หัวข้อ: พระอสีติมหาสาวก บำเพ็ญบารมีมาไม่น้อยกว่า ๑๐๐,๐๐๐ กัป เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มิถุนายน 09, 2013, 08:26:10 am (http://pics.manager.co.th/Images/556000007024001.JPEG) อสีติมหาสาวก : บุญสำคัญ (ตอนที่ ๑๐๒) ท่านผู้อ่านได้ทราบเรื่องราวของพระอสีติมหาสาวกแล้วทั้งในด้านสถานะเดิม ชีวิตฆราวาส การออกบวช การบรรลุธรรม เอตทัคคะ และอดีตชาติ รวมทั้งวาจานุสรณ์ จากหลักฐานที่มีผู้เขียนนำมาเสนอนั้น เมื่อศึกษาแล้วทำให้เราทราบว่า พระอสีติมหาสาวกนั้นต้องบำเพ็ญบารมีมาไม่น้อยกว่า ๑๐๐,๐๐๐ กัป การบำเบ็ญบารมีของพระอสีติมหาสาวกเริ่มตั้งแต่คิดปรารถนา ทำตามที่ปรารถนา และเปล่งวาจาแสดงความปรารถนาต่อพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ซึ่งหากพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นตรัสพยากรณ์รับรอง ก็เป็นอันว่าความปรารถนาสำเร็จได้แน่ จึงเป็นหน้าที่ของท่านที่จะต้องทำบุญสนับสนุนความปรารถนานั้นอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะได้บรรลุผลสมปรารถนา คือได้บรรลุอรหัตผลสำเร็จเป็นมหาสาวก และบางท่านก็ได้รับแต่งตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้วย ทั้งนี้ก็เป็นไปตามความปรารถนานั่นเอง การได้ทำบุญสำคัญ คือ การทำความดีอันยิ่งใหญ่สนับสนุนให้ได้บรรลุผลสมปรารถนานั้น เป็นหลักการสำคัญอย่างหนึ่งที่พระอสีติมหาสาวกต้องมี บุญสำคัญที่พระอสีติมหาสาวกทำนั้นก็คือ การสละทรัพย์สมบัติจำนวนมาก หรือที่มีความสำคัญต่อเจ้าของ เพื่อให้สำเร็จประโยชน์แก่ผู้อื่น รวมทั้งการรักษาศีล การฟังธรรม และการกระทำอื่นที่เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนและส่วนรวม :49: :49: :49: พระอสีติมหาสาวกทุกรูปต่างได้ทำบุญสำคัญไว้กับพระพุทธเจ้าในอดีต และพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยมหากุศลจิต คือมีศรัทธา(ความเชื่ออย่างมั่นคง) มีปัญญา(การเข้าใจในเหตุผล) และทำด้วยตนเอง ไม่ต้องมีผู้อื่นคะยั้นคะยอ จากเรื่องราวของพระอสีติมหาสาวกที่กล่าวมานี้ เมื่อศึกษาแล้วทำให้ทราบว่า บุญสำคัญที่พระอสีติมหาสาวกทำในเบื้องต้นนั้น ส่วนมากจะเหมือนกันคือ บริจาคทาน อันแสดงให้เห็นว่า การเสียสละเป็นคุณธรรมสำคัญขั้นพื้นฐานที่สนับสนุนให้เกิดการบรรลุธรรม เพราะในการเสียสละนั้น มิใช่แต่เสียสละเฉพาะทรัพย์สินเท่านั้น แต่รวมไปถึงการเสียสละความสุข ยอมให้ตนเองลำบาก เพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น เป็นที่น่าสังเกตว่า ในจำนวนพระพุทธเจ้า ๑๒ พระองค์ ที่พระอสีติมหาสาวกพบนั้น พระพุทธเจ้าปทุมุตตระ คือ พระพุทธเจ้าที่พระอสีติมหาสาวกพบมากที่สุด กล่าวคือ พระอสีติมหาสาวกส่วนมากจะได้พบพระพุทธเจ้าปทุมุตตระแล้วได้รับพุทธพยากรณ์จากพระองค์ ทั้งนี้เป็นเพราะช่วงระยะเวลานับจากพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ มาจนถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันได้ ๑๐๐,๐๐๐ กัปพอดี อันเป็นช่วงระยะเวลาที่พระอสีติมหาสาวกบำเพ็ญบารมีได้แก่กล้าเต็มที่ สามารถบรรลุอรหัตผลได้ หลังจากได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน :25: :25: :25: ในช่วงเวลา ๑๐๐,๐๐๐ กัปนั้น พระอสีติมหาสาวกทุกรูปยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดในสุคติภูมิ คือ สวรรค์ และโลกมนุษย์ เนื่องจากได้ทำความดีอยู่เสมอ แต่ก็มีบ้างบางรูปในบางชาติที่ไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานและตกนรก ทั้งนี้ เป็นเพราะความเผลอสติที่ไปทำบาปบางอย่าง