สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ มีนาคม 05, 2013, 10:09:43 am



หัวข้อ: สตี..พิธีสยองขวัญของอินเดีย "เผาตัวเองตายตามสามี"
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มีนาคม 05, 2013, 10:09:43 am

(http://webboard.niyay.com/pic/256304580.jpg)

สตี(Suttee) พิธีศพอินเดีย "เผาตัวเองตายตามสามี"

ต้นปี พ.ศ.2498 หนังสือพิมพ์ฝรั่งลงข่าวใหญ่ เกิดขึ้นในอินเดีย เป็นข่าวภรรยานายทหารประจำราชสำนักมหาราชาโยธปุระ โจนเข้ากองไฟบนเชิงตะกอนเผาศพสามี ข่าวนี้เป็นที่หวาดเสียวของผู้คนสมัยใหม่มาก

พิธีสตีเกิดขึ้นในอินเดีย เมื่อ พ.ศ.1300 แล้วก็ทำกันต่อๆมากว่าพันปี จนเมื่ออังกฤษปกครองอินเดีย ทนดูไม่ไหว ก็ประกาศห้าม พิธีสตีทำท่าจะหายไปในระยะ 50 ปี

โยธปุระ เมืองที่ปรากฏในข่าว เป็นนครหนึ่งในแคว้นราชปุตนะ แคว้นนี้เกิดราว พ.ศ.1000 ในยุคที่อินเดียขาดกษัตริย์ หลังจากสมัยพระเจ้าวิกรมาทิตย์ ผู้ครองอุชเชนี ในแคว้นมาลวะแล้วราชวงศ์คุปต์ก็ร่วงโรยไป แผ่นดินเป็นจลาจล จึงเกิดมีพวกเจ้าน้อยๆ เรียกว่าราชปุตตะ (ราชบุตร) แบ่งกันครองแคว้นมาลวะ และแคว้นใกล้เคียง

ราชบุตรตั้งบ้านเล็กเมืองน้อย เป็นอิสระแก่กัน เช่น นครไชยปุระ นครอุทัยปุระ นครไชยยาลเมระ นครโยธปุระ และอื่นๆ นครเหล่านี้รวมกันเป็นแคว้นใหญ่ เรียกว่าราชปุตนะ มีอาณาเขตเทียบปัจจุบัน ทิศเหนือจดแคว้นปัญจาบ ทิศตะวันตกจดปากีสถาน ทิศใต้จดเขาวินธัย ทิศตะวันออกจดมณฑลภาคกลางของอินเดีย


(http://talk.mthai.com/uploads/2009/10/15/18576-attachment.jpg)

ตำนานปรัมปราว่า ต้นวงศ์ราชปุตนะเกิดจากอัคนีกูณฑ์ คือกองไฟบนยอดเขาอาพุ ต้นวงศ์มีสี่องค์ ทุกองค์เกี่ยวดองเป็นเครือญาติ แต่งงานกัน เองแต่ในวงศ์ แยกสายสาขาออกไปเป็น 36 สกุล

พวกราชปุตนะเป็นฮินดูผสมตาด บุกเข้าอินเดียแต่โบราณ มหาราชที่ครองแคว้นใหญ่ๆ มีเชื้อสายกษัตริย์ในรามเกียรติ์ และพระมหาภารตะ มหาราชโยธปุระสืบสายจากพระราม ผู้ครองอโยธยา มหาราชาไชยยาลเมระสืบสายมาจากพระกฤษณะในมหาภารตะ และมหาราชาไชยปุระสืบสายมาจากพระกุศ โอรสพระราม

พวกราชปุตนะเป็นนักรบกล้าหาญเกรียงไกร ยุคนี้ถือกันว่าเป็นยุคอัศวินรุ่งโรจน์ เหมือนพวกไนท์ในยุโรปสมัยกลาง พวกซามูไรในญี่ปุ่น ชายทุกคนได้ชื่อว่าชายชาตรี หญิงทุกคนได้ชื่อว่าวีรสตรี

