด้านความเป็นมาของอดีตอีกด้วย เช่น

          ๑. บทบาทของสังฆราชปู่ครูและคณะสงฆ์ในสมัยสุโขทัยที่สมาทานลัทธิเถรวาทแบบลังกา วงศ์นั้น เกี่ยวข้องอย่างไรกับการที่เราปลดออกไปได้จากมหายานและไสยเวทวิทยาที่ครอบงำ เราอยู่ โดยจักรวรรดิของขอมแห่งเมืองพระนคร

          ๒. สภาวะของสมเด็จพระวันรัต วัดป่าแก้ว กับพระมหาเถรคันฉ่อง ในสมัยพระนเรศวร แห่งกรุงศรีอยุธยานั้น มีบทบาททางสังคมและการเมืองอย่างไรหรือไม่ รวมถึงการจับพระสึกในสมัยพระนารายณ์ หรือการปฏิรูปคณะสงฆ์ครั้งสำคัญทางเมืองหงสาวดีของพระเจ้าธรรมเจดีย์ปิฎกธร นั้น มีบทเรียนอะไรให้พระไทยร่วมสมัยบ้างไหม

          ๓. การบังคับให้พระไหว้คฤหัสถ์ผู้เป็นพระโสดาบันในปลายสมัยกรุงธนบุรีนั้น มีบทบาททางการเมืองอย่างสำคัญขนาดไหนอย่างไร

          ๔. บทบาทของวชิรญาณภิกขุกับการตั้งคณะธรรมยุตและการละทิ้งความเชื่อตามแบบ ไตรภูมิพระร่วง โดยหันมาสมาทานวิธีวิทยาอย่างตะวันตก ก่อนการเสวยราชย์ของรัชกาลที่ ๔ เรื่อยมาจนถึงการที่รัฐเข้ามาบงการการพระศาสนายิ่งๆ ขึ้น ในรัชกาลที่ ๕ รวมถึงการใช้พระปรมาภิไธยให้เป็นชื่อของมหาวิทยาลัยสงฆ์ ตลอดจนการออกพระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์ในปลายรัชกาลนั้น และการบริหารคณะสงฆ์ตามวิถีทางของขัตติยาธิปไตย แต่สมัยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นต้นมานั้น มีผลบวกผลลบอย่างไรกับสมัยปัจจุบัน

          ๕. บุคคลสำคัญของวงการคณะสงฆ์ไทยในอดีตอย่างสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆังนั้น น่าจะมีอะไรที่ลึกซึ้งทางสังคมและการเมือง ยิ่งกว่าอภินิหารในทางไสยเวทวิทยา ดังเป็นที่เข้าใจกันกระมัง ควรที่เราจะศึกษาอย่างวิเคราะห์เจาะลึกลงไปกันไหม มหาวิทยาลัยสงฆ์มีสถาบันธรรมวิจัยอยู่ด้วยมิใช่หรือ๔

          ๖. อาสภเถระ ซึ่งมีชนมายุครบร้อยเมื่อปลายปี ๒๕๔๖ นี้เอง เราได้บทเรียนอะไรจากท่านบ้าง ความข้อนี้หาอ่านได้จาก หันกงจักรเป็นดอกบัว ของข้าพเจ้า ที่อุทิศน้ำพักน้ำแรงถวายพระคุณท่าน

          ๗. พุทธทาสภิกขุจะมีอายุครบร้อยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า พระสงฆ์ในสมัยปัจจุบันควรทำอะไรถวายเป็นการบูชาบุคคลที่ควรบูชา แล้วนำเอาแบบอย่างของท่านมาประยุกต์ใช้ได้อย่างไรหรือไม่๕

          ๘. ในประเทศพม่า มีอนุสาวรีย์อยู่กลางกรุงย่างกุ้ง เพื่อเตือนคนให้รู้จักคุณค่าของพระมหาเถระ ผู้นำการต่อต้านอังกฤษที่ไปยึดครองประเทศเขา ในประเทศลังกา ก็มีมหาวิทยาลัยสำหรับทุกๆ คน ที่ตั้งขึ้นจากแรงผลักดันของพระมหาเถระในอดีต หากในเมืองไทย กว่าจะมีสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งตามนามของพระมหาเถระ ผู้เป็นประธานสังฆสภาองค์แรกของไทย ก็แทบเลือดตากระเด็น ทั้งๆ ที่สาธารณสถานจากเงินภาษีอากรของราษฎรนั้น ตั้งตามนามเจ้านายและนักการเมืองมากมายและหลายคนเป็นโสณทุจริตด้วย โดยการตั้งชื่อสะพานดังกล่าว พระภิกษุสงฆ์ร่วมสมัยแทบไม่ได้มีบทบาทร่วมเอาเลยก็ว่าได้

          ๙. เมื่อตอนเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ นั้น ได้เกิดคณะปฏิสังขรณ์ขึ้น เพราะยุวสงฆ์แห่งสมัยไม่อาจทนความไม่เป็นธรรมของมหาเถรสมาคมได้ จึงมีบทบาทในทางการเคลื่อนไหวต่างๆ จนเกิดพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับใหม่ในปี ๒๔๘๔ ที่มีรูปแบบเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น แต่แล้วพระราชบัญญัติฉบับนี้ก็ถูกจอมเผด็จการทำลายลง ด้วยความร่วมมือของพระผู้ใหญ่ที่อยู่ฝ่ายศักดินาและขัตติยาธิปไตย ยิ่งกว่าจะแลเห็นถึงสภาพของการกดขี่ข่มเหงทางโครงสร้างอันอยุติธรรมต่างๆ ทั้งแก่พระเณรและฆราวาสทั่วๆ ไป ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกยากไร้ บทเรียนดังกล่าวนี้ควรที่พระภิกษุร่วมสมัยจักใช้เป็นบรรทัดฐานในการรู้จัก อดีตหรือไม่

          ๑๐. แม้ในสมัยปัจจุบัน กลุ่มเสขิยธรรม ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเจ้าคุณพระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) นั้น ก็ต้องการฟื้นฟูบทบาทของพระภิกษุร่วมสมัย โดยโยงใยไปถึงสามเณรและแม่ชี ให้เกิดกลุ่มกัลยาณมิตรขึ้น เพื่ออุดหนุนกันและกันในการเจริญสมณธรรมตามแนวทางของพรหมจรรย์ หรือชีวิตอันประเสริฐ สำหรับนำทางให้สังคมได้เป็นไปอย่างสงบ อย่างสะอาด และอย่างสว่าง ดังเสมสิกขาลัยก็รับใช้ในแนวทางนี้ ที่ประยุกต์ไตรสิกขามาให้เหมาะสมกับสังคมร่วมสมัย เพื่อไปพ้นการครอบงำของมิจฉาทิฐิ ที่ควบคู่ไปกับสถาบันกระแสหลัก ผู้ที่สนใจอาจหาเอกสารและหนังสือต่างๆ อ่านได้ ดังเอามาวางขายที่หน้าหอประชุมนี้ด้วยบ้างแล้ว และถ้าต้องการความทันสมัย ก็โปรดใช้เว็บไซต์ www.semsikkha.org เป็นแนวทางอีกอย่างหนึ่งด้วยก็ได้ และถ้าจะอ่านเรื่องพุทธศาสนาไทยในอนาคต แนวโน้มและทางออกจากวิกฤต ของพระไพศาล วิสาโล ก็จะเป็นประโยชน์ยิ่งนัก

เชิงอรรถ

๑. ดูเรื่อง ความเข้าใจในเรื่องมหายาน ของข้าพเจ้า

๒. ดู การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์

    เราต้องไม่ลืมว่าพุทธศาสนาเกิดขึ้นในชมพูทวีป ควบคู่มากับศาสนาพราหมณ์ พระพุทธองค์ทรงปฏิเสธหลักการทางด้านความเห็นแก่ตัวของพราหมณ์ ดังทรงปฏิเสธอัตตาในทุกๆ ทาง จนอนัตตาเป็นสาระที่สำคัญสุดของพุทธศาสนา

๓. ดูเรื่อง "กองทัพธรรม กองทัพไทย ในการประกาศอิสรภาพเอาชนะยาเสพติด" ของข้าพเจ้า ใน ฉีกจีวรย้อนดูชาติ ศาสน์ กษัตริย์ หน้า ๑๖๒-๑๖๘

๔. ดูเรื่อง "สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)" ของข้าพเจ้าได้ ในเรื่อง คันฉ่องส่องตัวตน หน้า ๒๒๕

๕. ดูเรื่อง "สังคมไทยกับทศวรรษแห่งการจากไปของพุทธทาสภิกขุ" ของข้าพเจ้าได้ ในเรื่อง หันกงจักรเป็นดอกบัว หน้า ๑๘

รายละเอียดทั้งหมดไปอ่านต่อได้ที่นี่คะ

http://www.buddhadasa.org/html/articles/3_sangha/MonkAction.html
102  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / การตรวจสอบ ว่าใครเป็นพระอรหันต์ มีวิธีการหรือป่าวคะ เมื่อ: ตุลาคม 06, 2010, 10:06:20 am
เนื่องด้วย ผู้ที่จะตรวจสอบได้ว่าใครเป็นพระอรหันต์นั้นมีแต่เพียงพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว

หากมีผู้กล่าวกะเรา เขาเป็นพระอรหันต์ ในพระไตรปิฏก มีข้อความในการตรวจสอบอย่างไร

คะ ขอบคุณพระอาจารย์ล่วงหน้าคะ

 :25: :25: :25:
103  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / อานาปานสติ ถ้าฝึกโดยตรง ควรเิริ่มอย่างไรครับ เมื่อ: ตุลาคม 06, 2010, 09:48:44 am
ถ้าดิฉันต้องการฝึก อานาปานสติ โดยตรงควรเริ่มอย่างไรคะ

ที่เรียกว่า ถูกวิธี และ เป็นวิธี ที่ได้ผล
104  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เคล็ดลับการอ่านหนังสือเตรียมสอบ เมื่อ: ตุลาคม 05, 2010, 02:27:36 pm
รวมเคล็ดลับการอ่านหนังสือสอบ ให้ได้ผล

ตอนนี้น้องๆ คงต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบปิดเทอมกันแล้ว
เปิดในเว็บเจอเคล็ดลับต่างๆ ที่จะทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านหนังสือสอบ ก็เลยเอามาฝากค่ะ
 หลายเคล็ดลับจริงๆ ก็เลือกสักอย่างที่เหมาะกับตัวเองนะค๊า

10 เคล็ดลับ จำง่าย การอ่านหนังสือสอบ CoolYellLaughing

1. ปิด ทีวี คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต mp3 มีสติอยู่กับหนังสือ
2. นั่งสมาธิสัก 5 นาที
3. อ่านหนึ่งรอบ แล้วสรุป โดยไม่เปิดหนังสือ
4. เช็คคำตอบ
5. อ่านอีกหนึ่งรอบ
6. สรุปใหม่ เปิดหนังสือได้เอาไว้อ่าน
7. ถ้าทำเป็น Mind Mapping จะอ่านง่ายขึ้น
8. มีเอกสารอะไรที่ครูแจก อย่าคิดว่าไม่สำคัญ
9. ท่องในส่วนที่ครูพูดย้ำบ่อยๆ อย่างน้อย 2 ครั้ง/คาบ
10. ก่อนวันสอบ ห้ามหักโหมอ่านหนังสือถึงเที่ยงคืน เพราะสมองจะไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น

-------------------------------------------------------------------------------------------------

5 เคล็ดลับการอ่านหนังสือสอบ
วิธีอ่านหนังสือ  แบบว่าอยากสอบผ่าน....

