สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ มีนาคม 29, 2013, 09:38:20 am



หัวข้อ: รู้ยัง! แผ่นดินไหว เปลี่ยน"น้ำ"ให้เป็น"ทอง"ได้ !!
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มีนาคม 29, 2013, 09:38:20 am

(http://www.khaosod.co.th/online/2013/03/13644521031364452380l.jpg)

รู้ยัง! แผ่นดินไหว เปลี่ยน"น้ำ"ให้เป็น"ทอง"ได้ !!

เคยกังขากันไหมว่า สายแร่ทองคำ หรือแหล่งแร่ทองคำที่เราพบกันใต้ดินนั้นมาจากไหน เกิดขึ้นมาได้อย่างไรกัน


เดิมที นักวิทยาศาสตร์ตั้งข้อสันนิษฐานกันไว้ 2 ทาง ทางหนึ่งนั้นสงสัยกันว่า น้ำใต้ดิน ซึ่งอยู่ลึกลงไปจากพื้นผิวราว 10 กิโลเมตร ที่อยู่ภายใต้แรงกดดันและอุณหภูมิสูง กลายเป็นของเหลวเข้มข้นที่ประกอบด้วย คาร์บอนไดออกไซด์ ซิลิกา และเศษชิ้นส่วนของแร่มีค่า อาทิ
      - ทองคำ เมื่อแรงกดดันเปลี่ยนแปลงไป อาจเป็นเพราะแผ่นดินไหวหรือเพราะเหตุใดเหตุหนึ่ง
     มันจะเกิดฟองฟู่ ทำนองเดียวกับที่เราเห็นเกิดขึ้นเมื่อเปิดขวดน้ำอัดลม หรือโซดา
     ที่จะทำให้น้ำค่อยๆ หมดไป ทิ้งเอาสายแร่เอาไว้
      - ในอีกทางหนึ่งนั้นเชื่อกันว่า แหล่งแร่ทองคำ หรือสายแร่ทองคำนั้น
     เกิดจากการตกตะกอนสะสมของสารแร่ทองคำตามกาลเวลานั่นเอง

เมื่อเร็วๆ นี้ ดิออน เวเธอร์ลีย์ นักธรณีฟิสิกส์ ของมหาวิทยาลัยควีนสแลนด์ ในประเทศออสเตรเลีย นำเสนอผลศึกษาใหม่เกี่ยวกับการก่อกำเนิดของสายแร่ทองคำหรือแหล่งแร่ทองคำขนาดใหญ่ ระบุว่า "แผ่นดินไหว" เป็นตัวการสำคัญที่เปลี่ยนน้ำให้เป็นทองคำในแหล่งทองคำใหญ่ๆ ทั้งหลายของโลก
     ข้อสรุปดังกล่าวได้จากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทองคำกับควอซ
     ที่พบเห็นคู่กันในแหล่งทองคำขนาดใหญ่ๆ ของโลกทุกแห่ง

ทีมวิจัยของศาสตราจารย์เวเธอร์ลีย์ พบว่า แผ่นดินไหวทำให้เกิดรอยแยกปริของเปลือกโลก ที่เราเรียกกันว่า "ฟอลต์" รอยแยกใหญ่ๆ จะมีรอยแยกเล็กๆ แตกเป็นกิ่งก้านสาขาออกไปทั้งสองด้าน รอยแยกเหล่านี้จะถูกหล่อด้วยน้ำอยู่ใต้ผิวดินที่มีความเข้มข้นสูง ด้วยแรงกดดันสูงและอุณหภูมิมหาศาล
     เมื่อเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหม่ ที่ทำให้แรงกดดันลดลงกะทันหัน
     น้ำที่อยู่ในรอยแยกจะอยู่ในสภาพเหมือนน้ำในหม้อตุ๋นแรงดันที่ถูกเปิดฝาออกฉับพลัน
     มันจะพุ่งขึ้นสู่ผิวโลกกลายเป็นไอไปในชั่วพริบตา ส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่ใต้ผิวโลกก็คือแหล่งแร่ทองคำ
     และซิลิกาที่เปลี่ยนรูปเป็นของเหลวก่อนที่จะตกผลึกกลายเป็นควอซไปตามกาลเวลานั่นเอง

นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงพบทองคำพร้อมๆ กับคอวซอยู่เสมอ เหมือนอย่างในภาพประกอบนี้ที่ทองคำก้อนดังกล่าวหนักกว่า 2 กิโลกรัม (กว่า 70 ออนซ์)


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMk5EUTFNakV3TXc9PQ==&sectionid= (http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMk5EUTFNakV3TXc9PQ==&sectionid=)