หัวข้อ: โศกนาฏกรรมรัก "หมะเมียะ-เจ้าศุขเกษม"....ต่ำศักดิ์ หรือ พิษการเมือง.?? เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มิถุนายน 03, 2013, 09:56:31 am (http://www.matichon.co.th/news-photo/matichon/2013/05/pra02210556p1.jpg) ที่ตั้งของกู่ (สถูป) เจ้าน้อยศุขเกษม และกู่ของหมะเมียะ ที่วัดสวนดอก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ (ภาพถ่ายโดยมิ่งหล้า เจริญเมือง) โศกนาฏกรรมรัก "หมะเมียะ-เจ้าศุขเกษม"....ต่ำศักดิ์ หรือ พิษการเมือง.?? โดย พนิดา สงวนเสรีวานิช เสน่ห์ของการอ่านประวัติศาสตร์ประการหนึ่ง คือการได้วิเคราะห์และนั่งถกกับคนคอเดียวกัน ประวัติศาสตร์จึงไม่ได้เป็นแค่เรื่องเล่าเรื่องบันทึกเก่าๆ เดิมๆ ที่นักเรียนถูกบังคับให้ต้องท่องจำ เช่นเดียวกับนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ซึ่งทำหน้าที่เป็นเวทีให้นักวิชาการนักเขียนได้เสนอเรื่องราวแบบปลายเปิด เพื่อยั่วแย้งให้ผู้สนใจอื่นๆ ได้เข้ามาร่วมแจม ร่วมถกแถลงแสดงความคิดเห็นตามอัธยาศัย ฉบับเดือน พฤษภาคม 2556 มีประเด็นร้อนๆ ประเด็นเด่นๆ ประเด็นอมตะ มากมายเช่นเคย นอกจากเรื่องเด่นของปกเดือนนี้ที่แฟนานุแฟนของ ปรามินทร์ เครือทอง พลาดไม่ได้ เพราะฉบับนี้มาเฉลยกันแบบเนื้อๆ เน้นๆ ชัดๆ กันไปเลยว่า ทำไมเมื่อตอนกรุงแตก พระเจ้าตากจึงมุ่งไปทางหัวเมืองตะวันออก แท้ที่จริงต้องการหลีกลี้หนีภัยที่จวนเจียนมาถึงตัวเต็มที หรือ เป็นการวางแผนกู้ชาติ ยังมีอีกหลากหลายประเด็นที่น่าสนใจ อย่าง เรื่องราวของโศกนาฏกรรมรักระหว่างสาวสามัญชนชาวพม่า ที่ออกจะยากจนด้วยซ้ำ "หมะเมียะ" กับเจ้าชายหนุ่มสูงศักดิ์ เจ้าน้อยศุขเกษม ที่ใครเป็นแฟนเพลงของ จรัล มโนเพ็ชร จะต้องรู้จักเพลง "มะเมียะ" "เจ้าชายเป๋นราชบุตร แต่สุดตี้ฮักเป๋นพม่า ผิดประเพณีสืบมา ต้องร้างราแยกทาง... มะเมียะตรอมใจ๋ อาลัยขื่นขม ถวายบังคมทูลลา สยายผมลงเจ๊ดบาทบาทา ขอลาไปก่อนแล้ว จ้าดนี้... เจ้าชายก่อตรอมใจ๋ต๋าย มะเมียะเลยไปบวชชี ความฮักมักเป๋นจะนี้ แลเฮย..." ทบทวนเนื้อเรื่องกันสักนิด... (http://www.matichon.co.th/news-photo/matichon/2013/05/pra02210556p2.jpg) เจ้าน้อยศุขเกษมกับเจ้าหญิงบัวชุม ความรักของหนุ่มสาวสองแผ่นดินเมื่อ 110 กว่าปีที่แล้ว น่าจะเริ่มต้นราว พ.ศ.2444-2445 เมื่อเจ้าน้อยศุขเกษม หนุ่มเชียงใหม่ อายุ 18-19 ปี ได้พบกับหมะเมียะ สาวชาวมอญวัย 15-16 ปี ที่เมืองเมาะละแหม่ง เพราะเจ้าน้อยศุขเกษมไปเรียนหนังสือที่นั่น เจ้าน้อยคงไปเดินตลาดและได้พบเธอซึ่งเป็นแม่ค้าขายบุหรี่ที่นั่น หรืออาจไปพบเธอบนถนนสายใดสายหนึ่ง แล้วก็ตามเธอไป หรือไปเจอเธอที่งานวัดงานบุญ ก่อนจะพัฒนาเป็นความรักในเวลาต่อมา ปลายปี พ.