1. คนที่อ่านหนังสือคนเดียวมักจะเสียเปรียบ คนที่อ่านเป็นกลุ่มมักจะได้เปรียบ เนื่องจากอ่านคนเดียวอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน หรืออ่านไม่ตรงจุด หรือ(บางคน)อาจอ่านไม่รู้เรื่อง ถ้าอ่านเป็นกลุ่มโอกาสอ่านผิดจุดจะยากขึ้น และยังพอช่วยกันฉุดได้

   ** แต่วิธีนี้ไม่เหมาะสำหรับคนชอบแชตนะค่ะ อิอิ

2. ควรอ่านเองที่บ้านก่อน 1 รอบ และจับกลุ่มติว เสร็จแล้วกลับไปอ่านทบทวนเองที่บ้านอีก 1 รอบ (ต้องรับผิดชอบตัวเอง)

3. ผลัดกันติว ใครเข้าใจเรื่องใดมากที่สุดก็ให้เป็นผู้ติว ข้อสำคัญ อย่าคิดแต่จะเป็นผู้รับอย่างเดียว จงคิดว่าเป็นผู้ให้ก่อน แล้วคนอื่น (ถ้าไม่แล้งน้ำใจเกินไป) ก็จะให้ตอบเอง

4. ผู้ติวจะได้ทบทวนเนื้อหา และจะรู้ว่าตัวเองขาดอะไร บกพร่องอะไร จากคำถามของเพื่อนที่สงสัย บางครั้งเพื่อนก็สามารถเสริมเติมเต็มในบางจุดที่ผู้ติวขาดหายได้

5. การติวจะทำให้เกิดการ Share ความคิด และฝึกวิธีทำงานร่วมกับผู้อื่น ช่วยพัฒนาทั้งด้าน IQ และ EQ (อ่านเองจะพัฒนาแต่ IQ)

เป็นยังไงบ้างคะ กับวิธีอ่านหนังสือที่เน้นการจับกลุ่มซะหน่อยนึง  แต่ลองทำดูสิ  อาจจะได้ผลนะ
ที่มา aommee

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

...เทคนิคการอ่านหนังสือยังไงน่ะให้จำง่ายๆ...

ข้อที่ 1. น้องๆต้องใส่ใจเรื่องรายละเอียดเล็กๆน้อยๆก่อนเลยล่ะ ดูซิ!!!ว่าวิชาไหนน่ะที่เราต้องสอบเป็นอันดับแรกๆ หยิบวิชานั้นขึ้นมาก่อนเลย เตรียมไว้นะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับวิชาที่จะสอบ ชีท เอกสารต่างๆ หรือแนวข้อสอบ(อันนี้สำคัญนะค่ะ หาให้เจอล่ะ) ค้นเลยๆ ทุกวิชานะค่ะ

ข้อที่ 2. แยกหมวดหมู่แต่ละวิชา ก่อน-หลัง แล้วหาที่วางไว้อย่างเป็นระเบียบด้วยล่ะ

ข้อที่ 3. เตรียม ดินสอ/ปากกา สมุด และปากกาเน้นข้อความไว้ด้วยนะ

ข้อที่ 5. เริ่ม อ่านวิชาที่จะต้องสอบก่อนเป็นวิชาแรกเลยค่ะ ตรงนี้แหละสำคัญมาก น้องๆอย่าอ่านๆๆๆๆๆแล้วก็อ่านเพื่อให้จบ แบบผ่านๆนะค่ะ ต่อให้น้องๆอ่านสัก 10 รอบแล้วบอกคนอื่นๆว่า "ก็เค้าอ่านเป็นสิบๆรอบแล้วอ่ะ แต่ทำไมทำข้อสอบไม่ได้เลยน่ะ?"  อ่ะๆๆๆ!!! อ่านสัก 100 รอบก็ไม่ช่วยอะไรหรอกเจ้าค่ะ อ่านแล้วต้องทำความเข้าใจไปด้วย ตรงไหนที่คิดว่าสำคัญๆ น้องๆก็เน้นตรงจุดนั้นไว้ อาจจะใช้วิธีการจดบันทึกไว้ หรือ เน้นข้อความด้วยปากกาสีต่างๆก็ได้ค่ะ เพื่อว่าจะได้กลับมาอ่านอีกครั้ง

ข้อที่ 6. นั้น งัยๆๆๆพี่บอกไปตะกี้เองนะค่ะว่าอย่าอ่านแบบผ่านๆ ดูสิ!!!น้องๆลองกลับไปอ่านข้อ 3 ใหม่สิค่ะ แล้วดูซิว่าที่ต่อจากข้อ 3 นะเป็นข้อที่เท่าไหร่ ข้อที่ 4หายไปๆๆๆๆ ส่วนน้องๆคนไหนสังเกตเห็นก่อนที่พี่เฉลย น้องก็ไม่มีปัญหาในเรื่องของการอ่านหนังสือแล้วละค่ะ เก่งมากๆเลย ส่วนน้องๆคนไหนที่ไม่ทันได้สังเกต ก็เอาจุดนี้เนี่ยแหละค่ะไปลองปรับใช้กับการอ่านหนังสือดูตามที่พี่บอกไว้ใน ข้อที่ 5 นะค่ะ

ข้อที่ 7. อ่ะ ต่อๆๆ การไม่ปล่อยให้ท้องว่างก็เป็นสิ่งสำคัญนะค่ะ ถ้าน้องๆอ่านๆๆๆหนังสืออย่างเดียวจนลืมทานข้าวแล้วละก็ นอกจากน้องๆ จะอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องแล้ว อาจจะทำให้ป่วย และทำให้เป็นโรคกระเพาะได้ด้วยนะจ๊ะ สำคัญเลย ต้องหาอะไรทานเมื่อท้องว่างด้วยน้า...อย่าทรมาณตัวเองละ

ข้อที่ 8. ใน การอ่านหนังสือ น้องๆควรเลือกเวลาที่รู้สึกว่าสมองเราพร้อมจะทำงานด้วยนะจ๊ะ แล้วเมื่อน้องๆรู้สึกว่าเริ่มอ่านไม่ไหวแล้วล่ะ อ่านนานมากไปทำให้ปวดตา ปวดหัว ให้น้องๆพักก่อน อาจจะหาอย่างอื่นทำ เช่นพักสายตาโดยการหาเพลงเพราะๆฟัง(อ่ะๆๆๆเลือเพลงที่ฟังแล้วจรรโลงใจด้วยละ ถ้าฟังเพลงที่หนักไป อาจทำให้ยิ่งปวดหัวมากกว่าเดิม ไม่รู้ด้วยนะเจ้าค่ะ) จะดูทีวี เล่นเกม หรือกิจกรรมอื่นๆที่ทำแล้วผ่อนคลายก็หามาลองทำกันดูนะเจ้าค่ะ แต่ๆๆๆๆแล้วก็แต่...อย่าพักจนเพลินละ เมื่อถึงเวลาที่ร่างกายผ่อนคลายเพียงพอแล้วก็กลับเข้าสู่โหมดการอ่านหนังสือ ต่อเลยยย (เอาน่าๆทนเอาหน่อยนะเจ้าค่ะ สอบไม่ได้มีมาบ่อยๆ ตั้งใจให้สุดๆไปเลย)

ข้อที่ 9. นั้น แน่ๆ พี่รู้นะว่าน้องๆเริ่มใส่ใจในรายละเอียดในการอ่านกันบ้างแล้ว คงคิดใช่มั้ยละ ว่าพี่จะแกล้งทำให้ข้อไหนหายไปอีกน่ะ!!! ดีแล้วค่ะถ้าน้องๆคิดแบบนี้นะ เป็นการฝึกตัวเองไปด้วย ให้เป็นคนรอบคอบ ดีค่ะๆ อ่ะต่อๆ

ข้อที่ 10. อ้า.... อ่านไม่ทันแล้วอ่ะ!!!ทำไงดีๆ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเพื่อนๆคนอื่นๆเกือบทุกคนละค่ะ ที่สำคัญเลย อย่าตื่นเต้นจนรนล่ะ ตั้งสตินะค่ะตรงนี้สำคัญมากๆเลย ให้น้องๆหยุดอ่านหนังสือต่อสักพักนึง แล้วดูซิว่า...พรุ่งนี้เราสอบวิชาอะไรบ้าง แล้วหยิบวิชาที่สอบเป็นวิชาแรกมาอ่านทบทวนก่อนเลย แล้วก็ทบทวนวิชาอื่นๆต่อไป (ตรงถ้าคิดว่ากลัวอ่านไม่ทันรอบทบทวนให้น้องๆอ่านในส่วนที่เน้น ที่สำคัญๆเอาไว้ก่อนเลย จำได้มั้ยเอ๋ยว่าในการอ่านรอบแรกพี่ให้น้องๆจดบันทึกที่สำคัญๆไว้ที่คิดว่า น่าจะออก หรือส่วนที่มันยาก จำไม่ได้ก็นำมาอ่านก่อนเลย ตรงส่วนไหนที่น้องๆจำได้ หรือเข้าใจก็เปิดผ่านๆเลยค่ะ ตอนนี้เราต้องทำเวลาแหละน่ะ)

ข้อที่ 11. เอา ละ...อ่านหนังสือสอบก็ต้องฟิสหน่อย น้องๆบางคนอาจจะอ่านหนังสือเร็วและเข้าใจง่ายทำให้การอ่านหนังสือไม่ค่อยมี ปัญหาเลยก็ดีไป ส่วนน้องคนไหนเป็นคนที่อ่านหนังสือช้าก็ต้องขยันกว่าคนอื่นๆหน่อยแล้ว อาจจะทำให้อ่านหนังสือไม่ทัน ทำให้ต้องนอนดึกหน่อย ก็อย่าลืมดูแลตัวเองนะค่ะ หานมอุ่นๆหรือของว่างทานสักนิดนึง ใส่ใจในสุขภาพหน่อยนะค่ะ เพราะเดี๋ยวน้องๆอาจป่วยได้ แล้วเป็นงัยน่ะ ไปสอบไม่ได้ แย่เลยน่ะเจ้าค่ะ สำคัญเลย ถ้าอ่านหนังสือไม่ทันแล้วจริงๆ แต่ร่างกายเราไม่ไหวแล้ว อย่าฝืนนะค่ะ ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น รีบเตรียมตัวเข้านอนกันดีกว่าค่ะ ตื่นเช้ามาจะได้สดชื่น แถมถ้าเราตื่นเร็ว ก็จะมีเวลาอีกนิดในการทบทวนก่อนเข้าห้องสอบนะค่ะน้องๆ

จากพี่ นางฟ้าซาตาน


105  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 20 อย่างที่สุดของชีวิตคนเรา เมื่อ: ตุลาคม 03, 2010, 01:23:16 pm
20 อย่างที่สุดของชีวิตคนเรา

1. ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนเรา คือ ตัวเอง

คนเราส่วนใหญ่มักนึกว่า คนที่ไม่ดีกับเรา คือศัตรูของเรา แต่ว่าโดยความเป็นจริงแล้ว ศัตรูที่สำคัญที่สุดไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นตัวเราเองเพราะว่า ศัตรูนอกกายเรามองเห็นได้ง่าย ง่ายที่จะป้องกัน แต่สำหรับตัวเองแล้ว ยากที่จะรู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้ยากที่จะบังคับตัวเองได้ ตัวเราไม่สามารถจะห้าม กิเลสและความโลภได้นิสัย ความโกรธแค้นก็ไม่สามารถระงับได้ เลยกลายมาเป็น ตัวเองเป็นศัตรูกับตัวเอง เที่ยวไปหาเรื่องและนำความเดือดร้อนมาใส่ตัว

