หัวข้อ: ใครฝึกเมตตา เจโตวิมุตติ เป็นประจำ ขอถามความเห็นหน่อย เริ่มหัวข้อโดย: Be-boy ที่ กุมภาพันธ์ 28, 2013, 02:45:06 pm ไม่ทราบว่าในห้อง ส่งจิตออกนอก นี้ มีใครบ้างที่ได้ฝึกฝนตนเองเพื่อเมตตาเจโตวิมุตติกันบ้าง
ปกติตนเองจะเจริญสมาธิภาวนาในแนวของอานาปานสติเป็นประจำ แต่เมื่ไม่นานมานี้ลูกชายวัยเก้าขวบได้ขยั้นขยอชวนให้สวดบทแผ่เมตตาใหญ่ ก็สวดตามลูกชายไปในเนื้อหาของบทสวดได้กล่าวที่มาของพระคาถาบทสวดว่า เป็นพุทธดำรัสขึ้นมาเองท่ามกลางหมู่สงฆ์โดยมิได้มีผู้ใดทูลถาม จึงนับได้ว่าเป็นพระธรรมที่สำคัญมากที่ทรงประกาศให้ชาวโลกรับรู้ เมื่อเจริญทำให้มากแล้วย่อมได้รับอานิสงส์ทั้ง11ประการดังนี้ หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข ไม่ฝันร้าย เป็นที่รักของมนุษย์ เป็นที่รักของอมนุษย์ เทวดาย่อมคุ้มครองรักษา ไฟ ยาพิษ ศัสตรา ไม่อาจทำร้ายได้ เมื่อทำสมาธิจิตจะสงบเร็ว ใบหน้าผ่องใส ไม่หลงตาย แม้ยังไม่บรรลุธรรมก็จะไปบังเกิดในพรหมโลก ก่อนหน้านี้ไม่เคยพิจารณาพรหมวิหารสี่อย่างจริงจัง แต่หลังจากสวดพระคาถานี้ได้สักพักหนึ่งจึงบังเกิดความเข้าใจ ว่าแท้ที่จริงแล้วมีบางท่านที่ไม่เคยเจริญมาธิภาวนาสักเท่าใด หรือบางท่านก็ไม่เคยทำสมาธิเลยแต่สามารถเข้าทุติยฌาน โดยมีอารมที่เป็นปิติที่ไร้อามิสเกิดขึ้นได้เป็นประจำด้วการเจริญ เมตตาและมีความกรุณาเป็นประจำยกตัวอย่างมีเพื่อนหนึ่ง เขานั่งสมาธิได้ไม่นานแต่มีปกติเป็นคนชอบช่วยเหลือผู้อื่น และมีความสุขด้วยการสูญเสียอามิสด้วยการบริจาคกับผู้ที่เขารู้สึกเมตตา พึ่งจะรู้ว่าเขาได้เห็นเวทนาในเวทนามีปิติที่ไร้อามิสเท่ากับได้ฌานสองเป็นประจำ บางทีเจ้าเพื่อนคนนี้มันน่าจะได้อารมย์เอกคตามีจิตเป็นมุฑิตาเพราะไม่เคยเห็น ว่าเขาจะอิจฉาในความสำเร็จของผู้อื่นเลยคนอย่างนี้ย่อมมีอารมย์หนักแน่น ไม่หวั่นไหวเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดีกว่าตนและสามารถยินดีกับความสำเร็จของผู้อื่นได้ แต่เขาคงยังเข้าไม่ถึงอุเบกขารมย์เพราะเห็นเขายังกลัวตุ๊กแกอยู่เลย!!! เขียนมาพอสมควรแล้วก็อยากจะแนะนำบางท่านที่นั่งสมาธิมานานอ่านมามากนักหนาแล้ว แต่ยังไม่เคยได้ปฐมฌานไม่เคยเห็นกายในกายลองมาเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ เหมือนเจ้าเพื่อนคนนี้เมื่อไปที่ไหนก็มีแต่คนรักคนชอบมาเจรจาปราศรัยด้วยเป็นประจำ คนกรุงธน หัวข้อ: Re: ใครฝึกเมตตา เจโตวิมุตติ เป็นประจำ ขอถามความเห็นหน่อย เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มีนาคม 04, 2013, 11:33:53 am (http://www.watpanonvivek.com/images/stories/%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A4%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5/1370824702_img.jpg) พรหมวิหาร ๔ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน สำหรับวันนี้ ความจริงคิดว่าจะจบสมถะภาวนา