สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน => ข้อความที่เริ่มโดย: นาตยา ที่ กันยายน 21, 2010, 03:30:23 pm



หัวข้อ: คุณเชื่อ ญาณ ภาพล่วงหน้า หรือ ป่าวคะ
เริ่มหัวข้อโดย: นาตยา ที่ กันยายน 21, 2010, 03:30:23 pm
มีเพื่อนคนหนึ่ง ของหนู ชอบพูดอะไรแปลก ๆ ให้หนูฟังอยู่เรื่อย

เช่น มีวันหนึ่ง เขาบอกกับหนูว่า หนูจะตกบันได หนูฟังแล้ว ก็เฉย ๆ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล

เย็นนั้นก่อนกลับจากโรงเรียน หนูก็ตกบันได จริง ๆ ก็คิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ

อยู่มาอีกวัน เขาเดินมาพูดกับหนูว่า วันนี้รับร่มไปนะ เพราะวันนี้ฝนจะตกหนักและนาน

หนูแหงนหน้าท้องฟ้าแล้ว ไม่เห็นแววว่าฝนจะตกเลย แต่ก็รับร่มมา

เย็นนั้นฝนก็ตกอีก พอมาอีกวันเขาก็มาพูดกับหนูอีกว่า อย่าไปนั่งที่เก้าอี้นะ ต้นไม้จะหัก

ฟังแล้วก็หัวเราะ ก็โต๊ะหินอ่อนที่พวกเรานั่งเล่นอยู่ใต้ต้นหูกวางใหญ่ ๆ นั้นยังไม่มีประวัติหักมาเลย

ปรากฏว่า วันนั้นหนูไม่ได้ออกไปนั่งเล่นที่นั่นเพราะติดทำเวรตอนกลางวัน ปรากฏว่า กิ่งไม้ก็หักลงมาจริงๆ

หนูได้บอกและเล่าเรื่องนี้ แก่แม่ และ พ่อ ท่านก็บอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญ จากวันนั้นมาจนวันนี้ หนูก็เรียนกัน

คนละที่กับเด็กคนนั้นแล้ว หลายปีแล้วตั้งแต่ประถม

  จึงอยากถามคำถามดังนี้

    คนที่มีพลังรู้ล่วงหน้า นี้เป็นเด็กได้หรือป่าวคะ

    คนแบบนี้ ทำไมไม่ต้องฝึกสมาธิ ถึงมีอำนาจจิตรู้แบบนั้นได้

    ทำไม มีเหตุผลอะไรที่ทำให้แตกต่างกันเรื่องพลังจิต

    วิีธีการฝึกพลังจิต ให้เกิดแบบนี้ คือรู้ล่วงหน้า ฝึกยากหรือป่าว คะ

 :25: :25:


หัวข้อ: Re: คุณเชื่อ ญาณ ภาพล่วงหน้า หรือ ป่าวคะ
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กันยายน 21, 2010, 07:02:41 pm
โพสต์ผิดห้องรึเปล่าครับ หนูนาตยา

แต่เดี๋ยวคง มีคนมาตอบคำถามของหนู ใจเย็นนิดหนึง


หัวข้อ: Re: คุณเชื่อ ญาณ ภาพล่วงหน้า หรือ ป่าวคะ
เริ่มหัวข้อโดย: รักหนอ ที่ กันยายน 22, 2010, 06:36:52 am
อ้างถึง
คุณเชื่อ ญาณ ภาพล่วงหน้า หรือ ป่าวคะ


เชื่อสิคะ



อ้างถึง
คนที่มีพลังรู้ล่วงหน้า นี้เป็นเด็กได้หรือป่าวคะ

เป็นได้คะ แสดงว่าเด็กคนนั้นมีบุญญาธิการ ด้วยคะ
เรียกว่า เด็กพิเศษ เช่นพระพุทธเจ้า , พระอรหันต์สิวลี เป็นต้น