2. โรคประจำตัวที่ร้ายแรงที่สุดของเรา คือ ความเห็นแก่ตัว

ร่างกายของคนเรามีเลือดเนื้อ ย่อมจะหลีกหนีไม่พ้นที่จะมีการแก่ ป่วย ตาย แต่ว่าความเจ็บป่วยในใจร้ายแรงกว่าความเจ็บป่วยในใจคืออะไร คือความเห็นแก่ตัว เพราะความเห็นแก่ตัวจึงทำให้มีจิตใจคับแคบดังนั้น นอกจากเราจะต้องดูแลรักษาสุขภาพ ไม่ให้เจ็บป่วยแล้วยังต้องรักษาความเห็นแก่ตัวในใจให้หายด้วย

3. สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดของคนเรา คือ ความไม่รู้

คนเราไม่ใช่ไม่มีทรัพย์สินเงินทอง ไม่มีอำนาจวาสนาไม่มีงานทำ แต่เป็นความไม่รู้ ไม่เข้าใจความเป็นจริงของโลกไม่รู้ว่าสิ่งต่างๆในโลก ล้วนเกิดจากเหตุและปัจจัย มีเหตุต้นผลกรรม

4. สิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตของคนเรา คือ การมีมุมมองที่ผิด

คนเราเมื่อทำความผิดแล้ว หากเป็นความผิดพลาดเรื่องงาน ยังทำการแก้ไขได้มุมมองที่ผิด ความคิดที่ผิด ไม่แต่ไม่รู้จักแก้ไขให้ถูก แต่ยังคิดว่าตัวเองคิดถูกทำถูกนี่เป็นสิ่งที่คนในสังคมยุคปัจจุบันเป็นกันมากที่สุด เป็นเรื่องที่น่ากลัวจริงๆ

5. ความพ่ายแพ้ที่ยิ่งใหญ่ของคนเรา คือ ความเย่อหยิ่ง

ดังคำที่ว่า “ความอ่อนน้อมถ่อมตนมักจะนำผลประโยชน์มา ให้ แต่ความเย่อหยิ่งจองหองมักจะนำโทษมาให้” คนเราไปไหนหากนึกแต่ว่าตัวเองเก่ง ตัวเองเลอเลิศไม่ว่าจะไปที่ไหน ย่อมไม่ได้การต้อนรับจากที่นั่นดังนั้นความเย่อหยิ่ง จองหอง จึงเป็นความพ่ายแพ้ที่ยิ่งใหญ่

6. สิ่งที่ทำให้เราทุกข์กังวลที่สุดในชีวิตของ คือ กิเลส

มีคนบอกว่าโลกของเราเต็มไปด้วยความทุกข์ เศร้า กังวลอะไรคือความทุกข์ที่สุดหรือ? บางคนบอกว่า ปากท้อง บางคนบอกว่าความรักแต่แท้จริงแล้ว สิ่งที่ทำให้เราทุกข์กังวลมากที่สุดคือ กิเลส ทรัพย์สินเงินทอง รูปร่างหน้าตา อาหารการ กิน ลาภยศ วาสนา สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ทำให้เราอยากมี อยากเป็น เมื่ออยากได้ไม่รู้จักพอย่อมเกิดความทุกข์กังวล จึงเป็นเหตุให้เราทุกข์ไม่มีสิ้นสุด

7. สิ่งที่ทำให้เราไม่รู้ที่สุด คือ ความโกรธแค้น

ไม่รู้คือความไม่เข้าใจในเหตุผลต่างๆ เมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่สมหวังดังใจ ก็โกรธ เพ่งโทษผู้อื่น โกรธเคืองฟ้าดิน แม้แต่แม้กับคนในครอบครัว สังคม หรือประเทศชาติหรือขณะที่เคืองแค้นก็ขว้างปา ทำลายสิ่งของของตัวเองนี่คือความไม่รู้ที่สุดของคนเรา ไม่เคยโทษตัวเอง ได้แต่โทษผู้อื่น

8. สิ่งที่คนเราเป็นห่วงกังวลที่สุด คือ ความเป็นความตาย

ยังมีชีวิตอยู่ก็ชิงดีชิงเด่น อยากมีชื่อเสียง กลั่นแกล้งผู้อื่นครั้นเมื่ออนิจจังมาถึง ก็กลัว หน้าที่การงาน ทรัพย์สมบัติความรัก จะหายไปในชั่วพริบตา ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็เป็นห่วงกังวลได้ทุกขณะ

9. ความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนเรา คือ การไปทำร้ายผู้อื่น

ทำลายชีวิตของผู้อื่น ทำลายชื่อเสียง ขโมย หรือล่วงละเมิดทางเพศหรือทำสิ่งไม่ดีต่างๆนานา

10. สิ่งที่ลำบากใจที่สุดในชีวิตของคนเรา คือ ถูกผิด

มีคนพูดว่าอยู่ที่ไหนก็ต้องมีถูกผิด ถูกหรือผิดสร้างความลำบากใจให้เราได้ไม่มากก็น้อย ความถูกผิดมีได้ทุกที่หากเราไม่ไปฟังเรื่องราวของผู้อื่น ก็ย่อมจะไม่เกิดอะไรขึ้น เพียงแต่เราไม่ไปฟังเรื่องราวของผู้อื่น ไม่ไปต่อความยาวสาวความยืดของผู้อื่นก็ไม่ต้องนำความลำบากใจให้กับตนเอง จึงเป็นความพ่าย แพ้ที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของคนเรา

11. คุณธรรมอันดีงามที่สุดของคนเรา คือ ความเมตตา

ความดีงามของคนเราไม่ได้อยู่ที่ความสวยงามการ มีทรัพย์สินมากมาย มีความสามารถล้นเหลือดังนั้นยอมที่จะเป็นคนไม่มีความสามารถอะไรไม่มีการ ศึกษา แต่จะไม่ยอมให้ขาดความเมตตาเพราะความเมตตา คือ คุณธรรมอันแท้จริง

12. ความกล้าหาญที่สุดของคนเรา คือ กล้ายอมรับผิด

คนเราต้องมีความกล้า ความกล้าไม่ใช่กล้าชกต่อยกับผู้อื่นและก็ไม่ใช่ไปชิงดีชิงเด่นกับผู้อื่น เอาชนะคะคานกับผู้อื่นแต่เป็นการรู้สำนึกว่าบางสิ่งตัวเองไม่ควรพูด ไม่ควรทำอย่างนั้นไม่ควรไปขัดขวางอย่างนี้ คนที่สามารถรู้สำนึกว่าตัวเองผิดจึงจะเป็นผู้กล้าหาญที่สุด

13. รายรับที่มากที่สุดของคนเรา คือ ความรู้จักพอ

ทุกๆคนก็หวังแต่จะให้ตัวเองได้ ตัวเองประสบผลสำเร็จ ได้รับผลประโยชน์หากไม่รู้จักพอ แม้จะนอนอยู่ บนวิมาน กับเหมือนกับนอนอยู่ในนรกหากรู้จักพออยู่ในนรก ก็เหมือนกับอยู่บนวิมานดังนั้นความรู้จักพอจึงเป็น เป็นรายรับที่มากที่สุด

14. การบุกเบิกทรัพยากรที่มีอยู่ของตัวเองที่มีค่ามากที่สุด คือความศรัทธา

ใครๆ ก็พูดกันว่า ต้องบุกเบิกทรัพยากรมาใช้ทรัพยากรนั้นไม่ได้หมายถึง สินแร่ในป่า สิ่งล้ำค่าในทะเล และก็ไม่ใช่ก๊าซธรรมชาติแต่ในความศรัทธามีทรัพย์สิน มีคุณธรรม มีสิ่งล้ำค่า

15. สิ่งที่คนเราควรมีให้มากที่สุด คือ ความรู้สำนึกในบุญคุณของผู้อื่น

คนประเภทไหนร่ำรวยที่สุด คนประเภทไหนยากจนที่สุดคนยากจนคือคนที่อยากจะได้อยู่ร่ำไป คนมั่งมีคือคนที่มีแต่ความรู้สึกขอบคุณและคิดแต่จะเจือจานช่วยเหลือผู้อื่นดังนั้น ผู้ที่มีความรู้สึกสำนึกในบุญคุณ ถนอมสิ่งที่ตนมีอยู่ จึงเป็นผู้ที่มีมากที่สุด

16 . สิ่งที่ควรบ่มเพาะให้มีมากที่สุด คือ ความใจกว้าง

ทุกคนก็หวังจะให้ตัวเองเป็นผู้มีการศึกษาอบรมดังมีคำกล่าว ว่า “ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความนุ่มนวล แต่จะต้องเคร่งครัดต่อตัวเอง” คนอื่นจะปฏิบัติต่อเราดีหรือไม่ เราก็สามารถเข้าใจ และยอมรับได้ นี่คือสิ่งที่ควรบ่มเพาะให้มีมากที่สุด

17. ต้นทุนที่มากที่สุดของคนเรา คือ ศักดิ์ศรี

คนจะเป็นคนได้ต้องมีศักดิ์ศรี ก็เพราะว่าคนเรามีศักดิ์ศรี ด้วยเหตุนี้อะไรก็เสียสละได้ แต่ว่าเมื่อผ่านการบีบคั้นของ ความเสียสละก็ยังคงเหลือศักดิ์ศรีไว้ ดังนั้นสำหรับศักดิ์ศรีความเป็นคนของทุกคนจึงต้องให้ความสำคัญ และรักษามันไว้

18. ความปลื้มปีติที่มากที่สุดของคนเรา คือ ความสุขจากรสพระธรรม

คนส่วนใหญ่มักจะหาความสุขจาก สิ่งล่อที่เป็นกิเลสและวัตถุ เช่นจากคำชมเชยเพียงคำเดียว ก็เป็นปลื้มไปเสียครึ่งวัน แต่ความสุขจากคำชมเชยเดี๋ยวเดียวก็ผ่านไปแล้ว ความสุขที่ได้จากการมีทรัพย์สิน แต่ว่าทรัพย์สินก็เหมือนสายน้ำไหล ชั่วประเดี๋ยวก็ใช้หมดแล้ว ความสุขที่ได้จากการท่องเที่ยว แต่ว่าพันลี้หมื่นลี้กระพริบตาผ่านไป ความสุขก็ผ่านไปมีความปลื้มปีติเพียงสิ่งเดียวที่จะยังอยู่ตลอดไปคือความสุข จากรสพระธรรม ปีติสุขจากธัมมะ ได้จาก ปัญญา ตัวรู้ และการภาวนา เป็นสิ่งที่สามารถมีได้ตลอดชีวิต ไม่สูญสลายตลอดไป

19. ความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนเรา คือ ความปลอดภัย

ทรัพย์สินเงินทองและเกียรติยศ เป็นสิ่งที่คนปรารถนาอยากมีมากที่สุดแต่ว่าเมื่อได้ทรัพย์สินและชื่อเสียง แล้ว ก็ขาดความปลอดภัยชีวิตอย่างนี้ย่อมไม่มีความหมาย ดังที่กล่าวว่าความปลอดภัย สงบสุขคือวาสนา

20 . สิ่งที่ควรจะสร้างให้มีมากที่สุด คือ เพื่อประโยชน์สุขของมวลชน

ประโยชน์สุขของมวลชนได้จาก เมตตาจิต ความมีน้ำใจที่ดีงามเช่นพูดในสิ่งที่มีประโยชน์ให้กับทุกคน ทำในสิ่งที่มีประโยชน์ให้กับทุกคนจะสร้างถนนหรือสร้างสะพาน ขอเพียงให้เป็นประโยชน์กับทุกคนตัวเองก็ยินดีที่จะเสียสละแรงงานและแรงใจที่ จะไปช่วย
106  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทำบุญ สุขภาพ ให้พระสงฆ์กันด้วย นะคะ เมื่อ: กันยายน 27, 2010, 04:03:45 pm
ได้จาก fwd mail มาเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์บ้างกับท่านที่จะไปทำบุญตักบาตรหน่ะครับ
.

