สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ มิถุนายน 14, 2013, 10:18:20 am



หัวข้อ: “ศีล ๕” ขาด - ไม่ขาด เช็คได้เดี๋ยวนี้
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มิถุนายน 14, 2013, 10:18:20 am
(http://pics.manager.co.th/Images/556000007017501.JPEG)

นานาสารธรรม : “ศีล ๕” ขาด - ไม่ขาด เช็คได้เดี๋ยวนี้

ศีล ๕ หรือ เบญจศีล ซึ่งแผลงมาจากคำว่า “ปญฺจ สีลานิ” นี้ ในคัมภีร์พระไตรปิฎกส่วนมากเรียกว่า สิกขาบท ๕ คือองค์แห่งศีลอย่างหนึ่งๆ ซึ่งเป็นข้อห้ามเพื่อการฝึกฝนตน หรือบทฝึกฝนอบรมตนของพุทธศาสนิกชน ฝ่ายคฤหัสถ์ ๕ ข้อ
       
       ศีล ๕ หรือ เบญจศีล นี้เป็นมาตรฐานอย่างต่ำสำหรับการจัดระเบียบชีวิตและสังคมของมนุษย์ ให้อยู่ในสภาพที่เอื้อโอกาสขั้นพื้นฐาน ในการที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงาม หรือทำการพัฒนาไม่ว่าอย่างหนึ่งอย่างใด ทางจิตใจหรือทางวัตถุก็ตาม เป็นศีลขั้นพื้นฐานของศีลทั้งปวง

       
       (http://pics.manager.co.th/Images/556000007017502.JPEG)

        • ข้อห้ามในศีล ๕
       
      ศีลข้อที่ ๑ : เว้นจาการทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป หมายถึง การห้ามฆ่าสัตว์ ทั้งการฆ่ามนุษย์และการฆ่าสัตว์ดิรัจฉานที่มีชีวิตอยู่ทุกเพศทุกชนิด โดยมีหลักวินิจฉัยในความขาดแห่งศีลที่เรียกว่า องค์ ๕ ข้อ คือ     
       ๑) ปาโณ   สัตว์มีชีวิต
       ๒) ปาณสญฺญิตา   รู้ว่าสัตว์มีชีวิต
       ๓) วธกจิตฺตํ   มีจิตคิดจะฆ่า
       ๔) อุปกฺกโม   ทำความพยายามฆ่า
       ๕) เตน มรณํ   สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น       
       การฆ่าสัตว์มีชีวิตพร้อมด้วยองค์ประกอบทั้ง ๕ ข้อนี้ ศีลจึงขาด ถ้าไม่ครบองค์ประกอบทั้ง ๕ นี้ แม้องค์ใดองค์หนึ่ง เช่น ไม่มีจิตคิดจะฆ่า เป็นต้น เช่นนี้ ศีลไม่ขาด

       
        (http://pics.manager.co.th/Images/556000007017503.JPEG)

       ศีลข้อที่ ๒ : เว้นจากถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ด้วยอาการแห่งขโมย หมายถึง การห้ามลักทรัพย์ทุกชนิดที่เจ้าของไม่ได้ยกให้เป็นสิทธิ์ขาด หรือห้ามถือเอาสิ่งของที่ไม่มีผู้ให้ด้วยโจรกรรม คือการกระทำอย่างโจรทุกอย่าง ได้แก่ การลัก ฉก ชิง วิ่งราว หรือปล้นชิงทรัพย์ เป็นต้น โดยมีหลักวินิจฉัยในความขาดแห่งศีลที่เรียกว่า องค์ ๕ ข้อ คือ     
       ๑) ปรปริคฺคหิตํ   ของนั้นมีเจ้าของหวงแหน
       ๒) ปรปริคฺคหิตสญฺญิตา   รู้ว่ามีเจ้าของหวงแหน
       ๓) เถยฺยจิตฺตํ   มีจิตคิดจะลัก
       ๔) อุปกฺกโม   ทำความพยายามหลัก
       ๕) เตน หรณํ   นำของมาได้ด้วยความพยายามนั้น

       
       (http://pics.manager.co.th/Images/556000007017504.JPEG)

       ศีลข้อที่ ๓ : เว้นจากการประพฤติผิดในกาม หมายถึง การห้ามประพฤติผิดในกามทั้งหลาย คือ ห้ามประพฤติผิดทางเพศ ห้ามประพฤติผิดประเวณีในบัตรหลานของผู้อื่น ห้ามประพฤติเป็นชู้ในคู่ครองคือสามีภรรยาของผู้อื่น รวมถึงการห้ามสำส่อนทางเพศ ซึ่งกล่าวให้ชัด ได้แก่ ห้ามผิดประเวณีลูกหลานเขา ห้ามเป็นชู้สู่สมในคู่ครองเขา โดนมีหลักวินิจฉัยในความขาดแห่งศีลที่เรียกว่า องค์ ๔ ข้อ คือ       
       ๑) อคมนียวตฺถุ   วัตถุที่ไม่ควรล่วงละเมิด
       ๒) ตสฺมึ เสวนจิตฺตํ   มีจิตคิดจะเสพ
       ๓) เสวนปฺปโยโค   พยายามที่จะเสพ
       ๔) มคฺเคน มคฺคปฺปฏิปตฺติ กระทำการให้มรรคต่อมรรคจดกัน
       
       องค์ที่ ๑ หมายถึง หญิงหรือชายผู้ที่จะมีสัมพันธ์ทางเพศด้วยนั้นเป็นบุคคลต้องห้าม เช่น เป็นสามีหรือภรรยาของผู้อื่น หรือเป็นผู้ที่มีบิดามารดาญาติผู้ใหญ่เป็นผู้ปกครองหวงแหนอยู่ หรือเป็นผู้ต้องห้ามด้วยเหตุอื่นๆ เช่น เป็นนักพรตหรือนักบวช       
       องค์ที่ ๔ หมายถึง กำหนดเอาอาการที่อวัยวะเพศของทั้งสองฝ่ายเนื่องถึงกัน (แม้จะยังไม่สำเร็จความใคร่ก็ตาม)       
       ศีลข้อนี้จะขาดต่อเมื่อมีการกระทำครบองค์ทั้ง ๔ นี้

       
        (http://pics.manager.co.th/Images/556000007017505.JPEG)

       ศีลข้อที่ ๔ : เว้นจากการพูดเท็จ หมายถึง การสำรวมระวังในการใช้คำพูดที่เว้นจากการพูดเท็จ พูดปด พูดโกหกหลอกลวงผู้อื่นให้เสียประโยชน์ หรือห้ามพูดเท็จนั่นเอง ซึ่งเป็นการแสดงออกด้วยเจตนาบิดเบือนความจริงให้คนอื่นหลงเชื่อ       
       โดยแสดงออกได้ทั้ง ทางวาจา คือพูดโกหกชัดๆ พูดเท็จพูดปดตรงๆ และทางกาย คิดทำเท็จทางกาย เช่น การเขียนจดหมายลวง การทำรายงานเท็จ การสร้างหลักฐานปลอม การโฆษณาชวนเชื่อเกินความจริงทางสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ หรือเมื่อมีใครถามข้อความที่ควรรับ ก็สั่นศีรษะแสดงอาการปฏิเสธ โดยมีหลักวินิจฉัยในความขาดแห่งศีลที่เรียกว่า องค์ ๔ ข้อ คือ       
       ๑) อตถํ   เรื่องไม่จริง
       ๒) วิสํวาทนจิตฺตํ   จิตคิดจะพูดให้ผิด
       ๓) ตชฺโช วายาโม   พยายามพูดออกไปตามจิตนั้น
       ๔) ปรสฺส ตตฺถวิชานนํผู้ฟังเข้าใจเนื้อความนั้น       
       ถ้าไม่ครบองค์ทั้ง ๔ นี้ ศีลไม่ขาด เช่น ทราบเรื่องที่เป็นเท็จมาโดยตนคิดว่าเป็นเรื่องจริง จึงพูดไปโดยไม่มีเจตนาจะหลอกลวงหรือพูดเท็จออกไป แต่ผู้ฟังไม่เข้าใจ เพราะไม่รู้ภาษากัน เช่นนี้ศีลไม่ขาด

       
       (http://pics.manager.co.th/Images/556000007017506.JPEG)

       ศีลข้อที่ ๕ : เว้นจากดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท หมายถึง การงดเว้นไม่ดื่มน้ำเมาหรือห้ามดื่มน้ำเมา ที่เรียกตามศัพท์บาลีว่า “มัชชะ” แปลว่า น้ำอันยังผู้ดื่มให้มึนเมา ซึ่งจำแนกเป็น ๒ ชนิด คือ สุราและเมรัย       
       “สุรา” ได้แก่ น้ำเมาที่เรียกว่า เหล้า ส่วน “เมรัย” ได้แก่ น้ำเมาประเภทเบียร์ หรือกล่าวง่ายๆ ศีลข้อนี้ห้ามดื่มเหล้าและเบียร์ รวมถึงห้ามเสพยาหรือสารเสพติดให้โทษทุกชนิด โดยมีหลักวินิจฉัยในความขาดแห่งศีลที่เรียกว่า องค์ ๔ ข้อ คือ       
       ๑) มทนียํ   สิ่งที่เป็นเหตุให้มึนเมา
       ๒) ปาตุกมฺยตาจิตฺตํ   จิตคิดจะดื่มหรือเสพ
       ๓) ตชฺโช วายาโม   พยายามดื่มหรือเสพตามที่จิตคิดนั้น
       ๔) ปิตปฺปเสวนํ   ดื่มน้ำเมา หรือเสพสารเสพติดนั้นเข้าไป