อ้างถึง
คนแบบนี้ ทำไมไม่ต้องฝึกสมาธิ ถึงมีอำนาจจิตรู้แบบนั้นได้

 เป็นความพิเศษ เฉพาะบุคคล ที่มีบุญญาธิการ คะ

อ้างถึง
ทำไม มีเหตุผลอะไรที่ทำให้แตกต่างกันเรื่องพลังจิต

อันนี้ก็เป็นที่บุญญาธิการ และการอธิษฐานจิต หรือความปรารถนา
ก่อนกลับมาเกิดใหม่คะ

อ้างถึง
    วิีธีการฝึกพลังจิต ให้เกิดแบบนี้ คือรู้ล่วงหน้า ฝึกยากหรือป่าว คะ

   กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ เป็นคำตอบคะ
   หลวงปู่่พระองค์ท่านกล่าวว่า อยู่ใกล้ เหมือนอยู่ไกล อยู่ข้างใน ไม่ใช่ข้างนอก หาที่ื่คนอื่นไม่พบ นอกจากที่ตัว


หัวข้อ: Re: คุณเชื่อ ญาณ ภาพล่วงหน้า หรือ ป่าวคะ
เริ่มหัวข้อโดย: นาตยา ที่ กันยายน 22, 2010, 12:17:49 pm
อ้างถึง
โพสต์ผิดห้องรึเปล่าครับ หนูนาตยา

โพสต์ไม่ผิด คะ เพราะตั้งใจว่าเป็นปัญหาชีวิต คะ เพราะเวลาไปเล่าให้ใครฟัง

แล้ว ทำไมเขาไม่เชื่อเรากันเลย กลายเป็นคนโกหกไป ส่วนเจ้าตัวที่รู้ล่วงหน้า

พออยู่ต่อหน้าคนอื่น ก็ไม่พูดซะงั้น ยอมรับว่าไม่มีความสามารถ อีก

พอลับหลัง ก็แสดงให้หนูรู้อีก  พอเราบอกคนอื่น ๆ  ก็ว่าเราโกหกอีก

เลยได้ฉายาในตอนนั้นว่า เด็กโกหก ถูกล้อมาตั้งแต่ ป 5  ถึง ม 1

เหตุที่ถูกล้อ เพราะเพื่อนหนูอยู่ ๆ ก็ย้ายโรงเรียน และหายไป ทั้งที่ติดตามข่าวเขา

แล้ว นี่ก็ปีนี้ ม 6 แล้ว ก็ยังไม่ได้พบกัน

    :88: :25:

  ขอบคุณสำหรับคำตอบของ คุณรักหนอ


 แต่หนู ก็ไม่เข้าใจ อยู่ดีว่า เหตุที่จะทำให้มีความสามารถ หรือเป็นผู้มีบุญญาธิการ นั้น

ต้องทำอย่างไร แล้ว ทำไมคนที่บุญญาธิการ ถึงชอบทำตัวลึกลับ นัก คะ

 :25: :25:


อ้างถึง
กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ เป็นคำตอบคะ

กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ จะทำให้เรามีอำนาจจิตในขั้นของ รู้ล่วงหน้านี้ ต้องฝึกถึงตรงไหนคะ

 :25:


หัวข้อ: Re: คุณเชื่อ ญาณ ภาพล่วงหน้า หรือ ป่าวคะ
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กันยายน 22, 2010, 03:45:30 pm
เอาล่ะครับ ได้เวลามาช่วยคุณรักหนอ

การหยั่งรู้อนาคต ภาษาบาลีเรียกว่า อนาคตังสญาณ หากจะแปลตามหลักวิชาการ

แปลว่า "ญาณหยั่งรู้ส่วนอนาคต, รู้อนาคต หยั่งผลที่จะเกิดสืบต่อไปได้"

หากจะกล่าวถึง การรู้อดีต อนาคต และปัจจุบัน ต้องกล่าวถึง ญาณ ๓

ญาณ ๓ (ความหยั่งรู้, ปรีชาหยั่งรู้)
 
๑. อตีตังสญาณ (ญาณหยั่งรู้ส่วนอดีต, รู้อดีตและสาวหาเหตุปัจจัยอันต่อเนื่องมาได้)
 
๒. อนาคตังสญาณ (ญาณหยั่งรู้ส่วนอนาคต, รู้อนาคต หยั่งผลที่จะเกิดสืบต่อไปได้)
 
๓. ปัจจุปันนังสญาณ (ญาณหยั่งรู้ส่วนปัจจุบัน, รู้ปัจจุบัน กำหนดได้ถึงองค์ประกอบและเหตุปัจจัยของเรื่องที่เป็นไปอยู่)

