สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ กุมภาพันธ์ 28, 2013, 09:39:27 pm



หัวข้อ: หญ้าคา 3 กำ และ หญ้ากุศะ 8 กำ เป็นมาอย่างไร.?
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กุมภาพันธ์ 28, 2013, 09:39:27 pm
.

 :25: :25: :25:

หญ้าคา 3 กำ และ หญ้ากุศะ 8 กำ เป็นมาอย่างไร.?



เด็กปัจจุบันที่ห่างวัด คงไม่ค่อยรู้จักกำหญ้าคาแห้ง ที่ใช้สำหรับประพรมน้ำพระพุทธมนต์แล้ว วันนี้จึงขอนำมาเล่าขยายความสู่กันฟัง เผื่อวันไหนที่ได้มีโอกาสเข้าวัดทำบุญ และพระท่านมีเมตตาประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้ จะได้ไม่สงสัยว่าท่านเอาแปรงอะไรมาสะบัดน้ำใส่ เหมือนอย่างที่หลานๆของเพื่อนผมสงสัยและถามพ่อแม่ของเค้า ซึ่งตัวพ่อแม่เองก็ให้คำตอบ ไม่ได้ว่าคืออะไร

พระภิกษุในพุทธศาสนา นิยมใช้หญ้าคาแห้งมามัดรวมให้ทำเป็น "กำคา" ใช้สำหรับจุ่มลงในน้ำพระพุทธมนต์เทพมนต์ แล้วนำขึ้น ประ (เป็นคำกิริยา) ให้น้ำที่ติดกับ "กำคา" นั้น กระจายออกไปต้องยังตัวบุคคล หรือวัตถุ หรือสถานที่ ที่ประสงค์จะให้เกิดความเป็น สิริมงคล เรียกว่า "ประพรมน้ำพระพุทธมนต์"

อนึ่ง "กำคา" ที่กล่าวถึงนี้ มีที่มาจากแกนก้าน หรือสันใบของหญ้าคาที่แก่จัด ตัดให้เหนือโคนใบขึ้นมาเล็กน้อย นำมารูดใบเขียว ที่ติดอยู่ด้านข้างทั้งสองข้างออกทิ้งไป จะเหลือแกนก้าน ที่ค่อนข้างแข็ง จากนั้นนำแกนก้านนั้นไปผึ่งแดดพอให้คายน้ำแห้ง เพื่อไม่ให้ขึ้นราหรือเน่า แล้วนำไปผึ่งต่อในร่มเพื่อให้แห้งสนิท
 
การที่ไม่ผึ่งแดดโดยตรงมากนัก ก็เพราะแสงแดดจะทำให้แห้งมากเกินไปจนกรอบ เมื่อแกนหญ้าคานั้นแห้งดีแล้ว นำมาคัดขนาดของก้านให้อวบ ใหญ่เท่าๆ กัน ไม่มีตำหนิที่ก้าน และคัดจำนวนให้ได้ 108 ก้าน แล้วจึงมัดรวมกันด้วยด้ายสายสิญจน์ที่โคนก้าน เพื่อให้เป็นที่จับได้สะดวก และป้องกันไม่ให้กำแตกง่ายอีกด้วย

@@@@@@@

ตามคติความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องหญ้าคานั้น ถือว่าเป็นหญ้าศักดิ์สิทธิ์ เมื่อน้ำอมฤตหกตกลง มาในโลกมนุษย์นี้ ได้ตกลงมายังกอหญ้าคา ทำให้หญ้าคาเป็นหญ้าอมตะที่ "ฆ่าไม่ตายทำลายไม่สิ้น" ดังนั้น ในพิธีกรรมทางศาสนาของฮินดู จึงนิยมนำมาใช้เป็นเครื่องประกอบพิธี และส่งอิทธิพลมายังพุทธศาสนาและขนบประเพณีในราชสำนักของสยามประเทศแห่งนี้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น ใช้ในปูลาดบนพระที่นั่งภัทรบิฐ ภายใต้หนังราชสีห์ หรือแผ่นทองคำ เขียน รูปราชสีห์ด้วยชาด หรคุณ เพื่อทรงประทับรับพระสุพรรณบัตร เครื่องราชกกุธภัณฑ์ และพระแสงอัษฎาวุธ

