สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ เมษายน 30, 2013, 09:22:55 am



หัวข้อ: ตอนนี้คุณกำลังหายใจ "เข้าหรือออก"...อยู่กับลม-ปัจจุบัน
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ เมษายน 30, 2013, 09:22:55 am

(http://www.komchadluek.net/media/img/size_photo_slide/2013/04/24/b9b98eice6faj9bag9j8b.jpg)

อยู่กับลม-ปัจจุบัน : วิปัสสนาบนหน้าข่าว

      ควันหลงวันสงกรานต์ ผมมีกลอนเปล่ามาฝากทุกท่านนะครับ...

      ขอให้สายน้ำ ชุ่มเย็นฉ่ำ ทำร้อนให้ผ่อนคลาย
      หายใจลึก ช่วยสลาย จิตว้าวุ่น
      หายใจออก ยาวๆ ไม่กักตุน
      สนับสนุน ความไม่เที่ยง ของลมหายใจ
      หายใจเข้า ไม่ให้ออก ก็คงแย่
      หายใจออก ไม่ยอมแม้ จะเข้าใหม่
      ก็คงตาย เหมือนกัน ไม่ทันไร
      ลมหายใจ จึงไม่เที่ยง ไม่มีตน
 
      คนอยู่ได้ ด้วยลม  น้ำ  ดิน  ไฟ
      เลิกประชุม เมื่อไหร่ คงตายลง
      พระท่านว่า หยุดอยาก หยุดกังวล
      มีชีวิต อยู่คง ลมปัจจุบัน
      ลืม 'อดีต'  แล้วเลิกฟุ้ง ซึ่ง 'อนาคต'
      ลืมให้หมด จิตจดจ่อ ศูนย์กลางฉัน
      มันนิ่งเงียบ เฉียบคม สว่างพลัน
      ไม่มีฉัน ไม่มีเธอ เสมอเอยฯ


      ใครที่เคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ชีวิตนี้มีแต่โชคร้าย คล้ายผีซ้ำด้ำพลอย ตรวจดูเงินในธนาคารก็มีน้อย ซ้ำหนี้สินก็ยังพอกพูน ดอกเบี้ยเงินกู้สูงเกินจริง ในขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝากต่ำติดดิน ข้าวของแพงกระฉูดขนาดนี้แล้ว ไม่วาย รัฐบาลก็ยังซ่า ขยันสร้างหนี้สาธารณะมาถลุงกัน แล้วแปะไว้ที่คนไทยทุกหัวระแหงอีก (ล่าสุด ๒ ล้านล้านบาท ถ้ากู้สำเร็จ ท่านลองเอา ๖๕ ล้านคนไทย มาหารดูสิครับ เรามีหนี้เพิ่มอีกแล้ว คนละตั้ง ๓ หมื่นกว่าบาท บวกของเก่าเป็นเท่าไรแล้วก็ไม่รู้)


(http://mediacenter.mcu.ac.th/data/caipyo/m4/wimutti.jpg)

     อย่างไรก็ดี ผมขอให้พวกเรามองในแง่ดี อย่างน้อย เราก็มีสมบัติมีค่าชิ้นหนึ่ง ที่ติดตัวเราตลอดเวลา คือ 'ลมหายใจ'
     ลมหายใจของมวลมนุษยชาติทั้ง ๗,๐๐๐ ล้านคนนี้ ไม่สังกัดศาสนา ทุกชาติ ทุกภาษา มีลมหายใจที่ทำหน้าที่เหมือนกัน คือหายใจเข้าแล้วต้องออก หายใจออกแล้วต้องเข้า หากไม่ทำตามนั้นจะต้องตายภายใน ๓-๕ นาที และนั่นคือหน้าที่ฟังก์ชันของลมหายใจที่เกี่ยวกับร่างกาย ซึ่งถือว่ามีคุณค่ายิ่ง

    เวลาท้อแท้ ให้เอามือขึ้นมาอังที่จมูก ดูสิเรายังคงมีลมหายใจอยู่หรือไม่ ถ้ามีคือยังมีโอกาส เพราะยังไม่ตาย ดังคำโบราณว่า ชีวิตไม่สิ้น ก็ดิ้นต่อไป, ชีวิตไม่ดิ้น มันก็สิ้นใจ (คนที่ไม่สู้ ก็เหมือนกับตายไปแล้วทั้งเป็น)

    แต่สิ่งที่ลมหายใจมีค่ามากกว่านั้น หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ค้นพบอานิสงส์ของมัน เมื่อกว่า ๒,๖๐๐ ปีก่อน ณ ใต้ต้นโพธิ์ คืนวันวิสาขมาส ท่านใช้ลมหายใจเป็นเครื่องมือ เข้าออกฌาน ๔ ไป-มา แล้วมาหยุดอยู่ที่ปฐมฌาน ก่อนจะตรัสรู้โพธิธรรม เห็นปฏิจจสมุปบาทอย่างชัดแจ้ง ดับทุกข์ได้โดยสิ้นเชิงด้วยตนเอง
    จึงได้รับการขนานพระนามว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    เพราะฉะนั้น ลมหายใจเดียวกันที่เรามีอยู่ ณ ขณะนี้ นี่แหละจึงเป็นสมบัติที่มีค่าที่สุดในร่างกายของคนเรา