แต่แล้วในที่สุดบุญบารมีที่จะได้บรรลุอรหัตผลและเป็นพระอสีติมหาสาวก ก็จะส่งผลให้ได้สติและทำบุญอย่างมั่นคงต่อเนื่อง จนกระทั่งได้มาเกิดและพบพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ได้ฟังธรรมแล้วบรรลุอรหัตผลเป็นพระมหาสาวก รวมทั้งได้รับแต่งตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ สมปรารถนา กล่าวถึงการบรรลุธรรมในชาติปัจจุบัน จากหลักฐานที่กล่าวมา ทำให้มั่นใจได้ว่า การบรรลุธรรมของพระอสีติมหาสาวกทุกรูป ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าท่านเกิดในวรรณะใด มีลักษณะทางสังคมอย่างไร มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ไหน และมีการศึกษาสูงหรือไม่ :welcome: :welcome: :welcome: พระอสีติมหาสาวกมีมาจากวรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะไวศยะ(แพศย์) วรรณะศูทร รวมไปถึงวรรณะจัณฑาล และวรรณะหีนชาติ ซึ่งมีสถานะทางสังคมต่ำกว่าวรรณะศูทร ซึ่งก็หมายความว่า พระอสีติมหาสาวกนั้นมีทั้งที่เคยเป็นกษัตริย์ เคยเป็นพราหมณ์ เคยเป็นนักธุรกิจ และเคยเป็นคนรับใช้ แต่ท่านเหล่านี้เมื่อมาได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว ความแตกต่างดังกล่าวก็มิได้เป็นอุปสรรค ทั้งนี้ เป็นเพราะทุกท่านมีสิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ “อุปนิสัยที่จะได้บรรลุธรรม” อุปนิสัย คือ ความประพฤติดีที่สะสมไว้เป็นความเคยชินนั้น ก็มีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดในชาติปัจจุบัน ดังจะเห็นได้จากหลักฐานที่ว่า พระอสีติมหาสาวกเมื่อได้ทราบว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เกิดขึ้นในโลก ต่างก็เกิดความกระตือรือร้นดังกล่าวมา นี้ก็คืออุปนิสัยที่สะสมมาแต่อดีตชาตินั้นเอง :25: :25: :25: นอกจากอุปนิสัยอันเป็นคุณสมบัติส่วนตัวของพระอสีติมหาสาวกแต่ละรูปแล้ว ผู้สอนก็นับว่ามีความสำคัญมาก เพราะผู้สอนคือผู้ชี้แนวทางให้ปฏิบัติ หากได้ผู้สอนที่ไม่ฉลาดก็อาจชี้แนวทางที่ผิดพลาดได้ เมื่อปฏิบัติตามแนวทางที่ผิดพลาดจะทำให้ห่างไกลจากการบรรลุธรรม พระอสีติมหาสาวกนับว่าโชคดีที่ได้ผู้สอนที่ประเสริฐ เพียบพร้อมด้วยวิชชาและการปฏิบัติ คือ พระพุทธเจ้า ในการสอนแต่ละครั้ง พระพุทธเจ้าจะตรวจดูอุปนิสัยของผู้ถูกสอนก่อน แล้วจึงแสดงธรรมที่เหมาะสมแก่อุปนิสัย การสอนพระอสีติมหาสาวกก็เช่นกัน พระพุทธเจ้าจะทรงตรวจดูอุปนิสัย จากนั้นจึงสอน ผลปรากฏก็คือ พระองค์ประสบผลสำเร็จในการสอน พระอสีติมหาสาวกได้บรรลุธรรม จริงอยู่ แม้จะมีพระอสีติมหาสาวกบางรูปได้บรรลุธรรมเพราะฟังธรรมจากพระสาวกรูปอื่น แต่พระสาวกรูปนั้น เมื่อศึกษาดูแล้วก็พบว่า ได้รับแนวการสอนไปจากพระพุทธเจ้านั่นเอง ans1 ans1 ans1 ศึกษาเรื่องราวของพระอสีติมหาสาวกแล้ว ทำให้เข้าใจได้ว่า การบรรลุธรรมเป็นของสาธารณะแก่บุคคลทั่วไปที่มีอุปนิสัยแก่กล้า ส่วนชาติกำเนิด สถานะทางสังคม ถิ่นกำเนิด และการศึกษาไม่ได้เป็นตัวกำหนดที่สำคัญ ใครก็ตามจะเป็นคนมั่งมีหรือยากจน มีเกียรติหรือไร้เกียรติ มีการศึกษาหรือไร้การศึกษา หากมีอุปนิสัยที่สะสมมาแก่กล้าแล้ว ก็สามารถบรรลุธรรมได้เหมือนกัน จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 150 มิถุนายน 2556 โดย ผศ.ร.ท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ http://www.manager.co.th/Dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9560000067121 (http://www.manager.co.th/Dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9560000067121) |