นอกจากนั้นแล้ว ยังมีการนำหญ้าคามาถักเป็นพระสังวาลพราหมณ์ ใช้ถวายพระมหากษัตริย์ให้ทรงในวันบรมราชาภิเษก เพื่อให้เป็นเครื่องราชูปโภคเฉลิมพระเกียรติ ว่าทรงอยู่ในเพศที่บริสุทธิ์แล้ว และยังใช้หญ้าคาถักปนกับสายสิญจน์ โยงรอบพระมหามณเฑียรในระหว่างประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกและเฉลิมพระราชมณเฑียรอีกด้วย

และที่สำคัญที่สุดคือ หญ้าที่ใช้ในพระราชพิธีทั้งหลายเหล่านี้ จะต้องเก็บในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 9 เท่านั้น จึงจะขลังและศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เพราะวันนี้คือ "วันกุโศตปาฎนีอมาวสยา" เป็นวันที่ชาวฮินดูทำการบูชาพระกฤษณะ อันเป็นเทพเจ้าสำคัญองค์หนึ่งของศาสนาฮินดู

บางตำราก็ถือว่า เพราะน้ำอมฤตที่ได้จากการกวนเกษียรสมุทรนั้น ได้ตกลงมาในโลกนี้ในวันดังกล่าว พราหมณ์จึงใช้หญ้าคาเป็นทั้งเครื่องบูชาและเครื่องสะเดาะเคราะห์ และเชื่อว่าบริเวณใดถ้าประพรมน้ำมนต์ด้วยหญ้าคา 3 กำ ซึ่งเรียกว่า "ไตรปัตร" แล้ว จะทำให้บริเวณ หรือสถานที่นั้นบริสุทธ์ หรือถ้าเป็นคนก็จะปราศจากทุกข์ภัยและมลทินต่างๆ แม้แต่ตัวพราหมณ์เอง เมื่อจะสาธยายมนต์หรือร่ายพระเวท ก็จะนั่งบนหญ้าคา และถูมือไปมา ทำให้บริสุทธิ์

@@@@@@@

อันที่จริง หญ้าคาที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาในอินเดียนั้น หาใช่หญ้าคาที่เราพบเห็นและใช้สอยอยู่ในประเทศไทยของเราไม่ หญ้าคาในอินเดียเรียกว่า "หญ้ากุศะ" (ชื่อวิทยาศาสตร์ Desmostachy bipinnata Stapf) เป็นหญ้าในวงศ์ Gramineae (Poaceae) มีถิ่นกำเนิดที่ประเทศอินเดียและเนปาล ชอบขึ้นในที่แห้งแล้งริมฝั่งแม่น้ำ โดยจะขึ้นเป็นกอเหง้าใหญ่ ใบอวบรูปยาวเหมือนหอก ขอบใบคม ดอกเป็นช่อรูปพีระมิด หรือเป็นแท่งตั้งตรง แข็ง สีน้ำตาลอ่อน ออกดอกตลอดฤดูฝน ขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ด และแยกกอ เป็นวงศ์วานว่านเครือเดียวกันกับหญ้าคาในบ้านเรา

หญ้ากุศะ เป็นหญ้าอีกชนิดหนึ่ง ที่ถือกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มาก เนื่องจากเป็นหญ้าที่ปรากฏในพุทธประวัติว่า ในวันก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ เจ้าชายสิทธัตถะได้รับถวายหญ้าชนิดนี้ จำนวน 8 กำมือ จากพราหมณ์โสตถิยะ และเจ้าชายสิทธัตถะได้นำหญ้ากุศะไปปูรองนั่งเป็นพุทธบัลลังก์ในวันที่พระองค์ตรัสรู้ ทำให้ชาวพุทธถือว่า หญ้านี้มีความสำคัญมาก และจัดให้หญ้านี้เป็นต้นไม้สำคัญชนิดหนึ่งในพุทธประวัติ