ศ.2445 เจ้าชายหนุ่มพาหญิงสาวคนรักมาที่คุ้มของฝ่ายชายที่เชียงใหม่ ความรักของคนทั้งสองถูกกีดกันอย่างหนัก จนในที่สุด ช่วงสงกรานต์ปี พ.ศ.2446 ช้างก็นำหมะเมียะเดินทางกลับบ้านเพียงผู้เดียว การพลัดพรากที่ประตูหายยาคราวนั้นเป็นฉากสุดท้ายของความรักระหว่างหนุ่มสาวสองแผ่นดิน ความรักแสนรันทดของคนคู่นี้มีนักวิชาการให้ความสนใจอยู่พอสมควร กระทั่งเคยตั้งเป็นประเด็นถกแถลงแสดงความคิดกันบนเวทีเสวนา หนึ่งในนั้นคือ สมฤทธิ์ ลือชัย ที่ไปสืบค้นต้นเรื่องของหมะเมียะและเจ้าศุขเกษม ถึงเมืองเมาะละแหม่ง ประเทศเมียนมาร์ ไปคุยกับเจ้าอาวาสวัดไจ้ตะหลั่น ตามหาแม่ชีปาระมี ไปตามหาจนเจอลูกสาวของ "อูโพด่อง" พ่อค้าไม้ชาวเมาะละแหม่งที่ดูแลเจ้าศุขเกษมตอนเดินทางมาเรียนที่เมืองนี้ แล้วยังได้พบกับเจ้าอาวาสวัดเขมาติริ ซึ่งอยู่เชิงเขาใกล้วัดไจ้ตะหลั่น ที่ได้เล่าว่าเคยมีแม่ชีชื่อ ด่อเมี้ยะ เป็นแม่ชีที่เคยไปอยู่เมืองไทย (http://www.matichon.co.th/news-photo/matichon/2013/05/pra02210556p3.jpg) ภาพวาดหมะเมียะตามจินตนาการของจิตรกรในปัจจุบัน (จาก www.wikipedia.org (http://www.wikipedia.org)) รวมทั้งไปแกะรอยจุดตั้งต้นของความรักที่เล่าลือกันตามตลาดเก่าแก่ในเมืองเมาะละแหม่ง และร้านขายบุหรี่เก่าแก่ของเมือง เป็นที่มาของการตั้งคำถามว่า ทำไมคนทั้งเมืองเมาะละแหม่งจึงไม่รู้เรื่องราวแสนรันทดของคนทั้งคู่ ทั้งยังตั้งข้อสันนิษฐานว่า เรื่องราวความสัมพันธ์ของหมะเมียะและเจ้าน้อยศุขเกษมที่ ปราณี ศิริธร ณ พัทลุง นำมาเปิดเผยในหนังสือ "เพ็ชร์ลานนา" เมื่อ พ.ศ.2507 และนำมารีไรท์อีกครั้งพร้อมกับเพิ่มเติมรายละเอียด ในหนังสือ "ชีวิตรักเจ้าเชียงใหม่" ตีพิมพ์เมื่อปี 2523 โดยอ้างว่าเขียนจากการเปิดเผยของเจ้าบัวชุม เป็นเรื่องแต่งขึ้น ในวาระ 110 ปีของโศกนาฏกรรมความรักของคนทั้งคู่ ธเนศ เจริญเมือง หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพลิกอีกมุม ถอยหลังออกไปอีก 2-3 ก้าวแล้วมองไปถึงบริบทโดยรอบที่แวดล้อม ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม ที่สะท้อนออกมาจากจุดเริ่มต้นของความรักของคนทั้งคู่ นับตั้งแต่เจ้าชายเมืองเชียงใหม่ที่ถูกส่งตัวไปศึกษาต่อในดินแดนของผู้ที่ปกครองบ้านเมืองตนเอง http://www.youtube.com/watch?v=tCXPd9BnCUE#ws (http://www.youtube.com/watch?v=tCXPd9BnCUE#ws) เผยแพร่เมื่อ 30 พ.