..
2-3 วันที่ผ่านมานี้ได้ยินได้ฟัง ข่าวสารเรื่องการทำบุญใส่บาตรหลายครั้ง
อาจจะเพราะเป็นวันพระใหญ่ประจำปี ถึง 2 วันด้วยกัน
ข่าวสารที่ได้ยินมา สรุปได้ความว่า เราเองก้อเป็นคนนึงที่กำลังทำร้ายพระ
ทำร้ายโดยความไม่รู้ ในวันพระ วันเกิด วันสำคัญต่างๆ เรานำอาหารไปทำบุญ
ทำแกงกะทิ ขาหมูพะโล้ ขนมชั้น ทองหยอด ฝอยทอง สารพัดอาหารอร่อย
ไปใส่บาตร ไปเลี้ยงพระ เราเน้นที่ความอร่อย ไม่ใช่อาหารเพื่อสุขภาพแบบที่เรา
กำลังกินกันอยู่ทุกวันนี้ ทุกๆวันเราพยายามหันมาบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ
เพราะเรารักตัวเราเอง แต่ลืมคิดไปว่าพระเองก้อต้องการอาหารเพื่อสุขภาพเช่นเดียวกัน
พระภิกษุท่านไม่สามารถร้องขอ "อาหารเพื่อสุขภาพบ้างได้ไม๊โยม"
พระภิกษุท่านไม่สามารถร้องขอ "เปลี่ยนขนมหวานเป็นผลไม้ได้ไม๊โยม"
ที่โรงพยาบาลสงฆ์ จึงเต็มไปด้วยพระที่อาพาธเพราะโรคเบาหวาน ความดันสูง
เรามาช่วยกันทำบุญ ช่วยกัน"ไม่ทำร้ายพระภิกษุทั้งหลาย"กันนะคะ
******************************************************
อาหาร ที่จะนำใส่บาตร หรือ อาหารที่จะนำไปถวายพระนั้น ไม่ควรเน้นความอร่อย เพราะอาหารอร่อยมักเป็นผลเสียแก่สุขภาพ โดยเฉพาะอาหารที่ปรุงด้วยรสจัดจ้าน อุดมไปด้วยน้ำมันและน้ำตาล ซึ่งเป็นที่มาแห่งโรคภัยนานาชนิด และทำให้พระฉันอาหารไปแล้วมีร่างกายอ้วนเทอะทะเป็นภาระแท้

น้ำพริก ผักสด-ผักลวก-ผักต้ม เป็นอาหารที่น่าจะนำไปถวายพระสงฆ์สามเณร เพราะเป็นอาหารสุขภาพ และมีคนฉุกคิดที่จะถวายอาหารประเภทนี้ไม่มากนัก ยิ่งเป็นพืชผักไร้สารพิษด้วยแล้วก็ยิ่งเป็นอาหารวิเศษ ถือว่าเป็นอาหารอันประณีตแท้เทียว.....

ที่มา : ท่านจันทร์ WWW.PRAJAN.COM
107  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เคล็ดวิชา สร้างสุขให้แก่ชีวิต แบบเทวดา เมื่อ: กันยายน 27, 2010, 03:53:45 pm
ถ้า คุณรู้สึกว่าชีวิตเจอแต่เรื่องร้ายมากกว่าเรื่องดี คุณจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่คุณไร้ซึ่งความเครียดน ั้นเมื่อใดกันแน่ แต่ตอนนี้ความช่วยเหลืออยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว แพม ริชาร์ดสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านแนะแนวชีวิตของ Health plus จะมาเผย 7 ขั้นตอนเพิ่มสุขให้ชีวิต

หากคุณยังมัวแต่ร่ำไห้เสียใจถึงความผิดพลาดในอดีต จงเลิกเสีย ยกโทษให้ตัวเองแล้วก้าวไปข้างหน้า

 1.คิดดีกับตัวเอง

คุณ มองตัวเองในแง่ลบบ่อยแค่ไหน คุณชอบบอกตัวเองว่า "ใส่ชุดนี้แล้วฉันดูอ้วน" หรือ "ฉันกำลังหมดอนาคตกับงานที่ทำ" การคิดติติงตนเองสามารถทำได้ภายใต้กรอบแห่งความสุข เรียนรู้ที่จะกลบเสียงติติงนั้น และพยายามสร้างศรัทธาในตนเอง ชีวิตก็จะมีความสุขยิ่งขึ้น

เคล็ดลับความสุข

ในหนึ่งวัน อย่าพูดหรือคิดอะไรในแง่ลบเกี่ยวกับตัวเอง คนอื่น หรือเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หากเผลอคิด ให้เริ่มต้นใหม่ แล้วคุณจะประหลาดใจที่รู้สึกว่าตัวเองเริ่มมองอะไรๆ ในแง่ดี

2. กล้าเผยความรู้สึก

คุณ รู้สึกว่าตัวเอง "ต้อง" หรือ "ควร" ทำอะไรบางอย่างหรือเปล่า ไม่ว่าคุณจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างที่ตัวเองต้องการ หรือใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความต้องการของคนอื่น การเลือกใช้คำพูดว่า "ฉันเลือกที่จะ" ทำหรือไม่ทำ สามารถส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อความรู้สึกของคุณที ่มีต่อเรื่องนั้นๆ

เคล็ดลับความสุข

เรียน รู้ที่จะบอกคนอื่นถึงสิ่งที่คุณต้องการหรือไม่ต ้องการ หากคุณไม่มีความสุขกับงานที่รับผิดชอบอยู่ จงบอกเจ้านายคุณตามตรงว่า งานนี้ยาก จะได้ช่วยกันหาทางแก้ปัญหา และถ้าความรักของคุณกำลังง่อนแง่น ลองสะกิดคนรักให้หาเวลาไปเที่ยวโรแมนติกกันตามลำพังส องต่อสอง

3.ยอมรับความผิดพลาด

ไล่ ตั้งแต่การยอมควักเงินเป็นฟ่อนซื้อเสื้อผ้าตัวเล็ กเกินไป จนถึงการเลือกคบคนผิด เราทุกคนล้วนเคยตัดสินใจผิดพลาดจนต้องมานึกเสียใจภาย หลัง แต่นี่คือสิ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้และเติบโตขึ้น จริงอยู่ที่การมองย้อนหลังกลับไปไม่ใช่เรื่องยาก แต่การทำสิ่งผิดพลาดและการเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่โ ดยไม่เอาแต่นั่งคร่ำ ครวญถึงความผิดพลาดในอดีต คือ กุญแจสำคัญอย่างหนึ่งของการมีความสุข

เคล็ดลับความสุข

หาก คุณยังมัวแต่ร่ำไห้เสียใจถึงความผิดพลาดในอดีต จงเลิกเสีย ยกโทษให้ตัวเอง แล้วก้าวไปข้างหน้า เขียนความรู้สึกที่คุณได้รับ เพราะนี่คือผลลัพธ์ของความผิดพลาด เนื่องจากสิ่งนี้จะช่วยให้คุณสามารถรับมือกับเหตุการ ณ์ในอนาคต

4.สร้างความเปลี่ยนแปลง

คน ส่วนมากกลัวการเปลี่ยนแปลง แต่ความกลัวดังกล่าว หมายถึงการที่เราต้องทนอยู่กับสถานการณ์ที่ไม่ดีกับเ รา เช่น งานที่น่าเบื่อไม่ก้าวหน้า หรือความสัมพันธ์ที่ง่อนแง่น ซึ่งนี่คืออุปสรรคยิ่งใหญ่ที่ขัดขวางความสุข พึงระวังว่าในระยะยาว ทัศนคติที่มีต่อสิ่งเหล่านี้จะเป็นอันตรายต่ออารมณ์แ ละสุขภาพมากกว่าการก้าว ข้ามปัญหานั้น และจัดการกับมันเท่าที่จะทำได้

เคล็ดลับความสุข

คิด ถึงสิ่งที่คุณอยากเปลี่ยนแปลง จากนั้นทำลิสต์ 2 หัวข้อต่อไปนี้ หัวข้อแรกคือประโยชน์ของการเปลี่ยนแปลง และอีกหัวข้อคือต้นทุนของการเปลี่ยนแปลง ถ้าหัวข้อที่เป็นประโยชน์ยาวกว่าให้เลือกตัดสินใจเปล ี่ยนแปลง และลงมือทำอย่างเคร่งครัด

 5.ให้เกียรติกับคุณค่าของตัวเอง

สิ่ง ที่มีคุณค่าอย่างแท้จริงของคุณคือสิ่งที่มีความส ำคัญอย่างยิ่งต่อตัวคุณ เช่น การใช้เวลาอยู่กับครอบครัวและเพื่อนฝูง การบริจาคเงินหรือการสนุกกับงานอดิเรกที่สร้างสรรค์ เมื่อคุณให้เกียรติกับสิ่งที่มีคุณค่าเป็นประจำสม่ำเ สมอ คุณก็จะมีความสุขอย่างแท้จริง

เคล็ดลับความสุข

ค้นหาสิ่งที่ มีคุณค่าอย่างแท้จริงของคุณโดยการพิจารณ าว่าอะไรคือสิ่งสำคัญ ที่สุดในชีวิตคุณ ใช่การทำให้คนรอบข้างมีความสุขหรือเปล่า หรือจะเป็นการช่วยเหลือสังคม ลองคิดดูว่าความต้องการในชีวิตส่วนนี้ของคุณคืออะไร ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเป็นคนรักสัตว์และโลกใบนี้ ก็ให้เข้าร่วมกิจกรรมกับกลุ่มรณรงค์ เช่น กองทุนพิทักษ์สัตว์ป่าโลก (WWF) เป็นต้น

6.ใช้ชีวิตอย่างสมดุล

คน ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับด้านในด้านหนึ่งของชีวิตเพ ียงอย่างเดียวมากเสียจน ละเลยชีวิตในด้านอื่นๆ เช่น ถ้าคุณทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิตดูแลครอบครัวมานานนับ 10 ปี ก็อาจทำให้คุณละเลยสิ่งที่เป็นความสำเร็จหรือความพอใ จ เช่น หน้าที่การงานหรืองานอดิเรก ดังนั้นจงพยายามปรับความสมดุลชีวิตด้านอื่นเพิ่มขึ้น ทีละน้อย

เคล็ดลับความสุข

ใคร่ ครวญดูว่าชีวิตด้านใดของคุณที่หายไป แล้วหาทางขยับเข้าไปใกล้ความสำเร็จในด้านนั้น หากชีวิตด้านสังคมหายไป ก็ควรนัดเพื่อนฝูงออกไปพบปะสังสรรค์กันเป็นประจำ หรือหากมีความสับสนวุ่นวายทางการเงิน ให้หาเวลาเดือนละครั้งเอากองใบเสร็จและใบแจ้งหนี้ธนา คารมาแยกจัดให้เป็น ระเบียบ

7.สนุกกับชีวิต

การทุ่มเทพลังทั้งหมดให้กับงาน ครอบครัว การควบคุมน้ำหนักหรือการออกกำลังกายอาจทำให้คุณลืมหา ความสุขให้ตัวเอง แต่ความสนุกสนานร่าเริงมีความสำคัญกับจิตใจพอๆ กับชีวิตในด้านอื่นๆ นี่คือเคล็ดลับที่แท้จริงของความสุข

เคล็ดลับความสุข
เมื่อ คุณรู้สึกว่าชีวิตเครียดมากเกินไปให้ออกไปเที่ย วหาความสนุกใส่ตัว การเต้นรำ ดูหนัง หรือแม้แต่ทำอะไรเรียบง่าย อย่างการวาดรูปหรืออะไรก็ได้ที่ทำให้คุณรู้สึกผ่อนคล ายจากความเครียดทั้งมวล
เครดิต สะกุดาษ
108  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ประโยชน์ ของ น้ำผึ้งสมุนไพร ใกล้ตัว เมื่อ: กันยายน 27, 2010, 03:51:02 pm