หญ้ากุศะ ยังมีสรรพคุณทางยาสมุนไพร คือ ใช้ทั้งต้นเป็นยาฝาดสมาน ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ รากมีรสหวาน เป็นยาเย็น แก้อาการกระหายน้ำได้อีกด้วย

โดยทั่วไปในสมัยก่อน ทุกบ้านที่นับถือพุทธศาสนา จะมีกำหญ้าคาติดบ้านวางไว้ที่หิ้งพระ หรือโต๊ะหมู่บูชา เพื่อใช้ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ด้วยตนเองได้ แต่ทุกวันนี้เกือบไม่มีคนรู้จักกำหญ้าคานี้กันแล้ว การพรมน้ำมนต์ก็ยักย้ายถ่ายเทไปเอาก้านมะยมบ้าง เอาใบเงินใบทองบ้าง มาใช้แทน อ้างเอาว่าชื่อใบเหล่านี้เป็นมงคล บางครั้งก็ปรับเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าแทน โดยการใช้เครื่องพ่นน้ำพ่นเป็นละอองฝอยแทน โดยลืมพิจารณาคติดั้งเดิมไปเสียสิ้น.

เผ่าทอง ทองเจือ
www.facebook.com/paothong.pan (http://www.facebook.com/paothong.pan)
www.facebook.com/paothong.thongchua (http://www.facebook.com/paothong.thongchua)



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/edu/329211 (http://www.thairath.co.th/content/edu/329211)
http://upload.wikimedia.org/,http://www.oknation.net/ (http://upload.wikimedia.org/,http://www.oknation.net/)


หัวข้อ: Re: หญ้าคา 3 กำ และ หญ้ากุศะ 8 กำ เป็นมาอย่างไร.?
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ธันวาคม 21, 2024, 09:13:52 am
.
(https://84000.org/tipitaka/picture/p24.jpg)
ภาพที่ ๒๔ เสด็จกลับจากลอยถาด ทรงรับหญ้าคาซึ่งพราหมณ์โสตถิยะถวายในระหว่างทาง
สมุดภาพพระพุทธประวัติ ฉบับอนุรักษ์ภาพเขียนทางพระพุทธศาสนา โดย ครูเหม เวชกร


เสด็จกลับจากลอยถาด ทรงรับหญ้าคาซึ่งพราหมณ์โสตถิยะถวายในระหว่างทาง

เสร็จจากทรงลอยถาดอธิษฐานแล้ว เวลาสายขึ้น แดดเริ่มจัด พระมหาบุรุษจึงเสด็จจากชายฝั่งแม่น้ำเนรัญชราเข้าไปยังดงไม้สาละ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำแห่งนี้ ประทับอยู่ที่นี่ตลอดเวลากลางวัน เวลาบ่ายเกือบเย็นจึงเสด็จไปยังต้นพระศรีมหาโพธิ์

พระศรีมหาโพธิ์เป็นต้นไม้ประเภทต้นโพธิ์ที่เราเห็นอยู่ในเมืองไทย ในป่าก็มี แต่ส่วนมากมีตามวัด ก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ไม่ได้เรียกว่าพระศรีมหาโพธิ์ แต่เรียกโดยชื่อตามภาษาพื้นเมือง ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเป็นภาษาชาวบ้านเรียกว่า 'ต้นปีบปัน' อีกอย่างหนึ่งเป็นภาษาหนังสือเรียกว่า 'ต้นอัสสถะ' หรือ 'อัสสัตถพฤกษ์'

เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วจึงเรียกว่า 'โพธิ์' แปลว่า ต้นไม้เป็นที่อาศัยตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ต่อมาเพิ่มคำนำหน้าขึ้นอีกเป็น มหาโพธิ์บ้าง พระศรีมหาโพธิ์บ้าง  และว่าเป็นต้นไม้สหชาติของพระพุทธเจ้า คือ เกิดพร้อมกันในวันที่พระพุทธเจ้าสมัยที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะประสูติดังได้เคยเล่าไว้แล้ว