เมื่อครั้งพวกมุสลิมโจมตีเมืองจีโตร์ (นครไชยปุระ) สุลต่านอาลาดิน ให้ส่งตัวพระราชธิดา พวกราชปุตนะไม่ยอม ทั้งชายและหญิงช่วยกันต่อสู้ป้องกันเมืองเต็มที่ ในที่สุดเมืองก็แตก สุลต่านยาตราทัพเข้าเหยียบเมือง ไม่พบสิ่งมีชีวิตเหลืออยู่เลย ชายต่อสู้จนตัวตายทุกคน ผู้หญิงกระโจนเข้ากองไฟตายตามผู้ชายหมดทุกคน

โยธปุระนคร สร้างเมื่อ พ.ศ.2002 เป็นวังป้อม ใหญ่โตอยู่กลางเนินกลางเมือง มีพระราชวังใหญ่อยู่สี่แห่ง เวลาวางรากว่ากันว่ามีการทำอาถรรพณ์ เอาคนทั้งเป็นฝังลงไป กำแพงเมืองมีโขลนทวาร หรือประตูซุ้มสูงเจ็ดประตู ประตูหนึ่งที่ควรเรียกว่าประตูผี  ตอนล่างๆ มีรอยเป็นรูปมือน้อยๆเป็นสีแดงประทับติดอยู่ทั่วไป

เจ้าของมือน้อยๆเหล่านี้คือ เจ้าหญิงโยธปุระ ผู้ผ่านออกประตูนี้ไปเลย ไม่เคยกลับเข้าวังอีก เพราะพระนางไปโจนเข้ากองไฟบนเชิงตะกอนเผาศพพระสวามี ตามประเพณีสตี ที่ยึดทำต่อเนื่องกันมายาวนาน


(http://talk.mthai.com/uploads/2009/10/15/18574-attachment.jpg)

กาญจนาคพันธุ์เขียนไว้ในคอคิดขอเขียนชุดที่ 3 ว่า พิธีสตีเกิดขึ้นจากน้ำใจหญิงราชปุตนะสมัยรุ่งเรืองราว พ.ศ.1300 ลงมา แผ่ออกมาชวา มลายู และอินโดจีน พระเจ้าหริวรมัน กษัตริย์จาม สวรรคต พ.ศ.1624 มีพระสนมโจนเข้ากองไฟ 14 คน

     เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ราชาเกาะบาหลีสวรรคต สนมโจนเข้ากองไฟ 72 คน
     เหตุใด...หญิงจึงกล้าหาญชาญชัย กล้าสละชีวิตตามสามีได้ น.ม.ส.เขียนไว้ในนิทานเวตาล ตอนหนึ่งว่า
ตราบใดหญิงยังขลาด ใจบ่อาจคำนึงเกรง กริ่งกลัวเผาตัวเอง พร้อมกะศพผัวเพราะมัวมน ตราบนั้นแม้นเกิดใหม่ คงจะไม่ใช่มนุษย์ชน จักมีสี่ตีนตน ย่อมจะต่ำต้อยมิน้อยเลย

กลอนบทนี้ชี้ว่าเหตุที่หญิงกล้าโจนเข้ากองไฟ... เพราะกลัวว่าจะต้องเกิดใหม่เป็นสัตว์เดรัจฉานสี่ตีน... นั่นเอง

กาญจนาคพันธุ์เล่าถึงพิธีฉลองวันปีใหม่ ที่เรียกว่าไทปูศัม ของฮินดูบางพวก เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ก่อนหมอบรัดเลมาเมืองไทย แวะพักที่สิงคโปร์ ก็เห็นพิธีที่เรียกว่าชิงช้าเบ็ด เขาตั้งเสาสูงราว 60 ฟิต บนยอดเสามีไม้คานยาว 30 ฟิต วางพาดให้กระดกขึ้นลงหันเหไปทางไหนก็ได้ ปลายไม้คานข้างหนึ่งติดกลดหรือร่มสวย อีกข้างติดเบ็ดใหญ่เกี่ยวหลังคน

