เมื่อใดที่ปฏิบัติให้เห็นตามความจริงนี้จนเข้าถึงอุเบกขาจิตได้ เราจะมองเห็นว่าทั้ง ๔ ข้อนั้นเกิดความสัมพันธ์เกื้อหนุนแก่กันเป็นที่สุดโดยปกติคนอย่างเราๆนี้มันติดข้องใจไปทั้งหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดๆ เรื่องใดๆ ไม่มีใครที่อยู่ๆก็ สุข หรือ ทุกข์ หรือ มีอุเบกขาจิตเลย คนทั้งหลายต้องติดข้องใจก่อนด้วยความชอบ ไม่ชอบ
(เว้นแต่มีมุทิตาจิต เป็นความโสมนัส พอใจยินดี แบบไม่ติดข้องใจใดๆ)- หากมองแบบความรู้สึกเฉยๆกับคนทั่วไป จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ..เรานั้นมีความติดข้องใจกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว เมื่อได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้สัมผัส ไม่ได้รู้สึกเกิดความชอบ หรือ ไม่ชอบกับมัน เลยเฉยๆ แต่หากมองจริงๆมันก้อจะเกิดสลับกับความพอใจ-ไม่พอใจเสมอ
- หากมองแบบอุเบกขาจิตที่เป็นกุศลสำหรับคนอย่างเราๆที่พอจะรู้ธรรมบ้างแล้ว จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ..เรานั้นมีความติดข้องใจกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว เมื่อได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้สัมผัสแล้ว มองเห็นตามความสัจจ์จริงดังนี้ว่า..ติดข้องใจไปก็หาประโยชน์ใดๆไม่ได้ ทั้งแก่ตนเอง และ ผู้อื่น รังแต่จะเบียดเบียนตนเองและคนอื่นเปล่าๆ ไม่ว่าจะติดข้องใจทั้งในความพอใจ หรือ ไม่พอใจ ผลของมันต่างก็เป็นทุกข์ ดังนั้นเราควรละความติดข้องใจนั้นๆเสีย จากนั้นจิตเราจึงเกิดเพียงความมีใจกลางๆ ที่เสพย์ขึ้นพร้อมกับสมาธิจิตที่ สงบ อบอุ่น ผ่องใส
ผมได้ทำการพิจารณาซ้ำไปซ้ำมากลับไปกลับมาได้ค้นพบตามลำดับดังนี้ว่า--> เมื่อจิตเรารับรู้สิ่งใดเป็นอารมณ์ --> เกิดความติดข้องใจ --> จึงอยากรู้ --> อยากดู อยากเห็น --> อยากได้ยิน ได้ฟัง --> อยากได้กลิ่น --> อยากลิ้มรส -->
--> เมื่อจิตเรารับรู้สิ่งใดเป็นอารมณ์ --> เพราะมีความติดข้องใจ --> จึงเจตนาที่จะรู้ --> จึงมองดูเพื่อให้เห็น --> จึงเงี่ยหูฟังเพื่อให้ได้ยิน --> จึงใช้จมูกสูดดมเพื่อให้รู้กลิ่น --> จึงดื่ม-กินเพื่อให้รู้รส --> จึงพยายามแตะสัมผัสทางกายเพื่อให้รับรู้ถึงความรู้สึกจากการผัสสะกับสิ่งนั้นๆ -->
--> เมื่อจิตเรารับรู้สิ่งใดเป็นอารมณ์ --> เพราะมีความติดข้องใจ --> เมื่อเห็นตามต้องการแล้ว --> เมื่อได้ยินตามต้องการแล้ว --> เมื่อได้กลิ่นตามต้องการแล้ว --> เมื่อรู้รสตามต้องการแล้ว --> เมื่อรู้สัมผัสทางกายตามต้องการแล้ว--> เสพย์เป็นความรู้สึกพอใจยินดี ไม่พอใจยินดี --> เสวยอารมณ์เป็นความรู้สึก สุข ทุกข์ กาย-ใจ --> เกิดเป็นความสำคัญมั่นหมายไว้ในใจ --> ตรึกถึง นึกถึง ตรองถึง คำนึงถึง --> ตัณหา -->