ระหว่างทางเสด็จไปยังโคนต้นพระศรีมหาโพธิ์  พระมหาบุรุษได้สวนทางกับชายผู้หนึ่งซึ่งอยู่ในวรรณะพราหมณ์ชื่อโสตถิยะ  พราหมณ์โสตถิยะเดินถือกำหญ้าคามา ๘ กำ ได้ถวายหญ้าคาทั้ง ๘ กำแก่พระมหาบุรุษ พระมหาบุรุษทรงรับ แล้วทรงนำไปปูเป็นอาสนะสำหรับประทับนั่งที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์

พระมหาบุรุษประทับนั่งขัดสมาธิ พระบาทขวาวางทับพระบาทซ้าย และพระหัตถ์ขวาทับ พระหัตถ์ซ้าย ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ผินพระปฤษฎางค์ คือ หลังไปทางต้นพระศรีมหาโพธิ์ แล้วทรงตั้งพระทัยเป็นสัจจะแน่วแน่ว่า

   "ถ้าเรายังไม่ได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณตราบใด เราจักไม่ยอมลุกขึ้นตราบนั้น แม้ว่าเนื้อและเลือดจะเหือดแห้งไปเหลือแต่หนัง เอ็น และกระดูกก็ตามที"

_____________________________________
ที่มา : https://84000.org/tipitaka/picture/f24.html (https://84000.org/tipitaka/picture/f24.html)



 :25: :25: :25:

"หญ้ากุสะ มิใช่หญ้าคา..ประเด็นที่ชาวพุทธควรรู้"
โดย พระมหาบุญโฮม ปริปุณฺณสีโล (ไชยฤทธิ์) วัดท่าไทร ต.ท่าทองใหม่ อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ๘๔๒๙๐

(https://www.madchima.org/forum/gallery/2_21_12_24_9_08_23.jpeg)


หลังจากพระมหาบุรุษ ได้รับข้าวมธุปายาสจากนางสุชาดาและได้เสวยจนหมด และได้อธิษฐานลอยถาดแล้ว ก็กลับมาได้พบกับโสตถิยพราหมณ์ ซึ่งได้ถวายหญ้ากุสะ (กุศะ) ในบาลีเขียนถูกแล้ว แต่คนไทยแปลว่า "หญ้าคา" เพราะเข้าใจว่าเป็นหญ้าคาแบบไทย ๆ แต่แท้ที่จริงแล้ว คนที่เคยไปนมัสการสังเวชนียสถานที่ประเทศอินเดีย ย่อมรู้กันโดยทั่วไปว่า "หญ้ากุสะ มิใช่หญ้าคา"

วันเพ็ญ เดือน ๖ (นับจากวันที่ผนวชมาประมาณ ๖ ปี) ตอนเช้า พระองค์ได้รับข้าวมธุปายาส (พร้อมถาดทอง)จากนางสุชาดา ธิดาของกุฎุมพีผู้เป็นนายบ้าน แล้วทรงถือเอาไปยังริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ทรงเสวยข้าวมธุปายาสหมดแล้ว ทรงอธิษฐานลอยถาดเสียในกระแสน้ำ เวลาเย็นพระองค์เสด็จมาสู่ต้นโพธิ์ ทรงรับหญ้ากุสะ (หญ้าคา) ๘ กำมือจาก โสตถิยพราหมณ์ซึ่งถวายในระหว่างทาง ทรงปูลาดหญ้านั้นที่โคนต้นโพธิ์ แล้วประทับนั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก หันหลังเข้าหาต้นโพธิ์ ทรงอธิษฐานว่า "ถ้ายังไม่ได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณตราบใด ก็จะไม่เสด็จลุกขึ้นตราบนั้น ถึงแม้เนื้อและเลือดจะเหือดแห้งไป เหลือแต่หนัง เอ็น และกระดูกก็ตามที"

