สวัสดีค่่ะ
ด้วยความรู้อันน้อยนิดของข้าพเจ้า
อย่าถือว่าเป็นคำตอบนะคะถือว่าเป็นการแชร์ความคิด
ฉันทะ ซึ่งแปลว่าความพอใจอันเป็นฝ่ายกุศล
ตัณหา ซึ่งหมายถึงความอยากอันเป็นฝ่ายอกุศล
ตัณหาแบ่งเป็น ๓ อย่าง
1. กามตัณหา อยากในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์
2. ภวตัณหา อยากเป็นนั่นเป็นนี่ อยากได้นั่น ได้นี่ ตัวนี้มีอาการดึงเข้ามาหาตัว
3. วิภวตัณหา ไม่อยากเป็นนั่นเป็นนี่ ไม่อยากได้นั่นได้นี่ ตัวนี้มีอาการผลักไสออกจากตัว
ตัณหาเเบ่งเป็น 6 หมวด ได้แก่
1. รูปตัณหา คือ อยากได้รูป (ที่มองเห็นด้วยตา)
2. สัททตัณหา คือ อยากได้เสียง
3. คันธตัณหา คือ อยากได้กลิ่น
4. รสตัณหา คือ อยากได้รส
5. โผฏฐัพพตัณหา คือ อยากได้โผฏฐัพพะ (ความรู้สึกทางกายสัมผัส)
6. ธัมมตัณหา คือ อยากในธรรมารมณ์ (สิ่งที่ใจนึกคิด)
ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความบังเกิด ความปรากฏแห่งตัณหาทั้ง6นี้ เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์
ความดับโดยไม่เหลือ ความสงบระงับ ความสูญแห่งตัณหาทั้ง6นี้ เป็นความดับโดยไม่เหลือแห่งทุกข์
ตัณหาทั้ง 6 นี้ ไม่เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา ผู้เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด
คราวนี้เรามาดู ฉันทะ กับ ตัณหา ในมุมนี้บ้าง
X = ตัวแปรสามารถแทนค่า ใดใดลงไปได้ค่ะ
สมมติเราเป็นคน
X=ขี้โกรธ แน่นอนค่ะ
X=ตัวโกรธ นี้ตามเป้าหมายเราต้องให้
มันหมดไปจากใจเรา คราวนี้มาดูกันว่า อะไรคือ ฉันทะ อะไรคือ ตัณหา
ถ้าเป็น ตัณหา เราจะไม่อยากเป็น เพราะเราอยากดี อยากทำให้จิตเราสะอาด
ดังนั้น เราจะถูกตัณหาสร้างความคิดต่างๆ เหตุผลต่างๆ ให้เราลดละ
X=ตัวโกรธ ที่ไม่ดีนั้น
เมื่อฝึกบ่อยๆ
X=ตัวโกรธ นั้นจางลง แต่ตัณหาทำงานมาเต็ม
จนเราเผลอมองไปเลยว่า ตัณหา กิเลสอีกตัวทำงานอยู่ แถมยังยึดว่านั้นคือทาง
ถ้าเป็น ฉันทะ เราจะไม่สนใจผล
เราจะเห็นว่าเรานั้น
X=โกรธ แล้ว แต่เราไม่สนใจผลจริงไหมค่ะ แบบนี้ คิดว่า การโกรธนั้นจะ
ดำเนินต่อไปโดยไม่อาจคาดเดาผล หรือ ผลมันจะไม่เกิดเลยเนื่องจากสิ้นความสนใจผลใดๆ
ที่จะได้จากการโกรธนั้น
ทีนี้เราลองมา เปลี่ยนตัวแปรดูกัน จาก
X=ตัวโกรธ เป็น
X=การปฎิบัติเมื่อแทนค่าในบทความด้านบนแล้ว ผลสรุปจากการทดลองจะเป็นประมาณนี้ค่้ะ
ซึ่งตามความเข้าใจของข้าพเจ้า คิดว่าฉันทะคือ ความพอใจ เช่นพอใจที่ได้ปฏิบัติ.สวดมนต์..โดยไม่คำนึงถึงผล
ส่วนตัณหาคือความอยากเช่นอยากทำอยากปฏิบัติ อยากเห็นนรกสวรรค์อภิญญาคือทำแล้วต้องการผลตอบแทนด้วย
ในอีกแง่มุมหนึ่ง
ฉันทะ เป็นการอธิบายในแง่มุมของ ธรรม ที่เป็นองค์ประกอบไปสู่ความสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรม จะทำอะไรเพื่อให้ประสบผลสำเร็จ ก็ต้องปลูกความพอใจในสิ่งที่เราเชื่อหรือศรัทธาไว้ เช่นคนทั่วไปที่ไม่สนใจธรรม เขาไม่สนใจนั่งกรรมฐานกัน แต่เราสนใจ เพราะเรามีความพอใจที่จะนั่ง เราถึงลงมือนั่ง
ส่วนตัณหา เป็นการมองสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามากระทบจิตใจ ทั้งความอยากได้ อยากเป็น ความไม่อยากได้ ไม่อยากเป็น ถ้าเรามองเห็นตัณหาที่เข้ามากระทบจิตใจได้ทัน ฒัณหานั้นก็จะดับลง แต่ถ้ามันปรุงตัณหาอันใหม่มา เราก็ต้องเห็นใหม่ ไม่อย่างนั้นก็ถูกมันครอบงำ
บางครั้งมี ความพอใจโผล่เข้ามาในจิตใจ เราก็รู้ได้เท่าทัน ทำให้เราไม่หลงความพอใจ เพราะในเมื่อเรารู้เท่าทันความพอใจแล้ว เราก็ลองใครครวญดูว่าสิ่งๆนั้น เป็นสิ่งที่สมควรทำหรือไม่ ทำให้การกระทำนั้น ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส
"ให้ใช้ตัณหาความอยากนั้นแหละในการปฏิบัติก่อนเพื่อให้ถึงจุดหมายและเมื่อใกล้ถึงจุดหมายก็ให้ตัดความอยากนั้นเสีย"
ไม่ Confirm ว่าทั้งหมดเป็นสิ่งถูกต้องนะคะ พราะไม่ใช่ หมอกฤษณ์คอนเฟิร์ม อิอิเดี่ยวจะลองหา พุทธพจน์ดูค่ะ สงสัยเหมือนกัน