--> เมื่อจิตเรารับรู้สิ่งใดเป็นอารมณ์ --> พิจารณาตามจริง เห็นตามสัจธรรม รู้สภาพจริง --> เมื่อเราไม่มีความติดข้องใจ --> แม้เห็นแล้ว --> แม้ได้ยินแล้ว --> แม้ได้กลิ่นแล้ว --> แม้รู้รสแล้ว --> แม้รู้สัมผัสทางกายแล้ว--> ไม่เกิดความพอใจยินดี-ไม่พอใจยินดี --> เสวยความรู้สึกมีใจกลางๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์ --> ไม่เกิดเป็นความสำคัญมั่นหมายไว้ในใจ --> ไม่เกิดตัณหา------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ทุกอย่างเกิดที่ใจผมจึงเน้นที่ ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เมื่อมีทั้ง 2 สิ่งนี้จึงดำเนินไปในสิ่งที่เราเสวยอารมณ์ว่า สุข ทุกข์ จนเกิดเป็นตัณหาทั้งหลาย
ตัณหามี 3 ข้อดังนี้๑ ภวตัณหา ความอยากมีอยากเป็น อยากพบ อยากเจอ อยากเห็น อยากได้ ต้องการ พอใจ ยินดี ใคร่ได้ รวมไปถึงอยากได้ อยากเป็น อยากมี อย่างคนโน้น-คนนี้(ความอิจฉา) เช่น อยากให้คนรัก อยากรวย เป็นต้น
๒ วิภวะตัณหา ความอยากที่จะไม่ให้ตนเองได้พานพบเจอกับสิ่งที่ตนไม่ชอบ ไม่ต้องการ ไม่ใคร่ได้ ไม่ยินดี อยากจะผลักหนีให้ไกลตน เช่น ไม่อยากพรัดพราก ไมอยากผิดหวัง ไม่อยากให้คนด่าว่ากล่าว เป็นต้น
๓ กามตัณหา ความพอใจยินดีในกาม กำหนัดใคร่ได้ ทะยานอยากในกาม
เวทนาเวทนา 2 (การเสวยอารมณ์)
1.กายิกเวทนา (เวทนาทางกาย)
2.เจตสิกเวทนา (เวทนาทางใจ)
เวทนา 3 (การเสวยอารมณ์, ความรู้สึกรสของอารมณ์)
1.สุขเวทนา (ความรู้สึกสุข สบาย ทางกายก็ตาม ทางใจก็ตาม)
2.ทุกขเวทนา (ความรู้สึกทุกข์ ไม่สบาย ทางกายก็ตาม ทางใจก็ตาม)
3.อทุกขมสุขเวทนา (ความรู้สึกเฉยๆ จะสุขก็ไม่ใช่ ทุกข์ก็ไม่ใช่ เรียกอีกอย่างว่า อุเบกขาเวทนา)
เวทนา 5 (การเสวยอารมณ์)
1.สุข (ความสุข ความสบายทางกาย)
2.ทุกข์ (ความทุกข์ ความไม่สบาย เจ็บปวดทางกาย)
3.โสมนัส (ความแช่มชื่นสบายใจ, สุขใจ)
4.โทมนัส (ความเสียใจ, ทุกข์ใจ)
5.อุเบกขา (ความรู้สึกเฉยๆ)
เวทนา 6 (การเสวยอารมณ์)
1.จักขุสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางตา)
2.โสต-เวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางหู)
3.ฆาน-เวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางจมูก)
4.ชิวหา-เวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางลิ้น)
5.กาย-เวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางกาย)
6.มโน-เวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางใจ)
จากหนังสือ "พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม" พระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุตฺโต) ปัจจุบันท่านดำรงสมณะศักดิ์ที่ พระพรหมคุณาภรณ์ ครับ
ขอขอบคุณที่มาจากคุณวิท
http://larndham.org/index.php?/topic/18784-%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD/ อารมณ์ กับ ธัมมารมณ์ลองดูคำว่า "อารมณ์" กันก่อนละกันนะคับ
จะได้เข้าใจคำว่า "อารมณ์" ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นน่ะคับ
คำว่า "อารมณ์" หมายถึงสิ่งที่จิตรู้
จิตกำลังรู้สิ่งใด...สิ่งนั้นนั่นแหละเป็นอารมณ์ของจิตในขณะนั้น
อันนี้คิดว่าคงเข้าใจแล้วนะคับ แต่จะแยกออกให้เห็นดังนี้คือ....