        :49: :49: :49:

       • จุดมุ่งหมายของการรักษาศีล ๕       
       นักปราชญ์ในทางพระพุทธศาสนา ได้ชี้จุดสำคัญที่คนเราจะต้องสร้างพื้นฐานไว้ให้มั่นคง เป็นพิเศษ ๕ จุด ซึ่งเป็นการปิดช่องทางที่จะทำให้ตนเองเสียหาย ๕ ทางด้วยกัน โดยวิธีที่ว่านี้ก็คือ การรักษาศีล ๕ คือ
       
       ศีลข้อที่ ๑ เว้นจากการฆ่าสัตว์มีชีวิต หรือห้ามฆ่าสัตว์ เพื่อป้องกันทางที่ตนจะเสียหายเพราะความโหดร้าย ไร้เมตตา
       ศีลข้อที่ ๒ เว้นจากถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ด้วยอาการเป็นโจรขโมย หรือห้ามลักทรัพย์ เพื่อป้องกันทางที่ตนจะเสียหายเพราะอาชีพทุจริต จิตคิดลักขโมย       
       ศีลข้อที่ ๓ เว้นจากการประพฤติในกาม หรือห้ามประพฤติผิดทางเพศ เพื่อป้องกันทางที่ตนจะเสียหายเพราะความเจ้าชู้ สำส่อนทางเพศหรือมักมากในกาม     
       ศีข้อที่ ๔ เว้นจากการกล่าวคำเท็จ หรือห้ามพูดเท็จ เพื่อป้องกันทางที่ตนจะเสียหายเพราะคำพูดโกหกหลอกลวง
       ศีลข้อที่ ๕ เว้นจากดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัย หรือห้ามดื่มน้ำเมา เพื่อป้องกันทางที่ตนจะเสียหายเพราะความมึนเมาประมาทขาดสติยับยั้งชั่งใจในการทำชั่ว

        :25: :25: :25:

       กล่าวอีกนัยหนึ่ง ชีวิตของคนเรามักจะพังวิบัติล่มจมประสบความพินาศไปเพราะเหตุ ๕ อย่างนี้ คือ
       (๑) ความโหดร้ายในจิตสันดาน
       (๒) ความละโมบอยากได้ทรัพย์ของคนอื่นในทางที่ผิดๆ
       (๓) ความร่านร้อนในทางกามารมณ์เกี่ยวกับเพศตรงข้าม
       (๔) ความไม่มีสัจจะประจำใจ
       (๕) ความประมาทขาดสติสัมปชัญญะ
 
       วิธีแก้ ก็คือการหันเข้ามาปรับพื้นฐานจิตสันดานของตนโดยวิธีรักษาเบญจศีล เพราะการรักษาเบญจศีล หรือศีล ๕ นอกจากจะมีความมุ่งหมายเพื่อป้องกันรักษาตนไม่ให้เสียหายแล้ว ยังมีผลทำให้ครอบครัว สังคม ประเทศชาติ ตลอดถึงสังคมโลกดำรงอยู่อย่างปกติสุข และเป็นพื้นฐานให้ตนบำเพ็ญหลักไตรสิกขาขั้นสูง คือสมาธิและปัญญาได้อย่างดี เมื่อบำเพ็ญหลักไตรสิกขาให้บริบูรณ์แล้ว ย่อมบรรลุมรรคผลนิพพานในที่สุด

       
อ้างอิง :-
จากหนังสือ คู่มือพุทธศาสนิกชน     
จากนิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 150 มิถุนายน 2556 โดย แก้ว ชิดตะขบ นักวิชาการศาสนา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9560000067069 (http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9560000067069)


หัวข้อ: Re: “ศีล ๕” ขาด - ไม่ขาด เช็คได้เดี๋ยวนี้
เริ่มหัวข้อโดย: นิรตา ป้อมนาวิน ที่ มิถุนายน 14, 2013, 09:25:10 pm
 st11 st12