การฝึกให้ได้ญาณดังกล่าวนั้น ต้องฝึกกสิณก่อน พอถึงจุดหนึ่งก็จะได้ตาทิพย์

เห็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ได้ครับ


แนวการปฏิบัติเพื่อการได้มาซึ่งอภิญญาญาณหรือ อิทธิฤทธิ์ต่างๆ แบ่งเป็น ๓ ระดับ คือ

๑. เตวิชโช
๒. ฉฬภิญโญ และ
๓. ปฏิสัมภิทัปปัตโต

ในที่นี้จะขอกล่าวเพียง เตวิชโช เท่านั้น โดยขอนำคำเทศน์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
ซึ่งเทศน์ตามแนววิสุทธิมรรค (เป็นคัมภีร์ที่มาจากกรรมฐานมัชฌิมา)มาแสดงดังนี้



อัชฌาสัยเตวิชโช หมายถึงท่านที่มีอุดมคติในด้านวิชชาสาม คือทรงคุณสามประการ ในส่วนแห่งการปฏิบัติ ได้แก่คุณธรรมดังต่อไปนี้
 
          ๑.  ปุเพนิวาสานุสสติญาณ การระลึกชาติที่แล้วๆ มาได้
 
          ๒. จุตูปปาตญาณ รู้ว่าสัตว์ที่ตายไปแล้ว และเกิดมานี้
              ตายแล้วไปไหน ก่อนเกิดมาจากไหน
 
          ๓.  อาสวักขยญาณ รู้จักทำอาสวกิเลสให้สิ้นไป

แนวปฏิบัติสำหรับเตวิชโช
          ทราบแล้วว่า เตวิชโชมีอะไรบ้าง ขอนำแนวปฏิบัติมาเขียนไว้ เพื่อรู้แนวทาง หากท่านผู้อ่านประสงค์จะรู้หรือจะนำไปปฏิบัติก็จะสะดวกในการค้นคว้า เตวิชโชหรือท่านผู้ทรงวิชชาสาม มีปฏิปทาในการปฏิบัติดังต่อไปนี้
 
          ๑. การรักษาศีลให้สะอาดหมดจด ยอมตัวตายดีกว่าศีลขาด
 
          ๒. ฝึกสมาธิในกรรมฐานที่มีอภิญญาเป็นบาท คือกสิณกองใดกองหนึ่งที่เป็นสมุฏฐานให้เกิดทิพยจักษุญาณ กสิณที่เป็นสมุฏฐานให้เกิดทิพยจักษุญาณนั้นมีอยู่สามกองด้วยกัน  คือ
 
           ๑. เตโชกสิณ เพ่งไฟ
           ๒. อาโลกกสิณ เพ่งแสงสว่าง
           ๓. โอทาตกสิณ เพ่งสีขาว
 
          กสิณทั้งสามอย่างนี้ อย่างใดก็ตาม เป็นพื้นฐานให้ได้ทิพยจักษุญาณทั้งสิ้น แต่ตามนัยวิสุทธิมรรคท่านกล่าวว่า ในบรรดากสิณทั้งสามอย่างนี้ อาโลกกสิณเป็นกสิณสร้างทิพยจักษุญาณโดยตรง ท่านว่าเจริญอาโลกกสินั่นแหละเป็นการดี



ถึงตรงนี้คงพอเข้าใจนะครับ ว่าฝึกอย่างไรจึงรู้อนาคตได้

ถ้าจะถามว่าฝึกยากไหม ตอบไม่ได้ครับเพราะไม่เคยฝึก

(ลองส่งอีเมล์ไปถามพระอาจารย์ดู อาจทราบคำตอบ)



ส่วนที่คุณรักหนอบอกว่า กรรมฐานมัชฌิมาเป็นคำตอบนั้น

หมายถึง การฝึกกสิณนั้น อยู่ในหลักสูตรของกรรมฐานมัชฌิมาอยู่แึล้ว

ส่วนขั้นตอนการฝึกกสิณ ขอให้ไปถามในห้องกรรมฐานนะครับ


การที่คนคนหนึ่งจะมีญาณหยั่งรู้ นอกจากการฝึกกสิณในชาติปัจจุบันแล้ว

ส่วนหนึ่งเกิดจาก กรรมเก่าในอดีตชาติที่เคยได้ญาณนี้มาก่อน

และญาณก็ติดตัวมาถึงปัจจุบัน
 

หากจะถามว่ากรรมเก่าติดตัวมาได้อย่างไง อันนี้่ตอบไม่ได้

กรรมเป็นเรื่องอจินไตย คนธรรมดาเยี่ยงเราๆไม่อาจเข้าใจได้

มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่รู้


ความประพถติของผู้ที่ได้ญาณที่หนูบอกว่า ทำตัวลึกลับนั้น

ขอตอบว่า เป็นเรื่องจริต และวาสนาส่วนตัว ที่สั่งสมมาในอดีตชาติ(หลายชาติ)