หญ้ากุสะ(กุศะ) (ชื่อวิทยาศาสตร์ Desmostachy bipinnata Stapf) เป็นหญ้าในวงศ์ Gramineae (Poaceae) มีถิ่นกำเนิดที่ประเทศอินเดียและเนปาล ชอบขึ้นในที่แห้งแล้งริมฝั่งแม่น้ำ โดยจะขึ้นเป็นกอเหง้าใหญ่ ใบอวบรูปยาวเหมือนหอก ขอบใบคม ดอกเป็นช่อรูปพีระมิด หรือเป็นแท่งตั้งตรง แข็ง สีน้ำตาลอ่อน ออกดอกตลอดฤดูฝน ขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ด และแยกกอ ต้นหญ้ากุศะ เป็นหญ้าชนิดหนึ่งที่มักขึ้นในพื้นที่แห้งแล้ง ตามที่รกร้าง ที่โล่งทั่วไป และขึ้นตามริมฝั่งของแม่น้ำ มักขึ้นเป็นกอ ๆ เหง้ามีขนาดใหญ่และอวบ ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและวิธีการแยกกอ

หญ้ากุสะ (กุศะ) เป็นหญ้าชนิดหนึ่งซึ่งถือกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มาก เนื่องจากเป็นหญ้าที่ปรากฏในพุทธประวัติว่า ในวันก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ เจ้าชายสิทธัตถะได้รับถวายหญ้าชนิดนี้จำนวน ๘ กำมือจากพราหมณ์โสตถิยะ และเจ้าชายสิทธัตถะได้นำหญ้ากุศะไปปูรองนั่งเป็นพุทธบัลลังก์ในวันที่พระองค์ตรัสรู้ ทำให้ชาวพุทธถือว่าหญ้านี้มีความสำคัญมาก และจัดให้หญ้านี้เป็นต้นไม้สำคัญชนิดหนึ่งในพุทธประวัติ และชาวพุทธนิยมนำหญ้าชนิดนี้มาประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เช่น นำมาทำเป็นที่ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ เป็นต้น


(https://www.madchima.org/forum/gallery/2_21_12_24_9_08_39.jpeg)


ชาวฮินดูนับถือว่าหญ้านี้มีความศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน โดยนำหญ้านี้มาประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ในวันแรม ๑๕ ค่ำเดือน ๙ หรือที่เรียกว่า กุโศตปาฎนีอมาวสยา เพื่อเป็นการบูชาพระกฤษณะ เทพเจ้าองค์หนึ่งของศาสนาฮินดู

หญ้ากุสะ (กุศะ) ยังมีสรรพคุณทางยาสมุนไพร โดยใช้ทั้งต้นเป็นยาฝาดสมานขับปัสสาวะ ขับเสมหะ รากมีรสหวาน เป็นยาเย็น แก้อาการกระหายน้ำได้อีกด้วย

หญ้ากุสะนี้ใบนุ่มไม่แข็งมากและรากหอม หญ้านี้พราหมณ์เขาใช้ในพิธีกรรมของเขา โดยเฉพาะใช้สลัดน้ำมนต์ และหญ้ากุสะชนิดนี้ยังสามารถใช้ถักเป็นเชือกขึงเป็นเตียงนอนได้อีกด้วย ซึ่งชาวอินเดียเขาใช้อยู่ทั่วไป ส่วนหญ้ากุสะ ที่เป็นกอสูงใหญ่นั้นยังใช้มุงหลังคาได้อีกด้วย

หญ้ากุสะมีหลายชนิด ทั้งชนิดที่คล้ายหญ้าคา และชนิดที่มีใบนุ่มมีรากหอม สำหรับชนิดที่โสตถิยพราหมณ์ถวายนั้น สันนิษฐานว่า……น่าจะเป็นชนิดที่มีใบนุ่มและรากหอม และโสตถิยพราหมณ์น่าจะนำหญ้าไปทำพิธีมงคล (เพราะโสตถิยะ ก็แปลว่าสวัสดีอยู่แล้ว) โสตถิยะน่าจะเป็นชื่อของพราหมณ์ที่ทำพิธีเพื่อความสวัสดีมงคล

