หัวข้อ: ฝึกหัดสมาธิด้วย “กายคตาสติ” เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มิถุนายน 09, 2013, 08:35:31 am (http://pics.manager.co.th/Images/556000007022901.JPEG) ธรรมปฏิบัติ : ฝึกหัดสมาธิด้วย “กายคตาสติ” “กาย” เป็นที่รวมอุบายของกรรมฐาน หรือเป็นที่ประชุมของกรรมฐานทั้งปวง อสุภ ๑๐ กสิณ ๑๐ เป็นต้น เมื่อเราน้อมเข้ามาพิจารณาในกายจะปรากฏเห็นมีครบบริบูรณ์อยู่ในกายนี้ทั้งหมด ซึ่งจะเป็นอุบายให้จิตค่อยคลายอัสมิมานะไปในตัว และเกิดสลดระงับความฟุ้งซ่านหดตัวเข้ามารวมเป็นสมาธิ อนึ่ง กายนี้เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน เป็นมูลของกิเลสทั้งปวง ถ้าเราไม่รู้เท่าตามเป็นจริง มันก็จะเป็นเชื้อก่อภพชาติและกองทุกข์ไม่มีที่สิ้นสุด ว่าโดยสัจธรรม กายนี้มิใช่ของมีความสุขดังที่ปุถุชนเข้าใจกัน หากแต่เป็นตัวก้อนทุกข์ก่อความลำเค็ญให้ตลอดเวลา พระพุทธองค์ได้ตรัสบอกว่า กายนี้เป็นก้อนทุกข์ เพราะเต็มไปด้วยทุกข์ ๔ กอง คือ ชาติ ความเกิด ชรา ความแก่คร่ำครา พยาธิ ความป่วยไข้ และ มรณะ ความแตกดับ แต่ปุถุชนไม่รู้กายนี้ตามความเป็นจริง หลงถือมั่นว่าเป็นตนเป็นของตน และสำคัญเอาก้อนทุกข์นี้ว่าเป็นสุข เที่ยวหาแต่สิ่งที่ตนเข้าใจเอาว่า เมื่อได้สิ่งนั้นมาพอกพูนกายนี้แล้ว จะเพิ่มความสุขให้ยิ่งขึ้น ผลสุดท้ายยิ่งเพิ่มก็ยิ่งทวีความทุกข์ ครั้นทุกข์ทับถมทวีมากเข้าๆ บางคนที่ไม่มีธรรมเป็นประทีปส่องทาง เมื่อหาทางที่ปลอดโปร่งออกไม่ได้ ต้องออกด้วยอัตวินิบาตคือฆ่าตัวตายไปก็มิใช่น้อย :49: :49: :49: ดังนั้น ผู้หวังความสุขอันแท้จริง เมื่อชาวโลกกำลังเดือดร้อนดิ้นรนหาทางออกอยู่ จึงควรยกกายอันเป็นต้นตอของกองทุกข์และกิเลสทั้งปวงขึ้นพิจารณาแยกแยะให้รู้เห็นตามเป็นจริง จนหายสงสัยในกาย ถอนอุปาทานปล่อยวางเสียโดยไม่อาลัยห่วงใย แล้วก็จะได้ประสบความสงบสุขอันแท้จริง ความจริงร่างกายที่เราถือว่าเป็นของเราทุกวันนี้ สักแต่ว่าเป็นธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่ใช่ของใคร มีอันย่อยยับแตกดับไปเป็นธรรมดา และไม่อยู่ในบังคับบัญชาของใคร แม้เราจะทะนุถนอมเลี้ยงดูเอาอกเอาใจเพื่อให้เป็นไปตามความประสงค์ แต่มันก็เป็นไปตรงกันข้าม ถ้าใครรู้จักใช้ให้สมแก่ฐานะหน้าที่ของตน ก็จะได้รับประโยชน์สุขอันยิ่งใหญ่ ถ้าไม่รู้จักใช้เล่า ก็จะต้องเกิดโทษทุกข์เดือดร้อน ans1 ans1 ans1 นอกจากนั้น ร่างกายนี้ยังเป็นภาระหนักที่ต้องบริหารรักษา