ทางตา........รับรู้ได้อารมณ์เดียวเท่านั้นคือ รูปารมณ์ (สี)
ทางหู.........รับรู้ได้อารมณ์เดียวเท่านั้นคือ สัททารมณ์ (เสียง)
ทางจมูก....รับรู้ได้อารมณ์เดียวเท่านั้นคือ คันธารมณ์ (กลิ่น)
ทางลิ้น.......รับรู้ได้อารมณ์เดียวเท่านั้นคือ รสารมณ์ (รส)
ทางกาย.....รับรู้ได้อารมณ์เดียวเท่านั้น (แต่มี 3 ลักษณะ) คือ โผฏฐัพพารมณ์
(ได้แก่สัมผัสทางกาย คือสภาพที่เย็นร้อนอันได้แก่ธาตุไฟ...อ่อนแข็งอันได้แก่ธาตุดิน...เคร่งตึงหรือไหวเคลื่อนอันได้แก่ธาตุลม)สำหรับทางใจ
จะรับรู้อารมณ์ต่อจากทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย
ก็คือรับรู้ รูปารมณ์ สัททารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์
และนอกเหนือจากอารมณ์ทั้ง 5 ที่กล่าวมาแล้ว
ทางใจยังรับรู้อารมณ์อื่นๆ อีกทั้งหมด
ซึ่งไม่สามารถรับรู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายเลย
สิ่งที่รับรู้ได้เฉพาะทางใจอย่างเดียวเท่านั้น....นี่แหละคับเรียกว่า "ธัมมารมณ์"
ซึ่งเมื่อประมวลแล้วก็ได้แก่....ปสาทรูป...สุขุมรูป (รูปที่ละเอียด)...จิตและเจตสิกทั้งหมด...นิพพาน
และบัญญัติธรรม (ชื่อ คำ เรื่องราว ความหมายต่างๆ ฯลฯ)
จะเห็นได้ว่าทางใจนี่รับรู้ได้หมดทุกอารมณ์เลย
สมจริงดังว่า...ทุกอย่างรวมลงที่ใจ
จะสังเกตได้นะคับว่า
รูปารมณ์...สัททารมณ์...คันธารมณ์...รสารมณ์...โผฏฐัพพารมณ์
อารมณ์ทั้ง 5 นี้แม้เมื่อทางใจรับรู้ต่อจากทางปัญจทวารแล้ว
ก็ยังคงเป็น รูปารมณ์...สัททารมณ์...คันธารมณ์...รสารมณ์...โผฏฐัพพารมณ์ อยู่นั่นเอง
ไม่ได้กลายไปเป็น ธัมมารมณ์ แต่อย่างใดนะคับ
สิ่งไหนที่เป็นอารมณ์อย่างใด ก็ต้องเป็นอย่างนั้นเสมอ
ไม่ใช่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาน่ะคับ
เช่น สี เมื่อรับรู้ทางตา เป็นรูปารมณ์
พอมารับรู้ทางใจ ก็ยังคงเป็นรูปารมณ์ ไม่ใช่ไปเป็น ธัมมารมณ์ น่ะคับ
เสียง กลิ่น รส ธาตุดิน/ธาตุไฟ/ธาตุลม ก็เช่นกันคับ
แม้ทางใจจะรับรู้ต่อจาก ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายแล้ว
ก็ยังคงเป็น สัททารมณ์...คันธารมณ์...รสารมณ์...โผฏฐัพพารมณ์
ไม่ใช่กลายไปเป็น ธัมมารมณ์ น่ะคับ
แต่ว่า...สิ่งที่นึกคิดต่อเนื่องออกไปอีกนั้นเอง คือ ธัมมารมณ์
เช่น ทันทีที่ทางตารับรู้รูปารมณ์ (สี)...แล้วทางใจก็รับรู้รูปารมณ์นั้นต่อ
หลังจากนั้น...ก็นึกคิดเป็นชื่อ คำ เรื่องราวความหมายต่างๆ ขึ้นมา
เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของต่างๆ ขึ้นมา...ตรงนี้แหละที่เป็น ธัมมารมณ์
แล้วก็เกิดความชอบ-ชัง รัก-เกลียด ฯลฯ ตามมา...นี่ก็เป็นธัมมารมณ์อีกเช่นกันน่ะคับขอขอบคุณพี่เดฟแห่งวัดเกาะ ที่อธิบายความหมายของ ธรรมารมณ์ ให้เข้าใจอย่างละเอียดตามข้างต้นนี้ครับ
ธัมมารมณ์ แปลว่า สภาพธรรมที่สาธารณแก่ใจเป็นอารมณ์ สิ่งที่รู้ด้วยใจ ความปรุงแต่งจิต ความนึกคิดต่างๆ สิ่งที่ใจผัสสะรับรู้ทางทวารทั้ง๕ คือ รูป เสียง รส กลิ่น โผฏฐัพพะ ได้แก่ สภาว ธรรม ๖ ประการ คือ ปสาทรูป ๕, สุขุมรูป ๑๖, จิต ๘๙, เจตสิก ๕๒, นิพพาน และ บัญญัติ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของจิตและเจตสิก ทางใจ (ทางมโน)
รวมอารมณ์ทั้ง ๖ นี้เรียกว่า ฉอารมณ์
รูปารมณ์ สัททารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์ และโผฏฐัพพารมณ์ อันรวมเรียกว่า ปัญจารมณ์ หรือ อารมณ์ทั้ง ๕
นี้เป็น รูปธรรม
ส่วน ธัมมารมณ์ นั้น จิต เจตสิก และนิพพาน เป็น นามธรรม ปสาทรูป ๕ และสุขุมรูป ๑๖ เป็น รูปธรรม เฉพาะบัญญัติ นั้น ไม่ใช่รูปธรรม และไม่ใช่นาม ธรรมด้วย แต่เป็น บัญญัติธรรม
อารมณ์ทั้ง ๖ คือ รูปารมณ์ สัททารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ และ ธัมมารมณ์ นี้ จำแนกได้เป็น
๔ นัย คือ
๑. กามอารมณ์ ๒. มหัคคตอารมณ์
๓. บัญญัติอารมณ์ ๔. โลกุตตรอารมณ์
ดูกรอุปวาณะ ภิกษุรู้แจ้งธรรมารมณ์ ด้วยใจ
แล้วเป็นผู้เสวยธรรมารมณ์ เสวยความกำหนัดในธรรมารมณ์ และรู้ชัดซึ่งความ
กำหนัดในธรรมารมณ์อันมีอยู่ภายในว่า เรายังมีความกำหนัดในธรรมารมณ์ในภาย-
ใน อาการที่ภิกษุรู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้วเป็นผู้เสวยธรรมารมณ์ เสวยความ
กำหนัดในธรรมารมณ์ และรู้ชัดซึ่งความกำหนัดในธรรมารมณ์อันมีอยู่ในภายในว่า
เรายังมีความกำหนัดในธรรมารมณ์ในภายใน อย่างนี้แล เป็นธรรมอันผู้บรรลุจะพึง
เห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชน
พึงรู้เฉพาะตน ฯ
นึกคิดเป็นสังขารขันธ์
ในเจตสิก 52 เว้น เวทนา สัญญา อีก 50 ที่เหลือเป็น สังขารขันธ์ เกิด ดับพร้อมจิต
ขอคุณที่มาจากคุณมโนเกษม
http://larndham.org/index.php?/topic/32071-%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B9%8C-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%81-%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%96%E0%B8%B6/