หัวข้อ: เศรษฐีอุจจาระเหนียว "เห็นแก่ตัว..จนถูกเด็กถอนหงอก" เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มีนาคม 05, 2013, 11:37:56 am (http://www.kalyanamitra.org/u-ni-boon/jul48/images/36_01.jpg)(http://www.kalyanamitra.org/u-ni-boon/jul48/images/36_02.jpg)(http://www.kalyanamitra.org/u-ni-boon/jul48/images/36_03.jpg)(http://www.kalyanamitra.org/u-ni-boon/jul48/images/36_04.jpg)(http://www.kalyanamitra.org/u-ni-boon/jul48/images/36_05.jpg) เสฐียรพงษ์ วรรณปก เล่าเรื่อง เศรษฐีอุจจาระเหนียว ที่แท้ผิดที่ตัวเอง คอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศ โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก เมื่อเร็วๆ นี้ นึกถึงเรื่องหนึ่งที่ท่านพุทธทาส เน้นย้ำก่อนมรณภาพว่า คนเรามักนึกถึงตัวเองก่อน เพราะฉะนั้นความเห็นแก่ตัวจึงยากที่จะขจัดได้ หลวงพ่อถึงกับเตือนหลวงพ่อปัญญานันทะว่า "น้องท่าน ต่อนี้ไปให้เทศน์ย้ำเรื่องความไม่เห็นแก่ตัวมากๆ หน่อย เพราะความเห็นแก่ตัวนี้แหละ โลกจึงวุ่นวาย สอนอย่างไรให้คนได้ลดความเห็นแก่ตัวลงบ้างก็จะเป็นอานิสงส์แก่โลก" ผมมีตัวอย่างความเห็นแก่ตัว คือคิดอะไรๆ ก็คิดเพื่อตัวเอง ตัวเองนี่แหละถูก คนอื่นผิดหมด ท้ายที่สุดถูกเด็กย้อนเอาว่า ลุงนั่นแหละผิด ลุงนั่นแหละโง่ คิดอะไรเพื่อตัวเองทั้งนั้น เรียกว่า ถูกเด็กถอนหงอก ว่าอย่างนั้นเถอะ ครั้นผมจะเทศนาด้วยสำนวนโวหารของนักเทศน์ผู้ทรงภูมิปัญญา ก็จะเข้าใจยาก ไม่ต้องการให้ผู้อ่าน ต้องหากะไดมาพาดปีน เพื่อทำความเข้าใจ ผมก็จะเล่าเป็นนิทานดีกว่า ในสมัยพระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์อยู่ ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีเศรษฐีย่อมๆ ประจำหมู่บ้าน เรียกว่าเป็นครอบครัวที่รวยที่สุดในชุมชนนั้นก็ว่าได้ แกมีลูกชายคนหนึ่งที่เป็นที่รักดังดวงใจ แต่ขนาดว่ารักลูกมาก แกก็มิได้ซื้อของเล่นของใช้ให้แก่ลูก ตามหน้าที่ของพ่อเลย เพราะแกกลัวทรัพย์สินที่มีจะร่อยหรอ พูดให้ชัดก็ว่า แกเป็นเศรษฐีอุจจาระเหนียว ว่างั้นเถอะ คิดดูแล้วกันคนอื่นที่เขามีไม่เท่าแก เขายังซื้อเสื้อผ้า ของเล่นให้ลูกเขาบ้าง แต่เศรษฐีคนนี้ไม่เลยครับ ด้วยความรักลูกแกก็ไปหาท่อนไม้มาแกะทำเป็นต่างหู ขัดเกลาจนเกลี้ยง สวยงามดี (ตามความเข้าใจของแก) แล้วแกก็ให้ลูกชายใส่ ตั้งแต่นั้นมาลูกชายโทนของเศรษฐีคนนี้ จึงมีชื่อเรียกขานกันว่า "มัฏฐกุณฑลี" (แปลว่า หนุ่มน้อยผู้ประดับต่างหู