หัวข้อ: คลื่นคนล้น 'เอเวอเรสต์'...!! เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มิถุนายน 10, 2013, 08:36:45 am (http://www.thairath.co.th/media/content/2013/06/05/349250/hr1667/630.jpg) คลื่นคนล้น 'เอเวอเรสต์'...! สารคดีสัปดาห์นี้ไทยรัฐออนไลน์พูดเรื่องของสุดยอดภูเขา เอเวอเรสต์... หนึ่งชั่วโมงหลังออกเดินทางจากแคมป์บนสุดตามแนวสันเขาด้านตะวันออกเฉียงใต้ของเมานต์เอเวอเรสต์ ปานูรู เชอร์ปา กับผมเดินผ่านศพแรก ร่างไร้วิญญาณของนักปีนเขาผู้นี้อยู่ในท่านอนตะแคงราวกับกำลังงีบหลับอยู่กลางหิมะ อีกสิบนาทีให้หลัง เราก็ย่ำเท้าผ่านร่างไร้ลมหายใจอีกร่างหนึ่ง ลำตัวของเธอมีธงชาติแคนาดาคลุมอยู่ ถังออกซิเจนที่วางทับไว้ช่วยยึดผืนธงที่โบกสะบัดไม่ให้ปลิวไปตามแรงลม ระหว่างที่เราปีนป่ายตามหลังกันขึ้นไปติดๆ โดยอาศัยเชือกที่ขึงอยู่ตามลาดเขาสูงชัน ปานูรูกับผมถูกขนาบด้วยคนแปลกหน้าทั้งข้างหน้าและข้างหลัง วันก่อนตอนอยู่ที่แคมป์สาม นอกจากทีมของเราแล้วก็มีเพียงนักปีนเขากลุ่มเล็กๆ แต่พอตื่นขึ้นมาเช้านี้ เราก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นจำนวนนักปีนเขาที่เดินต่อกันเป็นแถวยาวสุดสายตาผ่านมาใกล้เต็นท์ของเรา (http://www.thairath.co.th/media/content/2013/06/05/349250/o2/420.jpg) ตอนนี้เราอยู่ที่ระดับความสูง 8,230 เมตร คนแน่นจนทุกคนไม่ว่าจะแข็งแรงหรือปีนเก่งแค่ไหน ก็เคลื่อนที่ไปได้ช้าพอกัน ท่ามกลางความมืดก่อนเวลาเที่ยงคืน ผมมองเห็นแสงไฟฉายคาดศีรษะของนักปีนเขาสาดส่องเรียงกันเป็นแนวยาว เหนือศีรษะผม ณ บริเวณโขดหินแห่งหนึ่ง นักปีนเขาอย่างน้อย 20 คนยึดตัวเองไว้กับเชือกเส้นเดียวกัน เป็นเชือกที่ขึงอยู่กับหมุดงอๆ เพียงตัวเดียวซึ่งตอกลงไปในน้ำแข็ง ถ้าหมุดเกิดหลุดออกมา น้ำหนักตัวของนักปีนเขาราว 20 คนจะทำให้เชือกหรือห่วงนิรภัยหลุดออกทันที ทำให้พวกเขากลิ้งตกเขาจนถึงแก่ความตาย ผมกับปานูรูซึ่งเป็นคนนำทางชาวเชอร์ปา ปลดห่วงนิรภัยออกจากเชือกสายหลักแล้วปีนแยกไปตามผืนน้ำแข็งโล่งๆ นี่เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าสำหรับนักปีนเขามากประสบการณ์ อีก 20 นาทีให้หลัง เราก็พบอีกศพหนึ่ง ร่างของชายคนนี้ยังยึดอยู่กับเชือก เขานั่งตัวแข็งเป็นหินอยู่กลางหิมะ หน้าดำ ดวงตาเบิกโพลง หลายชั่วโมงต่อมา ก่อนถึงฮิลลารีสเต็ป หน้าผาหินสูง 12 เมตรซึ่งเป็นปราการด่านสุดท้ายก่อนถึงยอดเขา เราก็พบอีกศพหนึ่ง ใบหน้าที่มีหนวดเคราหร็อมแหร็มของเขาเป็นสีเทา ปากอ้าค้างราวกับกำลังร้องครวญครางอย่างทุกข์ทรมาน ผมอดคิดไม่ได้ว่า ครอบครัวและเพื่อนฝูงของคนเหล่านั้นจะเศร้าโศกเสียใจแค่ไหนเมื่อรู้ข่าวการเสียชีวิตของพวกเขา ผมเองก็เคยสูญเสียมิตรสหายให้การปีนเขาเช่นกัน ตอนนี้เรายังไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัดของการเสียชีวิตของผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้ อย่างไรก็ดี สาเหตุการตายบนเมานต์เอเวอเรสต์ในระยะหลังๆ เกิดจากการขาดประสบการณ์ นักปีนเขาบางคนไม่อาจตัดสินได้ว่าตนทรหดอดทนแค่ไหน และเมื่อไรควรหันหลังกลับ (http://www.thairath.co.th/media/content/2013/06/05/349250/o3/420.jpg) ทุกวันนี้ เอเวอเรสต์กลายเป็นสัญลักษณ์ของทุกสิ่งทุกอย่างที่ผิดเกี่ยวกับการปีนเขาไปแล้ว เมื่อปี 1963 มีนักปีนเขาเพียงหกคนขึ้นไปถึงยอดเขา แต่ในฤดูใบไม้ผลิของปี 2012 มีนักปีนเขากว่า 500 คนออกันอยู่บนนั้น ตอนผมขึ้นไปถึงยอดเขาเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม มีคนอยู่แน่นขนัดจนผมแทบหาที่ยืนไม่ได้ เอเวอเรสต์คือชัยชนะของนักปีนเขามาตลอด ทว่าทุกวันนี้มีผู้พิชิตยอดเขาแห่งนี้ได้เกือบ 4,000 คนแล้ว บางคนขึ้นไปมากกว่าหนึ่งครั้งด้วยซ้ำ การพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ได้จึงมีความหมายน้อยกว่าเมื่อ 50 ปีก่อน ปัจจุบัน ราวร้อยละ 90 ของนักปีนเขาที่เดินทางขึ้นเอเวอเรสต์มีมัคคุเทศก์นำทาง ในจำนวนนี้มีอยู่ไม่น้อยที่ไร้ทักษะการปีนเขาอย่างสิ้นเชิง พวกเขาจ้างมัคคุเทศก์ด้วยราคา 30,000 ถึง 120,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หลายคนคาดหวังว่าจะไปถึงยอดเขา และมีไม่น้อยที่ขึ้นไปถึงจริงๆ แต่ก็ในสภาพย่ำแย่เต็มที นอกจากนี้ เส้นทางมาตรฐานสองสายอันได้แก่สันเขาด้านตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันออกเฉียงใต้ไม่เพียงแออัดจนอาจเกิดอันตราย แต่ยังประสบปัญหามลพิษอย่างร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นขยะที่ติดมากับธารน้ำแข็งหรือกองอุจจาระมนุษย์บริเวณแคมป์ด้านบน ซ้ำร้ายยังมีผู้เสียชีวิตที่นี่ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่ก่อให้เกิดปัญหา ปัจจัยหนึ่งคือการพยากรณ์อากาศที่แม่นยำยิ่งขึ้น สมัยก่อนไม่ค่อยมีข้อมูล ทีมนักปีนเขาจึงดั้นด้นขึ้นสู่ยอดเขาต่อเมื่อสมาชิกในทีมพร้อมเท่านั้น ทว่าทุกวันนี้ การพยากรณ์อากาศผ่านดาวเทียมมีความแม่นยำอย่างยิ่ง ทุกทีมจึงรู้ว่าเมื่อไรอากาศจะเป็นใจ และมักมุ่งหน้าขึ้นสู่ยอดเขาในวันเดียวกัน (http://www.thairath.co.th/media/content/2013/06/05/349250/o4/420.jpg) อีกปัจจัยหนึ่งคือ ผู้ประกอบการที่ให้บริการในราคาย่อมเยาบางรายอาจไม่มีทีมงาน ความรู้ หรืออุปกรณ์ที่เหมาะสมที่จะช่วยให้ลูกค้าปลอดภัยยามเกิดเหตุไม่คาดฝัน ผู้ประกอบการกลุ่มนี้มักจ้างชาวเชอร์ปาน้อยคน และบางครั้งชาวเชอร์ปาที่จ้างมาก็ขาดประสบการณ์ เพื่อป้องกันไม่ให้บนภูเขามีจำนวนนักปีนเขามากเกินไป จึงมีผู้เสนอให้จำกัดจำนวนใบอนุญาตในแต่ละฤดูการปีนเขา พร้อมทั้งจำกัดขนาดทีมไม่ให้มีลูกค้าเกินทีมละสิบคน ขณะที่อีกหลายคนยังไม่ปักใจเชื่อว่าแนวทางเหล่านี้จะได้ผล แม้จะมีปัญหานานัปการ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็จะยังมีคนอยากพิชิตยอดเขาสูงที่สุดในโลกเสมอ เพราะการขึ้นไปยืนอยู่บนยอดเอเวอเรสต์นั้นเปี่ยมความหมาย จนทำให้การเบียดเสียดกับฝูงชนหรือการเผชิญกับกองขยะกลายเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว เอเวอเรสต์ยิ่งใหญ่และไร้ความปรานีกระทั่งเมื่อถึงจุดหนึ่งนักปีนเขาจะรู้สึกราวกับถูกท้าทายให้ดึงเอาส่วนที่ดีที่สุดของตนออกมา ช่วงเวลาเช่นนั้นเองคือเหตุผลที่ทำให้นักปีนเขาหวนกลับมายังเอเวอเรสต์เสมอ สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่การพิชิตยอดเขา แต่อยู่ที่การได้แสดงคารวะภูเขาลูกนี้และเพลิดเพลินไปกับการเดินทางต่างหาก ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับเราแล้วว่าจะฟื้นฟูความปกติสุขกลับมาสู่จุดสูงสุดของโลกได้หรือไม่ (http://www.thairath.co.th/media/content/2013/06/05/349250/o5/420.jpg) เรื่อง มาร์ก เจนกินส์ ข้อมูลจากนิตยสาร เนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย http://www.ngthai.com/Index.aspx (http://www.ngthai.com/Index.aspx)ขอบคุณภาพและบทความจาก http://www.thairath.co.th/content/life/349250 (http://www.thairath.co.th/content/life/349250) |