ย. 2012 โดย Tanan Uaareenusorn อาจารย์ธเนศบอกว่า เชื่อว่าความรักของเจ้าศุขเกษมที่ไปเรียนต่อและพบรักกลับมาเป็นเรื่องจริง "รักอันรันทดเกิดขึ้นได้เสมอ โดยเฉพาะในสังคมเก่าที่มีความเหลื่อมล้ำอย่างมากทั้งทางอำนาจการเมือง ทางเศรษฐกิจและทางสังคม-วัฒนธรรม และหากเกิดในรัฐที่กำลังมีปัญหาละเอียดอ่อนทางการเมือง เช่น สยาม-ล้านนา และพม่า โศกนาฏกรรมจึงเป็นเรื่องที่มีความเป็นไปได้มากขึ้นกว่าเดิม" ไม่ต้องดูอื่นไกล เจ้าดารารัศมี เมื่อ พ.ศ.2440 ไม่ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านไปร่วมงานศพบิดา หลังจากที่จากเมืองเชียงใหม่ไปนานถึง 11 ปี และในปีเดียวกัน ในหลวงรัชกาลที่ 5 ก็ทรงส่งพระราชโอรสของท่านไปเรียนต่อที่ยุโรปนับ 10 คน ด้วยเหตุนี้ "ผมจึงเชื่อว่าเจ้านายในล้านนาจึงคิดหาโอกาสใหม่ๆ ให้แก่แผ่นดินของตนเองบ้าง คนเราถ้ามีโอกาสไปเรียนรู้ในต่างประเทศ ทำไมจะไม่ไป" เจ้าน้อยศุขเกษมโศกเศร้าเหลือเกินกับความรักที่หลุดลอยไป (ถ้าเป็นจริง) หลังจากที่ท่านไปอยู่ต่างแดน ไปเรียนภาษาอังกฤษมาถึง 5 ปีเต็ม และเมื่อท่านกลับมาในตอนปลายปี พ.ศ.2445 นั้น ท่านทราบไหมและท่านรู้สึกอย่างไรที่บ้านเกิดเมืองนอนของท่านได้สูญเสียความเป็นรัฐและถูกผนวกดินแดนไปเรียบร้อยแล้ว (ในปี พ.ศ.2442) หรือว่าท่านรู้สึกโศกเศร้าอย่างหนัก เพราะชะตากรรมของแผ่นดินแม่และโศกนาฏกรรมความรักของท่านด้วยในเวลาไล่เลี่ยกัน "ผมถือว่าความรักและการสูญเสียของหมะเมียะและเจ้าศุขเกษมเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่เพราะบริบทแห่งประวัติศาสตร์ในขณะนั้นด้วย ก็เพราะปัญหาทางการเมือง ความไม่เท่าเทียมกันทางการเมือง และการใช้อำนาจบาตรใหญ่ทางการเมืองในขณะนั้นทำให้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้น" ขอบคุณภาพข่าวจาก หน้า 21,มติชนรายวัน ฉบับวันอังคารที่ 21 พฤษภาคม 2556 http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1369112340&grpid=01&catid=&subcatid= (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1369112340&grpid=01&catid=&subcatid=) วันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15:00:25 น. หัวข้อ: Re: โศกนาฏกรรมรัก "หมะเมียะ-เจ้าศุขเกษม"....ต่ำศักดิ์ หรือ พิษการเมือง.?? เริ่มหัวข้อโดย: ธุลีธวัช (chai173) ที่ มิถุนายน 05, 2013, 12:14:18 pm (http://t0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQpMr3kSRDo7VodUZMqF5kJTHKVcToMyEvVq2Ye9ax1aQtSwEFx_A) (http://board.postjung.com/data/528/528968-topic-ix-4.jpg)