เมื่อผู้ไม่มีปัญญายึดครองด้วยอัตตานุทิฏฐิแล้ว จะต้องแบกภาระหนักให้เกิดทุกข์แสนสาหัส สมดังพระพุทธเจ้าดำรัสว่า "ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา เบญจขันธ์เป็นของหนักแท้ ภารหาโร จ ปุคฺคโล แต่บุคคลก็ยังชอบแบกของหนักไป ภาราทานํ ทุกฺขํ โลเก การรับแบกเอาของหนักเป็นทุกข์ในโลก ภารนิกฺเขปนํ สุขํ การปล่อยวางภาระเสียเป็นความสุข นิกฺขิปิตฺวา ครุ ภารํ ผู้ปลงของหนักๆ เสียได้แล้ว อญฺญํ ภารํ อนาทิย ไม่รับเอาของหนักอย่างอื่น สมูลํ ตณฺหํ อพฺพุยฺห เป็นผู้รื้อถอนตัณหากับทั้งมูลรากได้แล้ว นิจฺฉาโต ปรินิพฺพุโต เป็นผู้หมดหิวกระหายต้องปรินิพพาน" :s_good: :s_good: :s_good: เมื่อพิจารณาตามพระพุทธดำรัสนี้จะเห็นได้ว่า เบญจขันธ์ย่อเข้าเป็นรูปขันธ์ นามขันธ์ หรือกายกับใจ ที่บุคคลชอบยึดถือแนบแน่นเข้ากับจิต ทั้งๆที่เห็นว่ามันเป็นของหนักเหลือทน แต่ผู้มีปัญญาพิจารณาเห็นว่า กายกับใจเป็นคนละส่วน ไม่ใช่อันเดียวกัน ถอนอุปาทานที่เข้าไปยึดส่วนกายเสีย มุ่งมั่นอบรมจิตใจให้เป็นสมาธิ ก็สละละวางส่วนกายที่ไม่ควรยึดถือเสียได้ เพราะว่ารูปขันธ์ นามขันธ์นี้ โดยเฉพาะรูปขันธ์ที่คนทั้งหลายเห็นได้ง่ายด้วยตาของตนนั้น เป็นของควรดูให้เห็นแจ่มชัดว่า รูปขันธ์ซึ่งอาศัยธาตุ ๔ คุมกันเข้า เกิดขึ้นในเบื้องต้น มีอาการแปรปรวนไปในท่ามกลาง และมีการแตกสลายลงในที่สุด ใครจะยึดถือสำคัญมั่นหมายว่าเป็นเราเป็นเขา หรือเป็นของเราของเขาไม่ได้ทั้งนั้น สภาพของมันย่อมเป็นไปตามอำนาจของมันเอง แต่จะไม่เป็นไปตามอำนาจของเรา เมื่อเราเข้ายึดถือเอาสิ่งที่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา จะมีแต่ความทุกข์เดือดร้อนเป็นผลฝ่ายเดียว :49: :49: :49: ถ้าพิจารณาเช่นนั้นยังไม่เห็นแจ่มชัด เพราะไม่เป็นอุบายทำให้จิตสลด และสงบเป็นสมาธิได้แล้ว ก็ควรพิจารณาให้เห็นโดยเป็นอสุภ ด้วยหยิบยกเอาอาการ ๓๒ ในร่างกาย มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง ขึ้นมาพิจารณาให้เห็นเป็นของปฏิกูลน่าเกลียด หรือจะรวมยกเอาร่างกายทั้งก้อนขึ้นมาพิจารณาโดยนัยนั้นก็ได้ หรือมิฉะนั้น จะเพ่งอวัยวะในร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่ง ซึ่งพอจะเห็นเป็นอสุภได้ง่ายเป็นอารมณ์ เช่น กระดูก น้ำมูก น้ำลาย เลือด น้ำหนอง เป็นต้น จนจิตเห็นชัดแจ้งด้วยญาณ และเกิดความสังเวช เบื่อหน่ายคลายกามราคะถอนอุปาทานแล้ว