คนนั้นนุ่งกางเกงเหลือง ผูกลูกกระพรวนที่ข้อตีนข้อมือ เวลายกคันเบ็ดขึ้นลงหันเหไปทางไหน ก็เขย่าลูกกระพรวนกริ๊งๆ ตอนไกวขึ้นสูงๆ หมอบรัดเลว่าน่ากลัวมาก ตอนกระดกลงมาหยุดที่พื้นดิน หมอก็เข้าไปจับเบ็ดที่เกี่ยวหลัง เวลาปลดเบ็ดออก ดูเหมือนว่าคนนั้นจะหมดแรง แต่พอเอายาใส่ที่แผลได้สักครู่ คนคนนั้นก็ออกวิ่งไปได้เหมือนปกติ “แปลก มหัศจรรย์มาก” หมอบรัดเลว่า


(http://board.postjung.com/data/648/648673-topic-ix-0.jpg)

พิธีไทปูศัมที่สิงคโปร์ยังมีต่อมา ราวปี พ.ศ. 2480 ฝรั่งเล่าว่าเดือนมกราคม พวกฮินดูทำพิธีบูชาพระเจ้า ชื่อศุมานิยัม คนเข้าพิธีเริ่มอดอาหารสามวัน จิบได้แต่น้ำ ห้ามถูกต้องสตรี วันเข้าพิธีนั่งเข้าที่เหมือนทรงเจ้า พอเริ่มได้ที่ก็เริ่มทรมานกาย

    คนเหนึ่งเอาเข็มยาวแทงแก้มซ้ายทะลุลิ้นไปออกแก้มขวา
    คนหนึ่งเอาหอกแทงปักติดท้องร้อยเล่ม อีกร้อยเล่มแทงปักติดหลัง หลายหอกมีเหล็กปัก 25 ปอนด์ห้อยถ่วงอยู่
    คนหนึ่งถือหม้อไฟ คนหนึ่งเปลือยกายนอนกลิ้งไปตามถนนระยะทาง 200 เส้น
    คนหนึ่งเอาเข็ม 300 เล่มปักหน้า 500 เล่มปักหลัง 100 เล่มปักแขนขา หน้าผากเอาเข็มยาวแทงร้อยเหมือนเย็บผ้า ที่ลิ้นเอาเข็ม 4 เล่มแทงติดห้อยออกมานอกปาก
    ใส่เกือกฝังตะปูแหลม 100 ตัว หลังเกี่ยวกับขอเหล็กใหญ่ 6 อัน ปลายขอร้อยเชือกโยงไปผูกกับรถซึ่งหนัก 200 ปอนด์ แล้วเดินลากรถนั้นไปทั้งใส่เกือกตะปู มีหอกติดตัวรุงรัง เป็นระยะทาง 160 เส้น

    เมื่อพิธีสิ้นสุด พอดึงเอาของแหลมๆเหล่านั้นออกจากร่าง แล้วใส่ยา
    ชั่วโมงต่อมา ไม่ปรากฏว่ามีรอยบาดแผลอะไรเลย พอเข้าไปตรวจร่างกายคนที่รุงรังมากที่สุด ก็ไม่เห็นรอยแผลจนรอยเดียว

อังกฤษปกครองสิงคโปร์พยายามห้าม แต่ก็ห้ามได้อย่างเดียว คือห้ามเอาเบ็ดเกี่ยวหลังไกวชิงช้า ไม่กล้าห้ามนอกไปจากนี้ ด้วยเหตุผล เป็นประเพณีพิธีทางศาสนา ที่ทำกันแก้บนก็มี ทำเพราะต้องการไปสวรรค์ก็มี

    คำพังเพยจีนว่า “ประเพณีมีอำนาจยิ่งกว่ากษัตริย์”
    กาญนาคพันธุ์ทิ้งท้าย
    “ประเพณีรีตรองต่างๆ เป็นเรื่องเกี่ยวกับขวัญของคน ละล้างเลิกถอนเสีย ก็เท่ากับทำลายขวัญของคน จึงเป็นเรื่องต้องระวัง”.


จาก คัมภีร์จากแผ่นดิน โดย บาราย
ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/column/pol/kumpee/319675 (http://www.thairath.co.th/column/pol/kumpee/319675)
http://webboard.niyay.com/,http://board.postjung.com/,http://talk.mthai.com/ (http://webboard.niyay.com/,http://board.postjung.com/,http://talk.mthai.com/)