ในหนังสือพุทธประวัติ ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงแต่งไว้ว่า“ครั้นเวลาเย็น เสด็จมาสู่ต้นพระมหาโพธิ ทรงรับหญ้าของคนหาบหญ้าชื่อโสตถิยะ ถวายในระหว่างทาง” มิได้ทรงใช้คำว่า หญ้าคา

ซึ่งเมื่อไปดูในคัมภีร์อัฏฐกถาปปัญจสูทนี มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสและอัฏฐกถาชาดกเล่มหนึ่ง ซึ่งกล่าวถึงพุทธประวัติตอนตรัสรู้ไว้ข้อความคล้ายกันว่า “สายณฺหสมเย โสตฺถิเยน ทินฺนา อฏฺฐติณมุฏฺฐิโย คเหตฺวา โพธิมณฺฑํ อารุยฺห แปลว่า ในเวลาเย็น พระมหาสัตต์ รับหญ้า ๘ กำที่นายโสตถิยะถวาย แล้วขึ้นสู่โพธิมณฑล"


(https://www.madchima.org/forum/gallery/2_21_12_24_9_08_54.jpeg)


ในพระบาลีทั้งสองแห่ง ใช้คำว่า ติณะ ซึ่งแปลว่า หญ้า เท่านั้น ไม่ได้ระบุว่าเป็นหญ้ากุสะ แต่คนในละแวกนั้นกล่าวกันว่าเป็นหญ้ากุสะ

ดังนั้น หญ้ากุสะที่พระโพธิสัตว์รับจากโสตถิยพราหมณ์นั้น จึงน่าจะเป็นหญ้ากุสะชนิดเดียวกับที่พราหมณ์นำไปประกอบพิธีมงคล ซึ่งมีใบไม่คมนัก นุ่ม และมีรากหอมตามที่ปรารภไว้แต่ต้น

โดยรวมแล้ว ถือว่าหญ้ากุสะเป็นหญ้าที่มีความสำคัญ และมีความหมายสำหรับเราชาวพุทธ เพราะเป็นหญ้าที่รองประทับนั่งของพระบรมโพธิสัตว์ในคืนวันเพ็ญเดือน ๖ ที่ทรงบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดาเอกในโลก

ส่วน หญ้าคา (ชื่อวิทยาศาสตร์: Imperata cylindrica Beauv.) เป็นพืชล้มลุกชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในตระกูลหญ้า มีลำต้นสูงประมาณ ๕๐-๑๐๐ เซนติเมตร ลักษณะลำต้นเป็นทรงกลมเรียวยาวขนาดเล็ก ลักษณะใบเป็นขนกระจุก ขอบใบมีลักษณะคมกริบ ออกดอกเป็นช่อก้านยาวสีขาว คล้ายหางกระรอก มีสรรพคุณในการรักษาโรคได้หลายชนิด เช่น โรคไต โรคมะเร็งคอ แก้ลมพิษ ผื่นคัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถใช้ประโยชน์จากหญ้าคาในการมุงหลังคา

ซึ่งมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ คือ มีเหง้าสีขาวแข็งอยู่ใต้ดิน ลำต้นตั้งตรงสูงถึง15-20 เซนติเมตร มีกาบใบโอบหุ้มอยู่และริมกาบใบจะมีขน ตัวใบจะเรียวยาวประมาณ 1-2 เมตร กว้างประมาณ 4-18 มิลลิเมตร มีขนเป็นกระจุกอยู่ระหว่างรอยต่อของตัวใบและกาบใบ ดอกมีสีขาวอมเหลือง หรือเป็นสีม่วง เป็นช่อยาวประมาณ5 เซนติเมตร

(https://www.madchima.org/forum/gallery/2_21_12_24_9_09_11.jpeg)


พระพุทธองค์ตรัสไว้ในราตรีที่จะปรินิพพานว่า

    "สังเวชนียสถาน คือ สถานที่กุลบุตรผู้มีศรัทธา มีความเลื่อมใสควรจะดู ควรจะเห็น ควรจะให้เกิดสังเวช" มี ๔ สถานที่ ได้แก่
     ๑. สถานที่พระพุทธเจ้าประสูติ
     ๒. สถานที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
     ๓. สถานที่พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา
     ๔. สถานที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน.
     ดูก่อนพระอานนท์ ชนเหล่าใดเที่ยวจาริกไปยังสังเวชนียสถาน ๔ ตำบลนั้นแล้ว มีจิตเลื่อมใส ชนเหล่านั้นทั้งหมดเบื้องหน้าแต่ตาย เพราะกายแตก จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์"