อย่าไปหาคำตอบให้เสียเวลาเลย เป็นเ็รื่องอจินไตยครับ

ขอตอบเท่านี้ก่อนนะครับ สงสัยอะไรก็ถามมาได้ทุกเมื่อ

 :25:


หัวข้อ: Re: คุณเชื่อ ญาณ ภาพล่วงหน้า หรือ ป่าวคะ
เริ่มหัวข้อโดย: ธุลีธวัช (chai173) ที่ ตุลาคม 03, 2010, 11:54:50 pm
จักรินทร์  โกศัยดิลก

(http://t1.gstatic.com/images?q=tbn:vrS9NXyBbCgSKM:b)   ตอนที่ 1

 "http://www.youtube.com/v/7JYjpcFnz30?version=3"

(http://t1.gstatic.com/images?q=tbn:vrS9NXyBbCgSKM:b)   ตอนที่ 2

 "http://www.youtube.com/v/-7jf8FO7LFA?version=3"

(http://t1.gstatic.com/images?q=tbn:vrS9NXyBbCgSKM:b)   ตอนที่ 3

 "http://www.youtube.com/v/peaqtjkM1NM?version=3"

(http://t1.gstatic.com/images?q=tbn:vrS9NXyBbCgSKM:b)   ตอนที่ 4

 "http://www.youtube.com/v/-xxmnwteySg?version=3"



หัวข้อ: Re: คุณเชื่อ ญาณ ภาพล่วงหน้า หรือ ป่าวคะ
เริ่มหัวข้อโดย: ธุลีธวัช (chai173) ที่ ตุลาคม 04, 2010, 12:12:22 am
มณฑล  สายทัศน์

(http://t1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQ2teu7B9KGkKKgO50MT5-L70qY-IxX_sZTtsex1H-gU2svWdE&t=1&usg=__EjMjANdL51AlcEu7jhtNkY3EJF8=)   ตอนที่ 1

 "http://www.youtube.com/v/3h_XlbIcrXE?version=3"

(http://t1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQ2teu7B9KGkKKgO50MT5-L70qY-IxX_sZTtsex1H-gU2svWdE&t=1&usg=__EjMjANdL51AlcEu7jhtNkY3EJF8=)   ตอนที่ 2

 "http://www.youtube.com/v/QLm0f9D-6NA?version=3"

(http://t1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQ2teu7B9KGkKKgO50MT5-L70qY-IxX_sZTtsex1H-gU2svWdE&t=1&usg=__EjMjANdL51AlcEu7jhtNkY3EJF8=)   ตอนที่ 3

 "http://www.youtube.com/v/VimLaxNs7io?version=3"

(http://t1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQ2teu7B9KGkKKgO50MT5-L70qY-IxX_sZTtsex1H-gU2svWdE&t=1&usg=__EjMjANdL51AlcEu7jhtNkY3EJF8=)   ตอนที่ 4

 "http://www.youtube.com/v/IeY8XbWnjt0?version=3"



หัวข้อ: Re: คุณเชื่อ ญาณ ภาพล่วงหน้า หรือ ป่าวคะ
เริ่มหัวข้อโดย: ธรรมะ ปุจฉา ที่ ตุลาคม 18, 2010, 01:30:57 am
ฮึ้มๆๆๆ


หัวข้อ: Re: คุณเชื่อ ญาณ ภาพล่วงหน้า หรือ ป่าวคะ
เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ พฤศจิกายน 10, 2010, 06:21:02 am
หากเราเป็น พุทธศาสนิกชน และ เป็นพุทธบริษัท สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือ ความเชื่อใน พระพุทธเจ้า

เรียกว่า ตถาคตโพธิศรัทธา เชื่อมั่นในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า


ดังนั้น เมื่อเราเชื่อมั่น ในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แล้ว ก็มาทำความเข้าใจ ว่า พระพุทธเจ้า ตรัสูรู้อะไรในคืนนั้น