เรื่องราวความรักที่ต่างเชื้อชาติ ระหว่างเจ้าน้อยศุขเกษมและมะเมียะ อันกลายมาเป็นตำนานรักที่จบลงอย่างโศกสลด และได้รับการกล่าวขานมาถึงปัจจุบัน ถูกถ่ายทอดโดยเจ้าหญิงบัวชุม ณ เชียงใหม อดีตคู่หมั้นของเจ้าน้อยศุขเกษม) แม้ว่ามะเมียะจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ ล้านนาโดยตรง แต่สำหรับเจ้า (น้อย) ศุขเกษม ราชบุตรองค์ใหญ่ของเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าหลวงเชียงใหม่ (พ.ศ.๒๔๕๒-๒๔๘๒) กับแม่เจ้าจามรีแล้ว มะเมียะเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของเจ้าน้อยฯ ก็ว่าได้ มะเมียะเป็นแม่ค้าสาวชาวพม่า หน้าตาพริ้มเพรา ได้พบกับเจ้าน้อยศุขเกษมครั้งแรก เมื่ออายุเพียง ๑๖ ปี ขณะนั้นมะเมียะเป็นเพียงแม่ค้าขายบุหรี่ซะเล็กอยู่ที่ตลาดใกล้บ้านในเมืองมะละแหม่ง มะเมียะหารายได้ด้วยความหวังเพื่อจะได้เงินมาจุนเจือครอบครัว ซึ่งอยู่ในฐานะปานกลาง วันหนึ่งเมื่อเจ้าน้อยศุขเกษมได้ออกเดินเที่ยวตามห้างร้านในตลาด จึงได้พบกับมะเมียะ ซึ่งเพิ่งกลับมาจากเมืองตองอู หลังจากไปอาศัยอยู่กับป้าของเธอเป็นเวลาหลายปี ทั้งคู่เกิดถูกใจในกันและกัน จึงได้คบหากันเรื่อยมา หลังจากนั้นไม่นานทั้งสองจึงใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยา ด้วยความสนับสนุนของทางบ้านของมะเมียะ และในวันพระทั้งสอง จะพากันไปทำบุญตักบาตรและนมัสการพระบรมสารีริกธาตุตามสถานที่ต่างๆ ในเมืองมะละแหม่งอยู่เสมอ วันหนึ่ง ณ ลานกว้างหน้าพระธาตุใจ้ตะหลั่น ทั้งสองได้กล่าวคำสาบานต่อกันว่าจะรักกันตลอดไป และจะไม่ทอดทิ้งกัน หากผู้ใดทรยศต่อความรักที่มีให้กัน ก็ขอให้ผู้นั้นอายุสั้น จากนั้นไม่นานก็ถึงกำหนดการเดินทางกลับเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเจ้าน้อยฯ เพิ่งจะมีอายุครบ ๒๐ ปี จึงได้ตัดสินใจให้มะเมียะปลอมตัวเป็นชายติดตามขบวนเพื่อกลับไปยังเมืองเชียงใหม่ ในฐานะเพื่อนหนุ่มชาวพม่า โดยหารู้ไม่ว่าเจ้าพ่อและเจ้าแม่ของตนได้หมั้นหมายเจ้าหญิงบัวนวล ธิดาของเจ้า สุริยวงษ์ (คำตัน สิโรรส) ให้เป็นคู่หมั้นของเจ้าน้อยฯ เป็นการภายในตั้งแต่ปีที่เจ้าน้อยฯ เดินทางไปศึกษาเล่าเรียนในเมืองพม่าหลังจากที่ต้องแอบซ่อนมะเมียะไว้ในบ้านหลังเล็ก ที่เจ้าพ่อและเจ้าแม่จัดเตรียมไว้ให้เป็นที่พักมาแล้วหลายวัน เจ้าน้อยศุขเกษมได้ใช้เวลาคิดใคร่ครวญและตัดสินใจเล่าความจริงให้ทั้งสองฟัง แม้ว่าจะไม่มีคำใดเอื้อนเอ่ยออกมาในขณะนั้น แต่เจ้าน้อยฯ ก็พอจะทราบได้ว่าทั้งสองไม่ยอมรับมะเมียะเป็นศรีสะใภ้อย่างแน่นอนเนื่องจากปัญหาใหญ่ในขณะนั้น คือเจ้าน้อยเป็นผู้ที่ได้รับการคาดหวังว่าจะได้รับตำแหน่งเจ้าหลวงองค์ถัดไปจากเจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ ซึ่งเป็นพระเจ้าลุง หากเจ้าน้อยฯ เลือกมะเมียะมาเป็นศรีภรรยา ประชาชนย่อมต้องเกิดความอึดอัดใจในการยอมรับมะเมียะผู้เป็นหญิงต่างชาติมาดำรงฐานะศรีภรรยาของเจ้าเมืองอย่างแน่นอน