ผู้ที่เคยไปนมัสการสังเวชนียสถาน แสวงบุญ ไว้พระ สวดมนต์ เจริญจิตตภาวนาในแดนพุทธภูมิ ซึ่งเป็นสถานที่จริงเกี่ยวกับพระพุทธองค์ เพียงแค่ได้กราบลงที่ต้นโพธิ์ หรือเริ่มนั่งสมาธิเท่านั้นจะรู้สึกและสัมผัส "อะไรๆ" ได้ด้วยจิตของเราเองทันที ซึ่งยากยิ่งที่จะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้น.. คำ "ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ พระธรรมเป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงรู้ได้เฉพาะตน" คนที่เคยไปสัมผัสแล้วเท่านั้นจะเข้าใจ สัมผัส และรู้สึกได้ ... จะเข้าใจได้เลยทันทีถึงเหตผลที่พระพุทธองค์จึงตรัสสั่งก่อนปรินิพพานกระตุ้นเตือนให้เราชาวพุทธได้ไปนมัสการสังเวชนียสถาน …


(https://www.madchima.org/forum/gallery/2_21_12_24_9_09_24.jpeg)


จึงใคร่ขอเชิญชวนชาวพุทธ "อย่างน้อยสักครั้งหนึ่งในชีวิต" ควรหาโอกาสที่ดีให้แก่ตัวเองเพื่อจะได้ไปแสวงบุญ ไปดู ไปรู้ ไปเห็น ไปสัมผัส ไปไหว้ ไปสักการะ นมัสการสังเวชนียสถาน แล้วท่านจะถามตัวเองว่า "เราน่าจะมาตั้งนานแล้ว ทำไม เราจึงปล่อย วัน เวลา และโอกาสให้ล่วงเลยมายาวนานถึงเพียงนี้ "

หากต้องการ "ศึกษาพุทธประวัติเชิงลึกในสถานที่จริง .. เปิดโลกทัศน์เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและพุทธประวัติ" ว่าง ๆ และพอมีเงินเหลือก็จองทัวร์ไปทัศนศึกษา หากเกรงจะไม่ปลอดภัย และเกรงทัวร์จะหลอก ก็ออกค่าทริปให้แอดมิน ยินดีจะไปเป็นเพื่อน และยินดีติดต่อ ประสานงานกับทัวร์ให้ในราคาย่อมเยาว์ เพราะแอดมินมีคอนแทคกับทัวร์หลาย ๆ ทัวร์อยู่แล้ว เรื่องแค่นี้ "จิ๊บๆๆ" ครับ

หมายเหตุ

ภาพประกอบ เป็นภาพที่แอดมิน (พระมหาบุญโฮม ปริปุณฺณสีโล) กำลังสัมผัสหญ้ากุสะ ใกล้สถานที่ถอยถาด ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา (ในปัจจุบันชื่อแม่น้ำลีลาจัน) ถ่ายเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕ และอีกภาพเป็นหญ้ากุสะ สภาพต้นที่โตแล้ว ฤดูแล้ง ใกล้ทางเดินไปบ้านนางสุชาดา ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา (น.ลีลาจัน ในปัจจุบัน) ถ่ายเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๔๙ จึงนำภาพมาฝาก เผื่อใครต้องการนำไปเป็นสื่อบรรยาย ครับ (ข้อมูลประกอบจากอินเตอร์เนต ขออนุโมทนาเจ้าของข้อเขียนไว้ ณ ที่นี้)






ที่มา : เฟชพระมหาบุญโฮม 8 กุมภาพันธ์ 2558
ขอบคุณ : http://www.mahabunhome.com/kusa.html (http://www.mahabunhome.com/kusa.html)