(http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/06/Y7950450/Y7950450-2.jpg)

    ด้วยระบบ อานาปานสติ ทั้ง ๔ หมวด มี ๑๖ ขั้น จึงได้รับการรวบรวม เรียบเรียง แต่นั้นมาตราบจนถึงปัจจุบัน
 
   (๑) อานิสงส์ขั้นต่ำของผู้ที่ได้ฝึก ก็จะทำให้สภาพร่างกาย (รูป) หนึ่งในขันธ์ ๕ มีความสมดุล โอกาสเจ็บป่วยน้อยลง หมอเทวดาชาวจีนเคยกล่าวไว้ ร่ายกายคนเรา หากรักษาระบบเลือด ระบบลม ให้สมดุลเป็นปกติแล้วไซร้ เราจะไม่มีโอกาสเจ็บไข้ได้ป่วยเลย

   (๒) อานิสงส์ระดับปานกลาง คือ ช่วยให้จิตใจสงบ บรรเทาความว้าวุ่นใจ จนกระทั่งถึงขั้นนิพพานชิมลอง, เพราะจิตของเรา อันประกอบด้วย ขันธ์ ๔ ขันธ์ คือ เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ ถูกระงับ ดับความทรงจำมั่นหมาย ความอาลัยอาวรณ์ในอดีต (สัญญา) ลงชั่วคราว แล้วยังตัดความวิตกกังวลใจ ถึงขั้นฟุ้งซ่าน เตลิดเปิดเปิงไปไกลถึงเรื่องของอนาคตที่ยังมาไม่ถึง (สังขาร)

    ผมว่า อันที่จริง อนาคตมันไม่เคยมาถึงเราด้วยซ้ำนะ ท่านว่าไหม ปราชญ์ฝรั่งยังบอกเลยว่า Tomorrow never come. (จะกังวลใจไปไย) เมื่อดับสัญญาและสังขารไม่ให้ปรุงจากการกระทบของอายตนะภายนอก(รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์) กับอายตนะภายใน (ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ) จนเกิดเป็น วิญญาณ ได้แล้ว ก็จะเหลือไว้เพียง ตัวรู้ เท่านั้น หรือ สักแต่รู้ว่ามีการกระทบกันของตากับรูป หรือหูกับเสียงเท่านั้น

    แต่จิตเราไม่ปรุงแต่งไปด้วย จิตที่ไม่ปรุงนั้นเป็นเพราะนี้มีสติกำกับทำหน้าที่เฝ้าดูลมหายใจ เพียงอย่างเดียว หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ เป็นปัจจุบัน
    นั่นคือ รู้ลมปัจจุบันเพียงลมเดียว แต่ต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ ลมเข้าก็รู้-ออกก็รู้,
    ลมสั้นก็รู้-ลมยาวก็รู้, ลมหยาบก็รู้-ลมละเอียดก็รู้, ฯลฯ
    กระทั่งลมละเอียดจนคล้ายๆ กับหมดลมหายใจไปเฉยๆ ก็รู้ มีสติรู้อย่างแยบคาย
    ไม่ตกใจ ไม่กลัวแม้ว่าจะต้องตาย
    นี้ท่านพุทธทาสภิกขุ เรียก 'นิพพานชิมลอง' ได้สัมผัสลิ้มรสต่อสภาวะ 'จิตว่าง' จากความคิดปรุงแต่งชั่วคราว

    (๓) อานิสงส์ระดับสูง อานาปานสติ นั้นมิใช่ทำได้เพียง การดับทุกข์ชั่วคราวเท่านั้น
    สำหรับคนที่เข้าใจระบบของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง ดำเนินมรรคาที่พร้อมสรรพทั้ง ๘ องค์ อันเริ่มจาก สัมมาทิฏฐิได้นั้น จะเข้าถึงระดับสูงสุดนี้ได้ เป็นระดับที่ทำให้คนธรรมดา กลายเป็นอริยบุคคล โดยธรรมชาติ มิใช่โดยเจตนาอยากได้ อยากมี อยากเป็น
    ดังที่หลายๆ คน หลายๆ สำนัก พามวลชนให้หลงเคลิ้มไป นักต่อนักแล้ว
    บ้างก็ทุ่มเททำบุญจนหมดตัว, บ้างก็เชี่ยวชาญในการสร้างนิมิต สร้างพระพุทธรูปกลางสะดือบ้าง
    สร้างวิมานกลางเวหาบ้าง เวลาตายก็คล้ายว่าได้ไปอยู่ในนิพพานสถาน อะไรทำนองนั้น ฯลฯ