1. พระองค์ทรงตรัสรู้ ในญาณที่ 1 เรียกว่า ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือญาณที่ระลึกชาติได้อย่างไม่มีทีิสิ้นสุด

ไม่มีประมาณ เป็น 9 แสนอสงไขยชาติ 1 แสนมหากัปป์

    ในส่วนนี้ก็หมายความพระองค์ ทรงยืนยัน เรื่อง ตายแล้ว เกิด มีจริง ไปในตัวแล้ว ยืนยันว่า ชาติที่แล้ว

พระองค์เป็นใคร เป็นอะไรมาอย่างไร

2.จตูปปาตญาณ ญาณที่ล่วงรู้กรรมของสรรพสัตว์ ( อันจัดเป็นอจิณไตย แก่เรา ) พระองค์สามารถล่วงรู้กรรม

ว่า คน ๆ นี้ เคยทำกรรมอะไร เป็นอะไร ทำไมเพราะเหตุใด ต้องเป็นแบบนี้

    ในส่วนนี้ ก็เป็นยืนยันแล้วว่า ชาติ ภพ อันเป็น ปุคคล นั้นมีจริง ไม่ใช่เป็น แต่เพียง ชาติ ภพ อันเป็นสภาวะ

เท่านั้น ที่จะมี


3.อาสวักขยญาณ ญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียกว่า ธรรมอันตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นธรรมที่ทำให้พ้น

จากกิเลส และ วัฏฏะ คือ ความเกิด ความแ่ก่ ความเจ็บ และ ความตาย

ดังนั้นในเรื่อง ของ ญาณ ความสามารถ ของพระพุทธเจ้า นั้นเราควรเชื่อ


ที่นี้ในญาณ อันเป็นธรรม ส่วนบุคคลเราก็พึงเชื่อ เพราะบรรดาพระสาวก คือพระสงฆ์ เป็นรัตนะอันประเสริฐ

อันเป็นหนึ่งใน ไตรรัตนะ นั้น เป็นพยานแห่งธรรม เป็นทายาทแห่งธรรม โดยความสมบูรณ์ โดยธรรมอัน

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแสดงไว้ดีแล้ว ทั้งงามในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด สมบูรณ์ ด้วยอรรถ และ

พยัญชนะ เป็นธรรมอันจำแนกธรรม สรรพสัตว์ อันสามารถพ้นจาก วัฏฏะอันน่ากลัวนี้เสียได้


 ดังนั้น ในเรื่องของญาณ ของพระศาสดา และ พระสาวก เราควรเชื่อไว้ดังนี้



ส่วนบุคคล ถือกำเนิดขึ้นมามีญาณ พิเศษ นั้นย่อมเป็นไปได้ เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยาก เพราะเป็นสิ่งที่เกิดได้ด้วย


แห่งกรรม และผลแห่งบุญ ผลแห่งวิชาอันเกิดจากการร่าย

โปรดไปอ่านกระทู้เรื่องนี้เิพิ่มเติม

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=1607.0 (http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=1607.0)




ดังนั้น ถ้าบุคคลใด มี อิทธิ อันเกิดจากผลกรรม บุญ และ วิชาที่ร่าย มาด้วยแล้ว ก็พึงลุถึงแก่ความสิ้นสงสัย

อย่ามัวเพลิดเพลินในกามคุณ อันเจือด้วย ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ ความเสื่อมลาภ ความเสื่อมยศ ทุกข์ นินทา

อยู่เลย จงใช้ความสามารถที่มีนั้นเป็นไปเพื่อการเพียรเผากิเลส คือ อวิชชา ให้สิ้นไป พึงดำเนินตามรอยบาท

แห่งพระศาสดา ด้วย อริยมรรค อันเป็นทางสายเดียว เพื่อการทำทีสุดแห่งพรหมจรรย์ให้ถึงพร้อม เพื่อทำกิจ

อันเป็นกิจที่ควรทำให้จบเถิด เพราะกิจอื่นยิ่งกว่านี้มิได้มี เป็นกิจที่ควรทำ เป็นกิจอันพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า

จักทรงยินดี และเป็นเป้าหมายที่แท้จริง

พึ่งต้ั้งอยู่ในความไม่ประมาท เพราสังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา

วิสัชชนาไว้แต่เพียงเท่านี้

เจริญพร

 ;)