หาก จะพูดเรื่องของน้ำผึ้งคงไม่มีวันจบสิ้นเพราะมีคุณค่า สารพัดประโยชน์เหลือ เกิน จนทุกวันนี้มีงานวิจัยเกี่ยวกับน้ำผึ้งออกมาอยู่เรื่ อย ๆ

เช่น วิจัยพบน้ำผึ้งแท้สามารถบรรเทาอาการไอจากหวัดได้ดีกว ่ายาแก้ไอที่มีจำหน่ายตามท้องตลาดทั่วไป ช่วยให้นอนหลับง่ายในเด็กที่ป่วยเป็นหลอดลมส่วนบนติด เชื้อ ซึ่งเป็นงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สเตท (The Pennsylvania State University) ประเทศสหรัฐอเมริกา

สำหรับ งานวิจัยชิ้นนี้เป็นการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างประสิ ทธิภาพในการบรรเทาอาการ ไอของน้ำผึ้งกับยาแก้ไอสามัญ dextromethorphan (DM) ที่อนุญาตให้จำหน่ายตามร้านขายยาและใช้กันมากที่สุด

อย่างไรก็ดี นักวิจัยกล่าวว่า น้ำผึ้งนั้นไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบ และน้ำผึ้งที่ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สเตท นี้ศึกษาเป็นน้ำผึ้งชนิดสีเข้มซึ่งมีคุณสมบัติในการต ้านอนุมูลอิสระด้วย และนักวิจัยระบุว่าเหตุที่น้ำผึ้งสามารถช่วยบรรเทาอา การไอได้นั้นก็เพราะว่า มันทำให้ลื่นคอและรู้สึกผ่อนคลายที่ลำคอ

น้ำ ผึ้งแท้และมีคุณภาพดีจะดูอย่างไร มีวิธีมาบอก โดย หทัยพร ศิรินามารัตนะ แห่งภาควิชาเภสัชเวท คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร บอกไว้ว่า

น้ำ ผึ้งที่ดีควรมีกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ระบุไว้บนฉลาก ข้างขวดน้ำผึ้ง เช่น น้ำผึ้งลำไยก็ควรมีกลิ่นของลำไย เป็นต้น น้ำผึ้งต้องมีความหนืด แม้ในอากาศร้อนหรืออุณหภูมิห้อง น้ำผึ้งที่ดีต้องมีสีอ่อนตามธรรมชาติที่ได้เก็บเกี่ย วมา ถ้าน้ำผึ้งมีสีเข้มมากจนดำ แสดงว่าเป็นน้ำผึ้งที่เก็บมานานแล้ว ซึ่งน้ำผึ้งที่เก็บมานานจะมีคุณประโยชน์ลดลงเรื่อย ๆ

ดังนั้นควรดู วันหมดอายุที่ข้างขวด แต่อาจเป็นข้อมูลที่ไม่เที่ยงตรงนัก เพราะน้ำผึ้งอาจถูกเก็บไว้นานเป็นปีก่อนนำมาขาย น้ำผึ้งที่ดีต้องไม่แยกชั้น ต้องอยู่เป็นเนื้อเดียวกัน แม้ในบางครั้งอาจพบน้ำผึ้งเกิดการตกผลึกได้เนื่องจาก น้ำผึ้งที่ได้จากการ เลี้ยงด้วยดอกไม้ต่างชนิดกัน แต่น้ำผึ้งแท้ที่ตกผลึกนั้นจะมีผลึกเป็นแท่งเหลี่ยมแ หลมเปราะบาง และถ้าน้ำผึ้งนั้นตกผลึกทั้งขวดจะมองเห็นสีผลึกเป็นส ีเดียวกันทั้งขวดไม่ เป็นสีเข้มปนสีอ่อนตกผลึกอยู่ที่ก้นขวด เหนือผลึกขึ้นมาเป็นของเหลวเป็นส่วนมากและสีของเหลวน ั้นมักมีสีเข้มกว่าผลึก อย่างเห็นได้ชัด

เราจะเรียกน้ำผึ้งลักษณะนี้ ว่า ผึ้งตกตะกอน และสามารถทดสอบน้ำผึ้งที่ตกตะกอนนี้ได้โดยการนำน้ำผึ ้งมาแช่ตู้เย็นจะเห็น ได้ชัดเจนและรวดเร็วขึ้น น้ำผึ้งต้องสะอาดไม่มีสิ่งเจือปนอื่น ถ้ามีแสดงว่าวิธีการเก็บเกี่ยวไม่ดี ดูแล้วไม่น่าบริโภค ถ้าดูน้ำผึ้งไม่เป็นเลยก็อาจดูจากฉลาก บริษัทผู้ผลิตว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยาหรือไม่ ซึ่งเป็นแนวทางในการเลือกซื้อน้ำผึ้งได้

"น้ำผึ้ง" ที่ คนทั่วไปอาจมองแต่เพียงด้านเดียวคือให้คุณประโยชน์ใน ด้านความหวาน ต่อไปนี้คงได้เห็นถึงคุณค่าและรู้จักใช้ประโยชน์จากน ้ำผึ้งให้มากยิ่งขึ้น
109  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คาถาเจ้าคุณ นร วัดเทพศิรินทร์ เมื่อ: กันยายน 27, 2010, 03:47:33 pm


110  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เรื่องจริง ที่ไม่อาจ ปฏิเสธ เมื่อ: กันยายน 27, 2010, 09:15:35 am
เวลาไม่มีเงิน...........คนแรกที่คิดถึงคือพ่อและแม่

แต่พอมีเงิน.............คนแรกที่คิดถึงคือแฟนและเพื่อน


อยากได้รถ.............คนแรกที่คิดถึงคือพ่อและแม่

แต่พอมีรถ..............คนแรกที่จะไปรับคือแฟนและเพื่อน



ร้านอาหารหรูๆบรรยากาศคลาสิค.....มีไว้สำหรับแฟนและเพื่อน

อาหารบนโต๊ะที่บ้าน.......................มีสำหรับพ่อและแม่


โรงหนังห้างสรรพสินค้า.......มีไว้สำหรับแฟนและเพื่อน

ทีวีและสวนหน้าบ้าน...........มีไว้สำหรับพ่อและแม่



พ่อและแม่คิดบัญชีค่าใช้จ่ายก่อนนอน..เพื่อความอยู่รอด

ลูกนอนคุยโทรศัพท์ เล่นเน็ตก่อนนอน...เพื่อให้หลับฝันดี


เวลาเรามีความสุข............มักจะมองหาแฟนและเพื่อน

เวลาเรามีความทุกข์..........คนที่กังวลหดหู่และเศร้าสลดใจ คือพ่อและแม่



เวลาประสบความสำเร็จ........เรามักมองหาแฟนและเพื่อนเพื่อนัดฉลองและสังสรร.....

แต่คนที่ดีใจที่สุดคือพ่อและแม่.........กลับกลายเป็นคนที่เรามองข้ามไป

ลูกไปรื่นเริงตามโรงหนัง เธค ผับโต๊ะสนุ๊กฯลฯ.......

พ่อและแม่กำลังทำงานหรือนอนหลับเก็บแรงไว้ทำงานหาเงินในวันรุ่งขึ้นเพื่อแลกสุขของลูก อยากให้ลูกเรียนสูงๆ


เวลาแต่งงาน.......คนที่เป็นธุระหาสินสอดทองมั่นคือพ่อและแม่........

ส่วนคนที่มีความสุขคือลูก



พ่อ และแม่ตำหนิ ตักเตือน

บางครั้งเต็มไปด้วยอารมณ์...........เพื่อให้ลูกได้ดี

แต่ลูกคิดว่าสิ่งที่พ่อและแม่พูด.......เป็นแค่เรื่องไร้สาระ


พ่อและแม่...คือผู้ฝ่าฟันปัญหาเป็นร้อยพันประการเพื่อลูก

แต่พอลูกมีปัญหา....มักคิดได้แค่ ท้อถอยหดหู่หรืออยากตาย!!!!


พ่อ และแม่คือผู้ที่ปกป้องและยืนเคียงข้างลูกจวบจนชีวิตจะหาไม่

ลูกกำลังคิดถึงสิ่งใด...




คำว่า "พ่อ" หรือ "แม่" อาจเป็นคำแรกที่เราพูดได้ตั้งแต่เกิด
แล้วคุณเตรียมอะไรไว้เพื่อคุณพ่อคุณแม่ของคุณหรือยัง





อย่าลืมตอบแทนความรัก ของ "คุณพ่อ คุณแม่"ด้วยการเป็นลูกที่ดีน่ะค่ะ เพียงเท่านี้ท่านก็ภูมิใจแล้วล่ะค่ะ
111  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / เกิดเป็นเปตร กินอุจจาระ ป้สสาวะ เพราะ ชอบใส่ร้ายป้ายสี เมื่อ: กันยายน 27, 2010, 08:54:36 am


สังคมปัจจุบันมีการใส่ร้ายป้ายสี กันมาก ไม่ว่าจะเป็นผู้แทนของประชาชนก็ตาม จนทำให้สังคมเกิดความสับสันว่าอะไรคือความจริง ความเท็จ รวมทั้งผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่มักพูดคำหยาบ คำส่อเสียด คำเพ้อเจ้อ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดศีล เพราะฉะนั้นทุกคนจึงต้องระมัดระวังคำพูดให้มาก ผู้ไม่สำรวมระวังในการพูด ตายแล้วจะไปเกิดเป็นเปรต ดังตัวอย่างในครั้งพุทธกาล เรื่องมีอยู่ว่า

ภิกษุประมาณ ๑๒ รูป หลังจากเรียนกรรมฐานกับพระพุทธเจ้าแล้ว ก็เดินทางไปแสวงหาสถานที่ที่เหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรมตอนช่วงใกล้จะเข้า พรรษา ได้พากันเดินทางไปถึงป่าแห่งหนึ่งซึ่งน่ารื่นรมย์ และอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านเท่าใดนัก จึงพากันปักกลดปฏิบัติธรรมอยู่ในป่านั้น หนึ่งคืน รุ่งเช้าก็ออกไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน

ช่างหูก ๑๑ คน ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนั้น เมื่อเห็นพระมาบิณฑบาตในหมู่บ้าน ก็เกิดความปีติยินดี จึงนิมนต์เข้ามา ที่บ้าน แล้วถวายภัตตาหารอันประณีต และเรียนถามว่า พระคุณเจ้าจะไปที่ไหน เมื่อบรรดาภิกษุบอกว่ากำลังแสวงหา ที่เหมาะๆ สำหรับการปฏิบัติธรรม พวกช่างหูกจึงได้นิมนต์ภิกษุทั้งหลายให้อยู่จำพรรษา ในหมู่บ้าน และพากันสร้างกระท่อมในป่าถวาย พวกภิกษุทั้งหมดจึงได้จำพรรษาอยู่ ณ ที่นั้น

ใน บรรดาช่างหูกเหล่านั้น หัวหน้าช่างหูกได้รับอุปัฏฐากภิกษุ ๒ รูป ด้วยความยินดียิ่ง ส่วนช่างหูกคนอื่นๆได้ อุปัฏฐากภิกษุคนละรูป ฝ่ายภรรยาหัวหน้าช่างหูก เป็นผู้ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใสในพุทธศาสนา เป็นมิจฉา-ทิฏฐิ มีความตระหนี่ ไม่สนใจ ที่จะอุปถัมภ์ภิกษุเลย ดังนั้น หัวหน้าช่างหูกจึงได้พาน้องสาวของภรรยามาอยู่ด้วย เพราะนางเป็นผู้มีศรัทธา มีความเลื่อมใส นางได้ ปรนนิบัติภิกษุทั้งหลายด้วยความยินดียิ่ง ช่างหูกทุกคนพร้อมภรรยาได้ถวายผ้าสาฎกแก่ภิกษุผู้อยู่จำพรรษารูปละผืน ยกเว้นภรรยาของหัวหน้าช่างหูก ซึ่งได้ด่าสามีของตนว่า

?ทานที่ท่าน ถวายแก่พวกพระสงฆ์ จะเป็นข้าว เป็นน้ำก็ดี จงบังเกิดเป็นอุจจาระ ปัสสาวะ เป็นหนองและเลือดแก่ท่านในโลกหน้า ผ้าสาฎกก็จงเป็นแผ่นเหล็กร้อนลุกโพลงเถิด?