ในสถานการณบ้านเมืองขณะนั้นน่าวิตกมาก เนื่องจากมหาอำนาจอังกฤษกำลังแผ่อิทธิพลไปทั่วดินแดนในคาบสมุทรเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ มะเมียะซึ่งเป็นคนในบังคับของอังกฤษและกำลังอาศัยอยู่ในคุ้มของอุปราช (ขณะนั้นเจ้าแก้วนวรัฐดำรงตำแหน่งอุปราชเมืองเชียงใหม่) อาจเป็นชนวนของปัญหาทางการเมืองที่ใหญ่โตได้ในภายหลัง เหมือน ดัง กรณีคดีของพระยอดเมืองขวาง ซึ่งมีปัญหากับคนในบังคับอังกฤษ ในที่สุดเจ้าพ่อและเจ้าแม่จึงเรียกตัวเจ้าน้อยฯไปพบ และยื่นคำขาดให้เจ้าน้อยส่งตัวมะเมียะกลับเมืองมะละแหม่ง เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับบ้านเมือง ในยามเย็นวันนั้นเอง เจ้าน้อยได้เข้าพิธีเรียกขวัญและรดน้ำมนตที่เจ้าพ่อกับเจ้าแม่จัดขึ้น เพื่อขจัดสิ่งชั่วร้ายที่ท่านทั้งสองเชื่อว่ามะเมียะได้กระทำแก่เจ้าน้อยฯ อันเป็นเหตุให้เจ้าน้อยฯ หลงไหลในตัวนาง หลังจากพิธีรดน้ำมนต์ผ่านพ้นไป ช้างพาหนะและไพร่พลที่จะใช้ในการส่งตัวมะเมียะกลับเมืองมะละแหม่งก็ถูกจัดเตรียมทันทีตามคำสั่งของเจ้าแก้วนวรัฐ เมื่อเจ้าน้อยฯ กลับไปถึงที่พักในคืนนั้น มะเมียะได้รับการเกลี้ยกล่อมโดยหญิง-ชาย ชาวพม่าฝ่ายละคน ให้นางกลับไปรอเจ้าน้อยฯ ที่เมืองมะละแหม่ง มิฉะนั้นบ้านเมืองอาจเดือดร้อน นางได้เอ่ยขึ้นด้วยความเสียใจและยินยอมจากไปเพื่อมิให้ผู้ใดได้รับความเดือดร้อน แม้ตัวนางจะจากไกล แต่ความรักอันมั่นคง ยังคงอยู่ดังคำสาบานที่เคยให้ไว้แก่กันและกัน ฝ่ายเจ้าน้อยฯ ยังคงยืนยันในความรักที่มีต่อมะเมียะ และขอให้นางกลับไปรอที่บ้านก่อน หากมีวาสนาจะกลับไปรับนางมาอยู่ด้วยกันที่เชียงใหม่ให้ได้ ในเช้าวันหนึ่งของเดือนเมษายน นับเป็นวันเดินทางกลับเมืองมะละแหม่งของมะเมียะที่ดูเหมือนจะเป็นการจากลาชั่วนิรันดร์ ณ ประตูหายยาที่เนืองแน่นไปด้วยประชาชนที่ใคร่เห็นโฉมหน้าของมะเมียะ ที่ลือกันว่างามนักงามหนา บรรยากาศเต็มไปด้วยความหดหู่และเศร้าหมอง เมื่อเจ้าน้อยฯ พูดภาษาพม่ากับมะเมียะได้เพียงไม่กี่คำ นางผู้มีใจรักมั่นได้ร่ำไห้ด้วยความอัดอั้นตันใจ ในอ้อมแขนที่ยากจะแยกจากกันได้ เวลานั้นก็ล่วงเลยไปมากแล้ว เจ้าน้อยฯ ได้รับปากกับมะเมียะว่าตนจะยึดมั่นในคำปฏิญาณที่ให้ไว้ต่อหน้าพระพุทธรูปวัดใจ้ตะหลั่นจนกว่าชีวิตจะหาไม่ หากท่านนอกใจมะเมียะโดยสมรสกับหญิงอื่น ขอให้ชีวิตของตนประสบแต่ความทุกข์ทรมานใจ แม้แต่อายุก็จะไม่ยืนยาว เจ้าน้อยฯ ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าภายใน เดือนจะกลับไปหามะเมียะให้จงได้ นางจึงคุกเข่าลงกับพื้น ก้มหน้า สยายผมออกเช็ดเท้าเจ้าน้อยฯ ด้วยความอาลัยหา ก่อนที่เธอจะขึ้นไปบนกูบช้าง เมื่อกลับไปถึงเมืองมะละแหม่งแล้ว มะเมียะได้มอบเงินทองจำนวนหนึ่งซึ่งเจ้าแก้วนวรัฐและเจ้าแม่จามรีมอบให้นางก่อนเดินทางกลับเป็นการปลอบขวัญแก่พ่อแม่และน้อง จากนั้นนางได้แต่เฝ้ารอคอยเจ้าน้อยฯ จนครบกำหนด เดือนที่ท่านได้รับปากไว้ แต่นี่กระไรกลับไร้วี่แววใดๆ มะเมียะจึงตัดสินใจเข้าพึ่งใต้ร่มพุทธจักร ครองตนเป็นแม่ชีเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ว่านางยังซื่อสัตย์ ต่อความรักที่มีต่อเจ้าน้อยศุขเกษม หลังจากที่มะเมียะทราบข่าวการเข้าพิธีมงคลสมรส ระหว่างร้อยตรีเจ้าอุตรการโกศล (ยศของเจ้าน้อยฯ ในขณะนั้น) กับเจ้าหญิงบัวนวล ณ เชียงใหม่ แม่ชีมะเมียะจึงเดินทางมายังเมืองเชียงใหม่และขอเข้าพบเจ้าน้อยฯ เป็นครั้งสุดท้าย เพื่อแสดงความยินดีกับชีวิตที่กำลังรุ่งโรจน์ องค์อดีตสวามีผู้เป็นที่รัก ก่อนที่ตนจะตัดสินใจครองตนเป็นแม่ชีไปตลอดชีวิต แต่เจ้าน้อยศุขเกษมผู้ยึดสุราเป็นที่พึ่งดับความกลัดกลุ้มอันเกิดจากความรักอาลัยในตัวมะเมียะ ชีวิตที่ไม่เคยมีความสุขในชีวิตสมรส ท่านไม่สามารถหักห้ามความสงสารที่มีต่อมะเมียะได้ จึงไม่ยอมลงไปพบแม่ชีมะเมียะตามคำขอร้อง เพียงแต่มอบหมายให้เจ้าบุญสูง พี่เลี้ยงคนสนิท นำเงินจำนวน ๘๐บาท ไปมอบให้กับแม่ชีมะเมียะเพื่อใช้ในการทำบุญ พร้อมกับมอบแหวนทับทิมประจำกายอีกวงหนึ่งเป็นตัวแทนของเจ้าน้อยฯ ให้กับแม่ชีมะเมียะ เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นทำให้มะเมียะและเจ้าน้อยต่างสะเทือนใจเป็นที่สุด หลังจากเดินทางถึงเมืองมะละแหม่ง มะเมียะได้ครองชีวิตเป็นแม่ชีตามความตั้งใจ จนกระทั่งถึงแก่กรรมในปี พ.ศ.๒๕๐๕ รวมอายุได้ ๗๕ ปี ส่วนเจ้าน้อยศุขเกษม สิ้นชีพิตักษัยด้วยวัยเพียง 37 ปี (ไม่แน่ใจเรื่องอายุ บางที่อีกอายุหนึ่ง) เพราะดื่มหนักหลังจากตรอมใจที่ต้องพลัดพรากจากมะเมียะ เจ้าหญิงบัวชุม ผู้เป็นชายา ก็คงไม่ได้มีความสุขอะไรนัก เพราะสามีไม่มีใจให้ ต่อมาเมื่อเจ้าน้อยฯ สิ้น เจ้าหญิงบัวชุม (ท่านเติบโตที่กรุงเทพในวังของเจ้าดาราฯ) ก็แต่งงานใหม่ (http://www.huglanna.com/index.php?action=dlattach;topic=43.0;attach=20;image) http://www.huglanna.com/index.php?topic=43.0 หัวข้อ: Re: โศกนาฏกรรมรัก "หมะเมียะ-เจ้าศุขเกษม"....ต่ำศักดิ์ หรือ พิษการเมือง.?? เริ่มหัวข้อโดย: ธุลีธวัช (chai173) ที่ มิถุนายน 05, 2013, 02:07:52 pm http://www.youtube.com/watch?v=78GN7nDgYCg# (http://www.youtube.com/watch?v=78GN7nDgYCg#)
http://www.youtube.com/watch?v=E20dvo8wlfk# (http://www.youtube.com/watch?v=E20dvo8wlfk#) |