    ถ้าเป็นอย่างนั้น น่าจะยังผิดทางอยู่ ดังเคยมีคนนำเรื่องราวการเห็นนิมิตจากสมาธิต่างๆเหล่านี้
    ไปถาม หลวงปู่ดูลย์ อตุโล มาแล้ว ท่านตอบแบบสั้นๆว่า
    “ที่เขาเห็นนะ เห็นจริง แต่สิ่งที่เขาเห็น มันไม่จริง”


(http://www.dmc.tv/images/newsworld_1/thudongkawat7.jpg)

    แนวทางแห่งพุทธประสงค์นั้น การปฏิบัติอานาปานสติ หรือการปฏิบัติธรรม ทำทาน-ศีล-ภาวนา ทั้งหมดทั้งมวล ก็เป็นไปเพื่อการละ สละตัวตน ไม่เอา-ไม่เป็น-ไม่ยึดมั่นถือมั่นแม้กระทั่งพระนิพพานด้วยซ้ำไป 
    “อันว่านิพพาน เป็นของแปลก ยิ่งอยากได้ ยิ่งห่างไกล หยุดอยากเมื่อไหร่ ถึงได้โดยไร้เจตนา”
    ... และการฝึกอานาปานสติ หรือ มีสติรู้ลมอยู่กับปัจจุบันนี้นั้น จะทำให้ท่านมีกำลังจิตที่ สงบนิ่ง
    มีกำลังและพร้อมใช้งาน ไม่ได้เอาไปใช้งานแบบสร้างนิมิตอย่างเสียเวล่ำเวลานะ
    แต่เอาไปพิจารณา เรื่องสกลกาย ว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
    และพิจารณาเรื่องทุกข์ เรื่องเหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย) เรื่องนิโรธ เรื่องมรรคาอันประเสริฐ ต่างหากล่ะ
    จึงจะเข้าสู่กระแสพระนิพพานได้ ซึ่งถือว่าเป็นความสุขที่แท้จริง (แม้แต่คำว่า ความสุข ก็ยังเป็นสมมุติบัญญัติที่พระพุทธเจ้าขอยืมคำมาใช้เท่านั้น จะให้ถูกต้องต้องเรียกว่า ดับทุกข์สิ้นเชิง)

    ไม่น่าเชื่อนะครับ ความสุขที่สูงสุด ตามพุทธพจน์ ที่ว่า "นัตถิ สันติ ปะรัง สุขขัง (สุขอื่นนอกเหนือจากความสงบไม่มี)" นั้น ไม่ต้องเสียตังค์แม้แต่บาทเดียว ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ หรือ สถานที่อะไรมากมาย เป็นสิ่งที่ติดตัวเราอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว สามารถหยิบมาใช้ได้ ทุกที่ ทุกเวลา ตามที่ใจปรารถนา นั่นคือ 'ลมหายใจ'

    การที่เราได้ฝึกจนชำนาญ สามารถรู้ลมในปัจจุบันได้ทุกขณะ
    ความโลภ ความโกรธและความหลงก็จะไม่เกิดขึ้นกับเรา หรือ หากเกิดก็จะถูกกำจัดไปโดยเร็ว
    นี่แหละครับ ทรัพย์สินที่มีคุณค่ามากที่สุดในชีวิตคน ทำให้จิตวุ่น กลายเป็นว่าง
    ทำให้คนมีความเป็นอยู่โดยชอบ ทำให้โลกไม่สิ้นไร้พระอรหันต์ อานาปานสตินี้ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ
    ว่าแต่ว่า ตอนนี้ คุณกำลังหายใจเข้า หรือ ออก อยู่ล่ะครับ.?


ขอบคุณภาพและบทความจาก
อยู่กับลม-ปัจจุบัน : วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยพิสุทธิ์ เกรียงบูรพา เรื่อง นรินทร์ เครือคล้าย ภาพ
www.komchadluek.net/detail/20130425/156885/อยู่กับลมปัจจุบัน:วิปัสสนาบนหน้าข่าว.html#.UX8jlErSi85 (http://www.komchadluek.net/detail/20130425/156885/อยู่กับลมปัจจุบัน:วิปัสสนาบนหน้าข่าว.html#.UX8jlErSi85)
http://mediacenter.mcu.ac.th/ (http://mediacenter.mcu.ac.th/) , http://topicstock.pantip.com/ (http://topicstock.pantip.com/) , http://www.dmc.tv/ (http://www.dmc.tv/)


หัวข้อ: Re: ตอนนี้คุณกำลังหายใจ "เข้าหรือออก"...อยู่กับลม-ปัจจุบัน
เริ่มหัวข้อโดย: Akira ที่ พฤษภาคม 01, 2013, 10:59:50 am
มีพระ รูปหนึ่ง กล่าวว่า หายใจเข้า แม้หลับ ยังรู้เลยว่า หลับตอนหายใจเข้า หรือ ออก

 อานาปานสติ เป็นธรรมที่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอยู่ตลอดที่พระองค์ทรงมีพระชนม์ชีพ

   st11 st12