เกลี้ยง) (http://www.kalyanamitra.org/u-ni-boon/jul48/pic/36.jpg) อยู่มาวันหนึ่งนาย "ต่างหูเกลี้ยง" แกป่วยเป็นโรคผอมเหลือง ร่างกายที่เคยสมบูรณ์ก็ผอมลงๆ แถมยังมีผิวเหลืองซีดอย่างน่าวิตก สงสัยแกเป็นโรคขาดอาหาร หรือไม่ก็ป่วยเป็นโรคผอมเหลืองอะไรสักอย่าง ท่านเศรษฐีแทนที่จะไปตามหาหมอที่มีความรู้มาตรวจดูโรคของลูกตน ก็ไม่ทำ เพราะกลัวว่าหมอจะเรียกค่ารักษาแพง จึงไปหาเอายากลางบ้านตามมีตามเกิด เอามาต้มให้ลูกดื่มบ้าง ฝนทาตัวบ้าง เท่าที่นึกออก แกรักษาลูกอยู่อย่างนี้ ไม่นานโรคก็ยิ่งกำเริบ จนกระทั่งลูกชายเดินไม่ไหว ต้องนอนแซ่วอยู่กับที่พ่อตัวดีก็ย้ายให้ลูกออกมานอนที่ชานบ้าน ไม่ยอมให้นอนในห้อง ด้วยกลัวว่าคนที่มาเยี่ยมไข้จะเห็นทรัพย์สมบัติของแก เขาจะเอ่ยปากยืม หรือขอเอา ดูสิครับ คนเรา มันจะอุจจาระเหนียวอะไรปานนั้น เช้าวันหนึ่งพระพุทธเจ้าทรงตรวจดูสัตว์โลกด้วยพระญาณ ก็ปรากฏว่าภาพ มัฏฐกุณฑลี ปรากฏในข่ายคือพระญาณของพระองค์ พระองค์ทรงทราบว่า เด็กหนุ่มมีอุปนิสัยพอที่จะโปรดให้เห็นธรรมได้ จึงเสด็จเข้าไปบิณฑบาต (โปรดสัตว์)ในเมือง ผ่านไปยังเรือนของเศรษฐีขี้เหนียวนี้ พอดี ทรงแผ่ฉัพพรรณรังสีไปต้องกายเด็กหนุ่มซึ่งนอนแซ่วอยู่บนชานบ้านดังกล่าว (http://www.kalyanamitra.org/u-ni-boon/jul48/pic/39-1.jpg) เด็กหนุ่มมองเห็นแสงวูบวาบ จึงพลิกกายด้วยความลำบากหันไปมอง ก็เห็นพระพุทธองค์ทรงยืนนิ่งคล้ายอยู่ต่อหน้าตนเองใกล้ๆ จึงสลดใจว่า "เพราะพ่อของเราตระหนี่ถี่เหนียว ไม่ได้ชักชวนให้เราทำบุญทำทานแม้แต่น้อย บัดนี้แม้แต่จะยกมือนมัสการพระพุทธองค์ก็แสนยาก น่าสังเวชตนเองยิ่งนัก" แล้วเขาก็นอมจิตรำลึกถึงพระพุทธคุณ ยกมือขึ้นนมัสการด้วยจิตอันเลื่อมใส แล้วก็ดับจิตลง ณ บัดดล ว่ากันว่า เขาจุติ (ตาย) แล้วไปเกิดเป็นเทพบุตรบนสรวงสวรรค์ กล่าวถึงเศรษฐีผู้เป็นพ่อ เมื่อลูกสิ้นชีวิตลง ก็เศร้าโศกเสียใจมาก ไม่เป็นอัน กินอันนอน เผาศพลูกแล้ว ก็จะมาร่ำไห้ถึงลูกรัก ตรงเชิงตะกอนที่เผาลูกทุกวันๆ อย่างน่าเวทนายิ่งนัก ร้อนถึงลูกซึ่งบัดนี้เป็นเทพบุตรแล้ว ต้องการจะสอนพ่อผู้ขี้เหนียวให้สำนึก (http://www.kalyanamitra.org/u-ni-boon/jul48/pic/40-2.jpg) ขณะที่ท่านผู้เฒ่าร้องห่มร้องไห้อาลัยอาวรณ์ลูกรักอยู่นั้น เด็กคนหนึ่งไม่รู้ว่ามาจากไหน ก็ส่งเสียงร้องไห้จ้าอยู่ข้างๆ ผู้เฒ่าจึงหยุดร้อง หันมาหาเด็ก"หนูเป็นใคร ทำไมจึงมาร้องไห้อยู่คนเดียว" พ่อหนูชี้นิ้วไปบนฟ้า พลางร้องว่า "ลุงจ๋า หนูอยากได้พระอาทิตย์และพระจันทร์บนฟ้า เอามาทำล้อรถสวยๆ" "เด็กเอ๋ย เจ้าช่างโง่นัก พระอาทิตย์ และพระจันทร์ มันโคจรอยู่บนฟ้าไกล ไม่มีใครไปถึงได้ หนูจะเอามาได้อย่างไร มานี่มาเอารูปี (เงิน) จากลุงยังง่ายกว่า เอารูปีนี้ไปซื้อล้อรถได้" เจ้าเด็กน้อยก็ร้องพลางเต้นเร่าๆ ว่า "ไม่อาวๆ หนูจะเอาพระอาทิตย์กับพระจันทร์" "เจ้าเด็กโง่ ก็บอกแล้วไงว่า ไม่มีใครเอามันมาได้" เด็กน้อยหยุดร้องทันที หันมาถามว่า "แล้วลุงร้องไห้ทำไม ตะกี้นี้" "ลุงร้องไห้คิดถึงลูกชายลุง เขาตายจากลุงไปสามวันแล้ว" เสียงเล่าขาดหายไปในลำคอ น้ำตาคลอ พลางสะอื้นด้วยความคิดถึงเป็นกำลัง "เออ แปลกน่ะ" เด็กน้อยเปรยขึ้น "แปลกอะไร หนู" ผู้เฒ่าถาม "ก็ เราสองคนนี้ คนหนึ่งร้องอยากได้สิ่งที่มองเห็น อีกคนหนึ่งร้องอยากได้สิ่งที่มองไม่เห็น คนไหนจะโง่กว่ากันนะ" (http://www.kalyanamitra.org/u-ni-boon/jul48/pic/40-4.jpg) ผู้เฒ่าได้ยิน ก็สะอึก เออ จริงสิ ลูกเราตายไปแล้วถูกเผาเหลือแต่เถ้าถ่าน มองไม่เห็น แต่เจ้าหนูนี่มันร้องอยากได้พระจันทร์และพระอาทิตย์ เห็นๆ อยู่ ตูนี่มัน "ง่าวนัก" ทันใดนั้นเด็กน้อยก็ลอยขึ้นในอากาศ แล้วก็หายวับไป ณ บัดนั้นแล เรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริง หรือแต่งขึ้นคงมิใช่ประเด็น ประเด็นอยู่ที่ผู้เฒ่าอย่างเศรษฐีคิดถึงแต่ตัวเอง หน้าตาของตัวเอง ต้องการให้คนอื่นรู้ว่าตนมีเงินมีทอง เงินทองที่มีแทนที่จะนำมาใช้จ่ายเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงบุตรภรรยาตามเหมาะสมแก่ฐานะ ก็ไม่ทำ ขนาดลูกป่วย ก็ไม่ขวนขวายรักษาในทางที่เหมาะที่ควร กลับหายากลางบ้าน หรือยาผีบอกมาให้กิน จนลูกตายเพราะความงก ความโง่ของตน ก็ยังไม่รู้ตัว ยังมีหน้ามาบอกว่ารักลูกมาก เผาลูกแล้วก็ไม่เป็นอันกินอันนอน มาร้องห่มร้องไห้ ณ ป่าช้าที่เผาศพลูกชาย ด้วยความอาลัยอาวรณ์ จนเด็กน้อยนิรนามมาเตือนสติ จึงสำนึกได้ว่า "ความผิดทั้งหมดนี้อยู่ที่ตัวเอง" สายเกินไปที่จะเอาชีวิตลูกกลับมา แต่ไม่สายสำหรับเป็นบทเรียน ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เพื่อทำประโยชน์แก่ตนและสังคมส่วนรวมในกาลข้างหน้า คุณว่าไหม ! ขอบคุณภาพและบทความจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1359871419&grpid=&catid=19&subcatid=1904 (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1359871419&grpid=&catid=19&subcatid=1904) http://www.kalyanamitra.org/ (http://www.kalyanamitra.org/) หัวข้อ: Re: เศรษฐีอุจจาระเหนียว "เห็นแก่ตัว..จนถูกเด็กถอนหงอก" เริ่มหัวข้อโดย: Akira ที่ มีนาคม 05, 2013, 11:49:13 am st11 st12
|