เว้นไว้แต่อรูป ๔ ประการ ยังมีพระท้วงว่าขาดพรหมวิหาร ๔ ไปอาจจะพลั้งเผลอไป วันนี้ก็จะขอพูดเรื่องพรหมวิหาร ๔ ในด้านสมถภาวนา ความจริงพรหมวิหาร ๔ นี้เป็นกรรมฐานเลี้ยงทั้งศีล เลี้ยงทั้งสมาธิ เลี้ยงทั้งปัญญา เพราะว่ามีพรหมวิหารสี่เสียอย่างเดียว อารมณ์จิตก็สบาย มีความเยือกเย็น เราจะเห็นว่าเมตตาความรัก กรุณาความสงสาร สองอย่างนี้ก็สามารถจะคุ้มศีลให้บริบูรณ์ทุกอย่าง เพราะศีลทุกข้อคำจะทรงอยู่ได้ก็ต้องอาศัยเมตตาและกรุณาทั้งสองอย่าง เมตตาแปลว่าความรัก กรุณาแปลว่าความสงสาร ถ้าเรามีความรักเรามีความสงสารเสียแล้ว เราก็ทำลายชีวิตสัตว์ไม่ได้ ลักขโมยของเขาไม่ได้ ยื้อแย่งความรักเขาไม่ได้ พูดโกหกมดเท็จไม่ได้ ดื่มสุราเมรัยไม่ได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อดื่มสุราเมรัย ถ้าเรามีความรักความสงสารคนทางบ้าน เพื่อน บิดามารดา เราก็ไม่สามารถจะทำความชั่วโดยขาดสติสัมปชัญญะ เป็นอันว่าในพรหมวิหาร ๔ โดยเฉพาะสองประการ คือ เมตตา กรุณาทั้งสองประการนี้ สร้างความเยือกเย็นให้เกิดกับจิตสามารถทำศีลให้บริสุทธิ์ เมื่อศีลบริสุทธิ์สมาธิก็ตั้งมั่น ความเร่าร้อนของจิตไม่มี จิตไม่มีความกระวนกระวายก็เป็นสมาธิ มีข้อหนึ่งสำหรับด้านสมาธิจะใช้เฉพาะเมตตากรุณาทั้งสองประการก็ไม่พอ ต้องมีมุทิตา อุเบกขา อารมณ์จิตจึงจะทรงสมาธิได้มั่นคง มุทิตาความมีจิตอ่อนโยน ตัดความอิจฉาริษยาออกจากจิต พลอยยินดีเมื่อบุคคลอื่นได้ดีแล้ว อารมณ์อิจฉาริษยาตัวนี้เป็นอารมณ์ที่มีความร้ายแรงมาก เมื่อเห็นใครเขาได้ดีก็ทนไม่ได้เกรงเขาจะเกินหน้าเกินตาตัวไป หากมีมุทิตาคือตัดอิจฉาริษยาออก มันพ้นไปจากจิต ความเร่าร้อนมันก็ไม่มี เห็นใครเขาได้ดีแทนที่เราจะคิดว่าเขาเกินหน้าเกินตาไป กลับพลอยยินดีกับความดีที่เขาจะพึงได้ เพราะอาศัยความสามารถและบุญวาสนาบารมีของเขาเป็นสำคัญ อารมณ์มุทิตาจิตนี้สร้างความดีให้เกิด ในเมื่อใครเขาทำความดีได้ เราพลอยยินดีกับเขาด้วยเป็นอันช่วยให้เราดีขึ้น แทนที่จะทำลายเราให้เสื่อมไป คนที่เขาได้ดีมีความชอบก็เกิดมีความรักในเรามีความเมตตาในเรา แทนที่เขาจะเหยียดหยามกลับจะคบเป็นมิตรที่ดี เราก็มีความสุข สำหรับอุเบกขาในด้านสมถภาวนามีอารมณ์วางเฉยคือ เฉยแต่เฉพาะอารมณ์ที่เข้ามายุ่งกับจิตที่ไม่เนื่องกับอารมณ์ที่เราต้องการ อย่างเรากำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก จิตมันหยุดอยู่เฉพาะลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว ไม่ไปยุ่งกับอารมณ์ภายนอกทั้งหมด คือไม่สนใจกับแสงสีใดๆ อย่างนี้เป็นต้น จะเห็นผลว่าอุเบกขาคือความวางเฉยในด้านสมถภาวนา มีอารมณ์ทำจิตให้ทรงตัว มีอารมณ์จิตเป็นฌาน (http://gallery.palungjit.com/data/574/lingdum31.jpg) รวมความว่าพรหมวิหาร ๔ มีประโยชน์ทั้งในด้านศีลและด้านสมาธิทั้งสองประการ ขอให้ท่านนักปฏิบัติผู้มีความปรารถนาในการทรงฌานให้เป็นปกติ ถ้าเราสามารถทรงพรหมวิหาร ๔ จิตก็ประกอบด้วยพรหมวิหาร ๔ ตลอดเวลา คืออารมณ์เบาตลอดวัน ทั้งวันมีความรู้สึกรักในคนและสัตว์เสมอด้วยเรา ไม่คิดประทุษร้ายสัตว์ ไม่คิดจะทำลายสัตว์ เพราะมีความรักและมีความสงสาร จิตใจก็จะมีแต่ความเยือกเย็นเพราะอารมณ์ไม่เกิดเป็นศัตรูกับใคร อย่างนี้ใจสบาย ศีลไม่ขาด สมาธิก็ทรงตัว ต่อมาข้อมุทิตาเราก็ไม่มีความอิจฉาริษยา เมื่อบุคคลอื่นได้ดีกลับมีจิตปรานีพลอยยินดีกับบุคคลที่เขามีความดี แสดงความยินดีร่วมกับเขา อันนี้ก็มีความสบายใจ ถ้ามีอุเบกขาเข้ามาควบคุมใจเข้าไว้ไม่ยอมให้อารมณ์อื่นใดเข้ามายุ่งกับจิตไม่ทำอารมณ์ให้กระสับกระส่าย อุเบกขาแปลว่าความวางเฉย ในเมื่อจับกรรมฐานกองใดกองหนึ่งขึ้นพิจารณาหรือภาวนา ก็ให้จิตทรงอยู่ในอารมณ์นั้น แสดงว่าจิตของเราจิตของบุคคลใดที่ทรงพรหมวิหาร ๔ ได้ จิตของบุคคลนั้นก็จะเป็นผู้ทรงฌานตลอดเวลาจำไว้ให้ดีนะ การที่เราทำอะไรไม่ได้ดีในด้านสมาธิจิตหรือวิปัสสนาญาณ เริ่มแต่การรักษาศีลให้บริสุทธิ์ไม่ได้ก็แสดงว่าเราขาดพรหมวิหาร ๔ ถ้าอารมณ์จิตของเราตั้งอยู่ในพรหมวิหาร ๔ ตลอดเวลา เรื่องฌานสมาบัติเป็นเรื่องเล็กจริงๆ เพราะฌานสมาบัติจะทรงขึ้นมาได้และศีลบริสุทธิ์ได้เพราะความเยือกเย็นของจิต ไม่มีความเร่าร้อนของจิต เมื่อจิตมีความเยือกเย็นไม่กระวนกระวายไม่กระสับกระส่าย ไม่มีความโหดร้าย ไม่คิดอิจฉาริษยา ทำร้ายใคร ใจก็เป็นสุข อารมณ์ก็เป็นกุศล เราจะทรงจิตในพระกรรมฐาน ๔๐ กอง แยกอย่างใดอย่างหนึ่งก็ทรงไว้ได้ดี นี่เป็นอารมณ์ของฌาน....ฯลฯ ที่มา http://www.watpanonvivek.com/index.php?option=com_content&view=article&id=3519:2012-10-19-17-23-54&catid=86:2012-07-11-07-35-36&Itemid=203 (http://www.watpanonvivek.com/index.php?option=com_content&view=article&id=3519:2012-10-19-17-23-54&catid=86:2012-07-11-07-35-36&Itemid=203) ขอบคุณภาพจาก http://www.watpanonvivek.com/,http://gallery.palungjit.com/ (http://www.watpanonvivek.com/,http://gallery.palungjit.com/) หัวข้อ: Re: ใครฝึกเมตตา เจโตวิมุตติ เป็นประจำ ขอถามความเห็นหน่อย เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มีนาคม 04, 2013, 11:49:01 am ans1 ans1 ans1 คำสอนเรื่องพรหมวิหาร ๔ ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ(พระราชพรหมยาน) น่าจะตอบโจทย์ของคุณ Be-boy ได้เกือบทั้งหมด โดยเฉพาะบทสรุปที่ว่า "พรหมวิหาร ๔ นี้เป็นกรรมฐานเลี้ยงทั้งศีล เลี้ยงทั้งสมาธิ เลี้ยงทั้งปัญญา" "ถ้าอารมณ์จิตของเราตั้งอยู่ในพรหมวิหาร ๔ ตลอดเวลา เรื่องฌานสมาบัติเป็นเรื่องเล็กจริงๆ" กรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ มีอยู่วิชาหนึ่ง เรียกว่า "ออกบัวบานพรหมวิหาร ๔" ขณะนี้ในศิษย์กรรมฐานมัชฌิมาในสายสระบุรี พระอาจารย์ได้สอนบางส่วนให้กับบางท่านแล้ว ขอคุยเท่านี้ครับ :25: :25: :25: |