ต่อมาหัวหน้าช่างหูกตายลง และไปเกิดเป็นรุกขเทวดา ในป่า ที่พวกพระมาปฏิบัติธรรม แต่ภรรยาที่ปากพล่อย เมื่อตายแล้วไปเกิดเป็นนางเปรต อยู่ไม่ไกลจากที่อยู่ของ รุกเทวดาเท่าใดนัก นางเปรต นั้นอยู่ในสภาพเปลือยกาย รูปร่างขี้ริ้วขี้เหร่ มีความหิวกระหายอยู่ตลอดเวลา นางเปรตได้เดินไปหารุกขเทวดาแล้วบอกว่า

?นาย.. ฉันไม่มีผ้านุ่งและหิวกระหายเหลือเกิน ขอผ้านุ่ง ข้าว และน้ำให้ฉันหน่อยเถิด?

รุกข เทวดาจึงได้ให้ ข้าวและน้ำอันเป็นทิพย์แก่นางเปรต แต่สิ่งของต่างๆ อันเป็นทิพย์ที่รุกขเทวดาได้ให้แก่นางไปนั้น ได้กลับกลายเป็นอุจจาระ เป็นหนอง และเลือด ผ้านุ่งก็กลาย เป็นแผ่นเหล็กร้อนลุกโพลงอยู่ตลอดเวลา!! นางเปรตจึงร้องไห้คร่ำครวญด้วยทุกข์อย่างมหันต์

ขณะนั้นมีภิกษุรูป หนึ่ง หลังจากออกพรรษาแล้ว ก็เดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า โดยอาศัยไปกับหมู่เกวียนหมู่ใหญ่ พวกหมู่เกวียนได้เดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อไปถึงป่าแห่งนั้นตอนกลางวัน เห็นความอุดมสมบูรณ์ของป่า มีร่มเงาเย็นสบาย จึงปลดเกวียนแล้วนั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้ ฝ่ายภิกษุก็แยกไปหาที่สงบ ปูผ้าลงที่ใต้ต้นไม้อันร่มรื่น กะว่าจะนอนพักสักครู่ แต่จู่ๆ ก็ม่อยหลับไป เพราะเหน็ดเหนื่อย จากการเดินทางมาตลอดทั้งคืน ส่วนหมู่เกวียนพอพักจนหายเหนื่อยแล้วก็ออกเดินทางต่อ โดยลืมภิกษุที่มาด้วยกัน ซึ่งหลับอยู่ใต้ร่มไม้

ภิกษุรูปนั้นหลับไป จน กระทั่งเย็น เมื่อตื่นขึ้นมาไม่เห็น ใคร จึงออกเดินทางต่อไปเรื่อยๆ เพียงลำพัง จนกระทั่งไปถึงต้นไม้ที่เทวดาสิงสถิตอยู่ ฝ่ายรุกขเทวดาเห็นภิกษุเดินมุ่งหน้ามาที่ต้นไม้ ก็แปลงร่างเป็นคนธรรมดาเข้าไปไหว้ และนิมนต์ให้เข้าไปพักใต้ต้นไม้อันเป็นวิมานของตน ถวายยาทาแก้ปวดเมื่อยแก่ท่าน

ขณะเดียวกันนั่นเอง นางเปรตผู้มีความหิวโหยก็เข้ามาขอข้าว น้ำ และเสื้อผ้า รุกขเทวดาก็ได้ให้ตามที่ขอ แต่พอนางรับไป ทุกอย่างก็กลับกลายเป็นอุจจาระ ปัสสาวะ หนอง เลือด และแผ่นเหล็กร้อนอันลุกโชน เหมือนที่เคยเป็นมา ฝ่ายภิกษุเห็นเหตุการณ์นั้นจึงเกิดความสลดสังเวชใจเป็นยิ่งนัก จึงถามรุกขเทวดาว่า

?หญิงเปรตนี้กินอุจจาระ ปัสสาวะ เลือด และหนองเช่นนี้ เพราะได้ทำกรรมอะไรไว้หรือ? ผ้าผืนใหม่ที่สวยงาม อ่อนนุ่ม บริสุทธิ์ มีขนอ่อนที่ท่านมอบให้แก่หญิงผู้นี้ ทำไมจึงกลายเป็น แผ่นเหล็กร้อนไปได้?

รุกขเทวดาได้เล่าให้ภิกษุรูปนั้นฟังว่า เมื่อก่อนหญิงเปรต นี้เป็นภรรยาของตน นางเป็นคนตระหนี่ไม่รู้จักให้ทาน และได้ด่าทอตอนที่ตนกำลังทำบุญอยู่ กรรมนี้เองทำให้นางมาเกิดเป็นเปรตกินแต่อุจจาระ ปัสสาวะ เลือดและหนอง ทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้นานแสนนาน

พอรุกขเทวดาเล่าบุพกรรม ของนางเปรตที่ได้กระทำไว้ในชาติก่อน ให้พระภิกษุฟังแล้ว จึงได้ถามว่าทำอย่างไรนางนี้จึงจะพ้นจากการเป็นเปรต ภิกษุจึงได้บอกวิธีการที่จะทำ ให้กรรมชั่วของนางเปรตหมดไปว่า

?ถ้า ท่านอยากให้นางเปรต นี้พ้นจากกรรมชั่ว ท่านก็จงทำบุญถวายทานแก่พระพุทธเจ้า และแก่พระอริยสงฆ์ หรือแก่ภิกษุสักรูปหนึ่ง แล้วอุทิศให้แก่นางเปรตนี้ เมื่อนางเปรต นี้อนุโมทนากับบุญที่ท่านทำ นางก็จะได้บุญและพ้นจาก ความทุกข์ทรมานได้?

เมื่อรุกขเทวดาทราบวิธีช่วยเหลือนางเปรตแล้ว จึงได้ถวายภัตตาหารอันประณีตแก่ภิกษุรูปนั้น แล้วอุทิศบุญให้แก่นางเปรตอดีตภรรยา ทันทีที่นางเปรตอนุโมทนาบุญ จิตใจก็อิ่มเอิบ ร่างกายกระปรี้กระเปร่า ท้องก็อิ่มด้วยอาหาร อันเป็นทิพย์ ต่อมารุกขเทวดาได้ถวายผ้าทิพย์ เพื่ออุทิศบุญกุศลให้แก่นางเปรตอีก นางเปรตก็ได้นุ่งผ้าทิพย์พร้อม เครื่องประดับอันเป็นทิพย์ในขณะนั้นนั่นเอง เมื่อนางเปรต ได้สิ่งที่อยากได้ทุกอย่างแล้ว ร่างที่น่าเกลียดน่ากลัวก็กลาย เป็นสวยงามประดุจนางเทพอัปสร เพราะอานุภาพแห่งบุญ นั้นนั่นเอง
........
หาก ไม่มีบุญที่คนอื่นทำ อุทิศไปให้ นางเปรตคงต้องทุกข์ ทรมานไปอีกนานแสนนานกว่าจะพ้นจากความทุกข์ เมื่อเป็น เช่นนี้ คนที่ยังมีชีวิตอยู่จึงไม่ควรประมาท ต้องรีบขวนขวาย ทำความดีให้มาก ไม่เช่นนั้นจะต้องไปชดใช้กรรม ทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนางเปรตแน่นอน

ยุค ปัจจุบันมีคนจำนวน มากที่ไม่กลัวบาปกรรม เพราะคิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่จริง จึงดำเนินชีวิตด้วยความประมาท กล้าทำความชั่วอย่างไม่ละอาย มีจิตใจหยาบกระด้าง คิด ไม่ถึงว่ากรรมชั่วนั้นจะย้อนกลับมาหาตนเอง ทำให้ต้องเดือดร้อนในภายหลัง ผู้มีปัญญาจึงควรมองถึงผลในระยะยาว มองชีวิตทั้งระบบทั้งกระบวน ชีวิตของเราไม่ได้สิ้นสุดเพียงชาตินี้ แต่ต้องดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ความดีความชั่วที่ทำไว้แล้ว ไม่มีสูญหาย ต้องตามให้ผลแก่ผู้ทำอย่างแน่นอน แต่อย่างน้อยคนที่ทำความดีก็ย่อมจะได้ผลดีตอบแทนทันทีทันใดในขณะที่ทำ นั่นก็คือทำให้เกิดความสุขใจขึ้นมาทันที ในทางตรงกันข้าม คนที่ทำชั่วก็จะได้รับความกระวนกระวายใจ ความทุกข์ใจในทันทีที่ทำความชั่ว ผู้มีปัญญาจึง ควรละกรรมชั่วทั้งหลายให้ได้อย่างสิ้นเชิง เพราะจะทำให้ชีวิตมีแต่ความสุขความเจริญตลอดไป
112  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / บิณฑบาตร ที่พระพุทธเจ้า ทรงตรัสไว้ก่อนปรินิพพาน เมื่อ: กันยายน 22, 2010, 11:08:19 am
พระพุทธเจ้า ได้ตรัสกับพระอานนท์ ว่า

บิณฑบาตร ทั้งสองมีบุญเสมอกัน
 
  1.บิณฑบาต ที่รับจากนาง สุชาดา ก่อนการตรัสรู้

  2.บิณฑบาต ที่รับจากนาย จุนทะ ก่อนปรินิพพาน

มีเหตุผลประการใด พระพุทธเจ้า จึงทรงตรัสว่า มีผลเสมอกัน ( บุญ )

  ทั้ง ๆที่ การรับบิณฑบาต ครั้งแรก นั้นเป็นเำพียงพระโพธิสัตว์ ถ้าเทียบกับ นายจุนทะ ซึ่งได้ถวาย พระพุทธเจ้า

ช่วยหาคำตอบให้ที คะ

 :25: :25: :25:
113  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อะไร สำคัญ ที่สุด เมื่อ: กันยายน 21, 2010, 10:40:09 am



ของดี ที่ถูกปกปิด

  ของร้าย ที่มีดาษดื่น

      กัลยาณชน ล้วนหายาก

          ทุรชน มีมากเกินจะคิด


              เราควรทำอย่างไร

                  ปล่อยให้เป็น เช่นนั้นเอง หรือ


                      หรือ จะก้าวเข้ามาเพื่อเปลี่ยน ..... ใหม่

      อะไร สำคัญ ที่สุด

       
           ???????? ตอบได้ ก็ตอบไม่ถูก ???????
114  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เราวิ่งตามอะไร ในชีวิต .... เมื่อ: กันยายน 21, 2010, 10:33:20 am
เราวิ่งตามอะไรกัน...ในชีวิต


<
มีเรื่องเล่าว่า... มีพระองค์หนึ่ง...ชอบทำอะไรแปลกๆ...
วันหนึ่ง...พวกกรุงเทพฯ...เอากฐินไปทอดที่วัด...