ก็จะเข้าถึงฌานสมาธิได้ ดังนั้น ผู้ฝึกหัดสมาธิจึงควรน้อมจิตลง เชื่อในการพิจารณากายว่า อารมณ์ของกรรมฐานทั้งปวงรวมอยู่ในกายก้อนนี้แล้ว ต้องอย่าได้ข้องใจว่า กรรมฐานนั่นจะดีโน่นจะดี แท้จริงการฝึกหัดทำกรรมฐานนั้น มีจุดประสงค์อยู่ที่ให้ใจรู้แจ้งเห็นจริงในกายก้อนนี้ จนหายสงสัยและปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นในอุปาทานขันธ์ ซึ่งเป็นอุบายนำใจให้เข้าถึงฌานสมาธิ ans1 ans1 ans1 อีกประการหนึ่ง ขณะกำลังเพ่งพินิจอารมณ์ใดๆ อยู่นั้น พึงปลูกศรัทธาปสาทะลงให้แรงกล้า ตั้งสติให้มั่นคงแน่วแน่ อย่าทำขาดๆวิ่นๆ อย่าคำนึงถึงการกระทำว่าจะสมหวังหรือไม่ อย่าใช้สังขารปรุงไว้ก่อนว่า เมื่อทำไปจะต้องเป็นอย่างนั้น จะต้องละอย่างนั้น แล้วจะเกิดเป็นอย่างนั้น จะเข้าตำราว่าชิงสุกก่อนห่าม เพราะจิตจะไม่แน่วแน่ ความรู้จะไม่ชัดแจ้ง ความเพียรจะถดถอย ศรัทธาจะเสื่อม ผลสุดท้ายก็จะเบื่อระอา เกียจคร้านและประมาท จงตั้งความเพียรเพ่งพิจารณาเฉพาะแต่ในอารมณ์นั้นโดยติดต่อให้ชำนาญ จนเป็นเอกัคคตารมณ์ ส่วนสมถะที่เกิดขึ้นด้วยการฝึกหัด หมายถึงการปรารภกรรมฐานบทใดบทหนึ่งเป็นอารมณ์ จนจิตได้เข้าประสบกับอารมณ์ของกรรมฐานนั้นๆ และนำให้จิตรู้สึกนึกคิดพิศวงงงงันอยู่ในอารมณ์อันเดียว ans1 ans1 ans1 มีอุปมาเหมือนคนเดินทาง ขณะเมื่อสะดุดก้อนหินหรือท่อนไม้ถึงกับแตกเจ็บปวดเป็นกำลัง จิตก็จะถอนจากความเพลินและสอดส่ายไปในอารมณ์อื่น กลับเข้ามารวมจดจ่ออยู่ที่ความเจ็บปวดเท่านั้น รวมความว่า ลักษณะที่จิตถอนจากอารมณ์ภายนอกเข้ามารวมเป็นเอกัคคตาอยู่ภายในจุดเดียว จะโดยบังเอิญก็ดี โดยฝึกหัดให้เกิดขึ้นก็ดี เรียกว่า สมถะ สมถะเป็นได้ทั้งฌานและสมาธิ อารมณ์ของฌานและสมาธิเหมือนกัน การฝึกเบื้องต้นก็เหมือนกัน แต่การละต่างกัน การเข้าถึงภูมิของตนก็ผิดกัน แต่ขณะเดียวกันต่างสนับสนุนเป็นทุนให้กำลังแก่กันและกันไปในตัว เรื่องนี้ผู้เข้าถึงแล้วจะรู้แจ้งได้ด้วยตนเอง จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 150 มิถุนายน 2556 โดย พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (เทสก์ เทสรังสี) วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย http://www.manager.co.th/Dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9560000067108 (http://www.manager.co.th/Dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9560000067108) |