จัดงานกันใหญ่โต...มีหนัง...มีลิเก...มีดนตรี...ผู้คนแห่กันมามืดฟ้ามัวดิน...
ก่อนทอดกฐิน..ผู้คนมารวมกันเต็มศาลา...
หลวงพ่อเรียกเด็กวัดมา...
บอกให้ไปเอาเนื้อจากโรงครัวมาก้อนหนึ่ง...แล้วเอาเชือกมาด้วย...
หลวงพ่อจัดการ...เอาเนื้อ...ผูกติดกับหลังหมา...
ผูกเสร็จ...ก็ปล่อยหมา ...
หมาเห็นเนื้ออยู่บนหลัง...ก็ไล่งับ...
พอหัวโดดงับ...ตัวก็ขยับหนี...
เพราะหมามันกัดหลังตัวเองไม่ถึง...
ยิ่งโดดงับเร็ว...ก้อนเนื้อก็หนีเร็ว...
โดดไม่หยุด...เนื้อก็หนีไม่หยุด...น่าสงสารหมามาก...

หมาโดดอยู่นาน...งับเท่าไหร่...เนื้อก็ไม่เข้าปากสักที...
ผู้คนบนศาลา...พากันหัวเราะชอบใจ...
หัวเราะเยาะหมา...ว่าทำไมมันถึงโง่ยังงี้...
ไล่งับ...จะกินเนื้อ...ที่ตัวเองไม่มีทางไล่ตามทัน ตลอดชีวิต...

หลวงพ่อ...มองดูด้วยความสนุกสนานจนหนำใจแล้ว...
ก็แก้เชือกออกมากหลังหมา...
แล้วหันมาพูดกับญาติโยมว่า...

"มนุษย์เรา...มีความรู้สึกว่า...ตัวเองพร่อง...ตัวเองยังไม่เต็ม...
ต้องเติมตลอดเวลา...เติมไม่หยุด...เพื่อให้ตัวเองเต็ม...

อยากสวย...อยากทันสมัย...
ไปหาซื้อเสื้อผ้าที่สวยที่สุด...ทันสมัยที่สุดใส่...
ดีใจได้เดือนเดียว...มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว...สวยกว่า...ทันสมัยกว่า...
อยากได้โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่...
ซื้อเสร็จ ๓ เดือน...รุ่นใหม่ก็โผล่มาอีกแล้ว...

ซื้อคอมพิวเตอร์ทันสมัยที่สุด...
๒ เดือนต่อมา...มีรุ่นใหม่กว่าออกมา...ของเราตกรุ่น...

ซื้อรถเบนซ์...ทันสมัยที่สุด...แพงมาก...
ขับได้ ๖ เดือน...มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว...
ทันสมัยกว่า...แพงกว่า...ของเรากลายเป็นเชย...

เราต้องก้มหน้าก้มตา...ทำงานทั้งวัน ทั้งคืน...หาเงินมา...
เพื่อมาทำให้ตัวเองทันสมัย...
ซื้อเสื้อผ้าใหม่...มือถือใหม่...คอมพิวเตอร์ใหม่...รถยนต์คันใหม่...
เหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส...
เพื่อไม่ให้ตัวเองตกรุ่น...

ปัจจุบัน...
เรากำลังไล่งับความทันสมัย...เหมือนหมาที่ไล่งับเนื้อบนหลังของมัน...
ทั้งที่รู้ว่า...ต่อให้ไล่งับทั้งชีวิต...ก็ไม่มีทางตามทัน...
น่าสงสารไหมโยม...."

คนเต็มศาลา...เมื่อกี้หัวเราะครึกครื้น...
ด่าว่า...หมามันโง่...
ตอนนี้เงียบสนิท...เหมือนไม่มีคนอยู่...

ไม่รู้ว่า...กำลังสงสารหมา...
หรือ...กำลังทบทวนความโง่...ตัวเอง
115  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับหลวงปู่สุก ไก่เถื่อน / ตำราคัมภีร์ กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ เมื่อ: กันยายน 17, 2010, 09:28:13 am
เป็นรูป ตำราคัมภีร์ กรรมฐาน ที่ตกทอดกัน มา

และที่เป็นพระนิพนธ์ ของสมเด็จพระสังฆราช หลวงปู่















116  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / กรรมฐาน ในห้องเรียน ( หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ) เมื่อ: กันยายน 17, 2010, 09:04:45 am
วิธีทำสมาธิในห้องเรียน (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)




ขณะนี้นักเรียนทั้งหลายกำลังเรียน ปัญหาสำคัญอยู่ตรงที่ว่าทำอย่างไรเราจึงจะได้พลังของ สมาธิ พลังของสติ
เพื่อสนับสนุนการศึกษา หลวงตาจะสอนวิธีทำสมาธิในห้องเรียน
สมมติว่าขณะนี้หลวงตาเป็นครูสอนพวกเธอทั้งหลาย ให้พวกเธอทั้งหลายเพ่งสายตามาที่หลวงตา
ส่งมาที่หลวงตา แล้วสังเกตดูให้ดีว่าหลวงตาทำอะไรบ้าง หลวงตายกมือ หนูก็รู้ เขียนหนังสือให้ หนูรู้ พูดอะไรให้หนูตั้งใจฟัง
ถ้าสังเกตจนกระทั่งกระพริบหู กระพริบตาได้ยิ่งดี เวลาเข้าห้องเรียน ให้เพ่งสายตาไปที่ตัวครู ส่งใจไปที่ตัวครู อย่าเอาใจไปอื่น
พยายามฝึกให้คล่องตัวชำนิชำนาญ เพราะในขณะที่อาจารย์สอนเรา ท่านรวมกำลังจิตและวิชาความรู้ที่จะถ่ายทอดให้เรา
เมื่อเราเอาจิตจดจ่ออยู่ที่ตัวอาจารย์ เราก็ได้รับพลังจิตและวิชาความรู้จากอาจารย์ เพียงแค่นี้วิธีทำสมาธิในห้องเรียน
ถ้าพวกหนูๆ จำเอาไปปฏิบัติตาม จะได้สมาธิตั้งแต่เป็นเด็กนักเรียนเล็กๆ ชั้นอนุบาล ในตอนแรกนี่
การควบคุมสายตาและจิตใจไปไว้ในที่ตัวครูอาจจะลำบากหน ่อย แต่ต้องพยายามฝึก ฝึกจนคล่องตัวชำนิชำนาญ ภายหลังแม้เราไม่ตั้งใจ
พอเห็นใครเดินผ่านหน้ามันจะจ้องเอาๆ พอเข้าในห้องเรียนแล้ว พอครูเดินเข้ามาในห้อง สายตามันจะจ้องปั๊บ ใจมันก็จะจดจ่ออยู่กับตรงนั้น
หนูลองคิดดูสิว่าการที่มองครูและเอาใจใส่ตัวครูนี่เร าเรียนหนังสือเราจะเข้าใจดีไหม ลองคิดดู

ในระยะแรก ให้สังเกตดูว่าถ้าจิตของเราไปจ้องอยู่ที่ตัวอาจารย์ สายตาจ้องอยู่ที่ตัวอย่างไม่ลดละ นั่นแสดงว่าเราเริ่มมีสมาธิขึ้นมาแล้ว
แล้วสังเกตดูความเข้าใจ ความจดจำของเราจะดีขึ้น ในตอนแรกๆ นี้ ความรู้สึกของเราจะไปอยู่ที่ตัวอาจารย์หมด
ทีนี้เมื่อฝึกไปนานๆ เข้าจนคล่องชำนิชำนาญ จิตของเรามีกำลังแกร่งกล้าขึ้น มีความมั่นคงมากขึ้น มีสติดีขึ้น ความรู้สึกมันย้อนจาก
ตัวอาจารย์มาอยู่ที่ตัวเอง ทุกขณะจิตเรามีความรู้สึกอยู่ที่จิตของเราเท่านั้น ภายหลังมา อาจารย์ท่านพูดอะไร สอนอะไร สติสัมปชัญญะจะรู้พร้อมอยู่หมด
เพียงกำหนดจิตรู้อยู่ที่จิตอย่างเดียวเท่านั้น นอกจากนั้น อะไรผ่านเข้ามาก็สามารถรู้ทันหมด บางทีพออาจารย์พูดประโยคจบปั๊บ ใจของเรารู้
ล่วงหน้าแล้วว่าต่อไปท่านจะพูดอะไร เมื่อก่อนหน้าจะสอบจิตจะบอกว่าให้ดูหนังสือเล่มนั้น จากหน้านั้นไปถึงหน้านั้น
แล้วเวลาสอบมันก็ออกมาจริงๆ เวลาไปสอบ พออ่านคำถามจบแต่ละข้อๆ จิตมันจะสงบลงไปนิดหน่อย ใจของเราจะวูบวาบ แล้วคำตอบมันก็ผุดขึ้นมา
เขียนเอาๆ หลักและวิธีอันนี้เป็นสูตรที่หลวงตาทำได้ผลมาแล้วตั้ งแต่เป็นสามเณร เรียนหนังสือ หลวงตาถือหนังสือเดินท่องไป ท่องมาแบบเดินจงกรม
อาจารย์สุวรรณ สุจิณโณ ลูกศิษย์ต้นของหลวงปู่มั่น ท่านเห็นก็ทักว่า "เณร ถ้าจะเรียนก็ตั้งใจเรียน จะปฏิบัติก็ตั้งใจปฏิบัติ จับปลาสองมือมันไม่สำเร็จหรอก"
ทีนี้เราก็อุตริขึ้นมาว่า
"เอ๊… หลักของการเพ่งกสิณนี่ ปฐวีกสิณ เพ่งดิน อาโป เพ่งน้ำ วาโย เพ่งลม เตโช เพ่งไฟ เพ่งอากาศ วิญญาณ เพ่งวิญญาณ
เราเอาตัวครูเป็นเป้าหมายของจิตของอารมณ์ เอาตัวครูเป็อารมณ์ของจิต เป็นที่ตั้งของสติ เอามันที่ตรงนี้แหละ เวลาสอบสามารถรู้ข้อสอบล่วงหน้าได้ทุกวิชา
วิชาที่หลวงตาสอบมันมี ๔ วิชา วิชาแปลภาษาบาลี สัมพันธ์คำพูด หลักภาษาและเขียนตามคำบอกรู้ล่วงหน้าหมดทุกวิชาเลย

ตัวอย่างผู้ปฏิบัติได้ผลจริง

ขอยกตัวอย่างบุคคลที่สามารถทำได้แล้ว และทำสมาธิเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่การศึกษาจริงๆซึ่ง พร้อมๆกันนั้นเขาก็สามารถรู้ธรรมเห็นธรรมตาม
หลักคำสอนที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ด้วยคน ๆ นั้นเป็นนักเรียนระดับมหาวิทยาลัย เป็นนักเรียนในทุนที่หลวงพ่อส่งไปเรียนเอง
ตอนแรกเขาไม่อยากไปเรียนเพราะเขาคิดว่ามันสมองของเขา ไม่สามารถจะเรียนระดับมหาวิทยาลัยได้ หลวงพ่อก็เคี่ยวเข็ญให้เขาไป
ในเมื่อเขารับปากว่าจะไปเรียน หลวงพ่อก็บอกว่า"หนูไปเรียนมหาวิทยาลัยต้องฝึกสมาธิด้วย" เขาก็เถียงว่า
"จะให้ไปเรียนมหาวิทยาลัยแล้วให้ทำสมาธิเอาเวลาที่ไหนไปเรียน" นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้นกับ
นักศึกษาคนนั้น หลวงพ่อก็ให้คำแนะนำว่า การฝึกสมาธิแบบนี้ไม่ขัดต่อการศึกษา หลวงพ่อก็ให้คำแนะนำเบื้องต้นว่า
"เมื่อเวลาหนูเข้าไปอยู่ในห้องเรียน ให้กำหนดจิต มีสติรู้อยู่ที่จิตคือระลึกรู้อยู่ที่จิตของตัวเอง ถ้าหากมีจุดใดจุดหนึ่งที่จะต้องเพ่งมอง
ก็เพ่งมองไปที่จุดนั้น เช่น กระดานดำ เป็นต้น เมื่ออาจารย์เดินเข้ามาในห้องเรียน ให้เอาความรู้สึกและสายตาทั้งหมดไปรวมอยู่ที่ตัวอาจารย์
ให้มีสติรู้อยู่ที่ตัวอาจารย์เพียงอย่างเดียว อย่าส่งใจไปอื่น แล้วคอยสังเกตจับตาดูความเคลื่อนไหวไปมาของอาจารย์ที ่แสดงออกทุกขณะจิตของเรา
เมื่ออาจารย์ท่านพูดอะไรก็ให้เราฟัง เรากำหนดหมายเอาเสียงที่ได้ยินเป็นอารมณ์จิต ให้มีสติรู้อยู่กับเสียงที่อาจารย์พูดออกมาแต่ละคำ
เมื่ออาจารย์เขียนอะไรให้ดู ให้เอาสติและสายตาจดจ่อดูอยู่ที่สิ่งที่อาจารย์ทำให้ดู ให้ฝึกหัดทำอย่างนี้"
เขาก็พยายามไปทำ ทำในระยะแรกๆ ก็รู้สึกว่าลำบากหน่อย
เมื่อก่อนนี้เขาคิดว่าสมองหรือกำลังใจในการศึกษาของเขานี่ ไม่สามารถจะรับรู้ในระดับมหาวิทยาลัยได้
เขาไม่อยากไปเรียนในหลักสูตรที่เขาเรียนใช้เวลาเพียง ๔ ปีก็จบแล้ว ทีแรกเขาคิดว่าเขาอาจจะเรียนถึง ๖ ปีกว่าจะจบได้ แต่มันก็ผิดคาด
ทุกสิ่งทุกอย่างมันเปลี่ยนหมด ความรู้สึกว่ามันสมองไม่ดีมันเปลี่ยนเป็นดีขึ้นมาหมด
ก็เป็นอันว่าเขาสามารถฝึกสมาธิให้จิตมีสมาธิ มีสติสัมปชัญญะเพื่อเป็นการสนับสนุนการศึกษาที่เขาเรียนอยู่ในปัจจุบันได้

นอกจากนี้ยังมีนักศึกษาที่เรียนสำเร็จปริญญาโทแล้ว เขาเริ่มฝึกสมาธิแบบนี้ตั้งแต่เริ่มเรียนปริญญาตรี เมื่อเขาปฏิบัติต่อเนื่องกันจนกระทั่งจบปริญญาโท
ครั้งสุดท้ายตอนสอบวิทยานิพนธ์ ก่อนวันที่เขาจะสอบสัมภาษณ์ เขามานั่งนึกว่าวันนี้จะถูกสัมภาษณ์เรื่องอะไรพอคิดขึ้นมาเท่านั้น คำถามมันก็ผุดขึ้นมา
คำตอบก็โผล่ขึ้นมา ตอบรู้ล่วงหน้าหมด ทุกข้อที่กรรมการเขาถาม พอมาถึงสนามสอบ พอถามปั๊บตอบปุ๊บๆ จนกระทั่งกรรมการสอบเขาแปลกใจ
เขาบอกว่าเราก็สอบคนมามากต่อมากแล้ว ทำไมไม่เหมือนเด็กคนนี้สักคน เจ้าคนนี้ถามแล้วเหมือนกับว่าไม่ต้องคิด พอถามจบตอบปั๊บ
เขาเลยถามดูว่าทำไมหนูถึงได้เก่งนัก หนูบอกว่า "หนูฝึกสมาธิ" เพราะฉะนั้น หลักการนี้นักเรียนทุกคนขอได้โปรดจำเอาไปปฏิบัติไปทุกวันๆ
ในที่สุดเราจะได้กำลังสมาธิสนับสนุนการเรียนการศึกษา เป็นอย่างดี ถ้าหากเรามีเวลาที่จะมานั่งสมาธิ พอเริ่มลงไป
ไม่ต้องบริกรรมภาวนาหรือไปท่องมนต์อะไรทั้งสิ้น ให้เอาบทเรียนที่เราเรียนมาในแต่ละวันๆ มาคิดทบทวนดูว่าเราจะจำได้กี่มากน้อย
ถ้ามีหนังสือมาวางข้างๆ ยิ่งดี พอคิดเรื่องนี้ คิดไปๆ มันติดตรงไหนเราคิดไม่ออก เปิดหนังสือมาแล้วเอาดินสอขีดเส้นใต้เอาไว้
พอเลิกนั่งสมาธิแล้วมานั่งท่องเอาแต่ตรงที่เราจำไม่ได้ ให้ปฏิบัติอย่างนี้ สำหรับครูอาจารย์ก่อนที่จะเริ่มทำการสอน
ถ้าหากว่าไม่ถือว่าเป็นวิธีที่แปลกใหม่เกินไป จะกล่าวเตือนนักเรียนในห้องเรียนทุกคนว่าให้มองจ้องมาที่ตัวข้าพเจ้า ส่งจิตมารวมไว้ที่ตัวข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจะถ่ายทอดพลังจิตและวิชาความรู้จากข้าพเจ้าอ ย่างตรงไปตรงมา อย่าบิดพลิ้ว มีอะไรก็สอนไปๆและเตือนเป็นระยะ ๆ ในทำนองนี้
ปฏิบัติต่อเนื่องกันทุกวัน ทุกชั่วโมง เราจะได้สมาธิในการเรียน ในห้องเรียน อันนี้คือวิธีปฏิบัติสมาธิให้สัมพันธ์กับการเรียนการศึกษา
นอกจากที่เราจะทำสติในขณะที่เรียน ถ้านักเรียนนักศึกษาพยายามฝึกสมาธิแบบนี้ สิ่งที่จะบังเกิดขึ้นในจิตในใจเราอีกอย่างหนึ่ง คือ
เราจะรู้สึกสำนึกในพระคุณของบิดา มารดา ครู อาจารย์ ความเคารพ ความเอาใจใส่ ความกตัญญูกตเวที
ความรู้สึกซึ้งในพระคุณของครูบาอาจารย์มันจะฝังลึกลง สู่จิตใจ เราจะกลายเป็นคนกตัญญูกตเวที ไม่อาจลบหลู่ดูหมิ่นครูบาอาจารย์ได้
เราจะมีพลังจิตในการเรียนหนังสืออย่างเข้มแข็ง เมื่อครูบาอาจารย์ว่ากล่าวตักเตือนอย่างไร เราจะเป็นผู้เชื่อฟังเป็นผู้ว่านอนสอนง่าย
และผลประโยชน์มันก็จะเกิดขึ้นกับเราเองอันนี้ขอให้นักเรียนจงจำเอาไปปฏิบัติจริงๆ เมื่อเราปฏิบัติได้คล่องตัวชำนิชำนาญ
ประโยชน์มันไม่เฉพาะแต่อยู่ในห้องเรียนนะ เมื่อเราเรียนจบไปแล้วเรายังจะนำสมาธิดังกล่าวไปใช้ประโยชน์อันเป็นเรื่อง ชีวิตประจำวันของเรา"



ขอขอบคุณ

http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=phumani&group=7
117  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / พึ่งจะสังเกตุว่า ในหน้าเว็บบอร์ด มีการใช้ข้อความส่วนตัวด้วย เมื่อ: กันยายน 15, 2010, 04:59:46 pm
to คุณทินกร ข้อความส่วนตัว นี้เหมือน email หรือป่าวคะ

มีวิธีใช้อย่างไรคะ

ทางเว็บมัชฌิมา แจก Email ได้หรือป่าวคะ

ต้องทำอย่างไร คะ

 :25: :25:
118  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / อะนูปะวาโท อะนูปะฆาโต เมื่อ: กันยายน 13, 2010, 12:58:07 pm
อยากให้ สหธรรมิก นึกถึงคุณธรรมส่วนนี้เป็นส่วนแรก คะ

เพื่อจะได้เป็นกัลยาณมิตร และ กัลยาณธรรม กันได้นาน ๆ ตราบเท่านานที่จะจากกันไป
 

การไม่พูดร้าย และ การไม่ทำร้าย

 คุณสมบัติพื้นฐาน ของ พุทธบริษัท


    การไม่พูดร้าย

      คือการไม่พูดคำเท็จ ส่อเสียด เพ้อเจ้อ คำหยาบ เพื่อให้อีกฝ่าย เกิดความไม่สบายใจ ร้อนรน ทุรนทุราย

  เพราะด้วยการพูดอันไม่จริง
     
      สังคมทุกวันนี้ ถ้านึกถึงคำสอบมาตรฐาน ของพระพุทธเจ้า ได้แล้ว ก็จะมีความสุข คงไม่มีใครมานินทา

 ใครให้ร้าย ใคร ต่อ ใคร สำหรับ ชนทั่วไปที่นับถือบ้าง ไม่นับถือบ้างในพระศาสนา ก็พอน่าให้อภัยกันอยู่นะจ๊ะ

  แต่สังคมชาวธรรม อันเป็นพุทธบริษัท แล้ว โดยเฉพาะ ยิ่งถ้าเป็น บรรพชิต แล้ว ก็ไม่ควรจะละเมิด ในส่วนนี้

  คำเสียดแทงใจที่ทำให้ใจเป็นทุกข์ ไม่ใช่ธรรมะของพระพุทธองค์ คะ


    การไม่ทำร้าย

       คือการไม่ กระทำออก ทางกาย วาจา และ ใจ ในการทำให้ผู้อื่นลำบาก  หรือเป็นทุกข์ การกระทำเยี่ยงนี้

ไม่ใช่การกระทำของ สหธรรมิก ผู้เป็น กััลยาณมิตร และ กัลยาณธรรม คะ


    คนที่ชอบพูดร้าย และ ชอบทำลาย

    โดยอุปนิสัย นั้นนับเป็นคนเจ้าเล่ห์ คนเจ้าเล่ห์ ก็คือ มายา มายา ก็คือ หลอกลวง

    นับว่าเป็น อมิตร คือ มิตรเทียม หาใช่ มิตรแท้ คะ


วันนี้ เสนอบทความ ที่มาใน โอวาทปาฏิโมกข์ คะ


          อะนูปะวาโท   การไม่พูดร้าย

          อะนูปะฆาโต   การไม่ทำร้าย



เจริญธรรม ทุกท่าน นะคะ







 
119  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / วิธีเช็ค คุณภาพ มือถือ คะ เมื่อ: กันยายน 13, 2010, 12:37:58 pm
กด *#06# หน้าจอโทรศัทพ์มือถือ
จะปรากฏหมายเลขหลายหลัก
ให้นับตัวเลขไปถึงหลักที่ 7 และ 8
หากตัวเลขหลักที่ 7 และ 8 ตรงกับ หมายเลขข้างล่างนี้
นั่นเป็นการบอกว่า โทรศัทพ์มือถือของคุณ
มีคุณภาพอย่างไร และแหล่งผลิตจากที่ไหน


1 , 0 , 2 or 2 , 0 ผลิตจากอาหรับ คุณภาพแย่มาก
2 , 0 , 8 or 8 , 0 ผลิตจาก เยอรมัน คุณภาพดีกว่านิดหน่อย
3 , 0 , 1 or 1 , 0 ผลิตจากฟินแลนด์ คุณภาพดีมาก
4 , 0 , 0 ผลิตจากบริษัทต้นกำเนิด คุณภาพดีที่สุด
5 , 1 , 3 ผลิตจากอาเซอไบจัน คุณภาพแย่สุด
120  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เลิกบุหรี่เถอะ ก่อนที่จะเป็นแบบนี้ เมื่อ: กันยายน 13, 2010, 12:33:43 pm
เป็นคลิปที่รณรงค์ เลิกบุหรี่่ คะ


หน้า: 1 2 [3] 4