สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => IT สาระประโยชน์ชาวธรรม => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ มิถุนายน 29, 2013, 11:28:49 am



หัวข้อ: อย่าให้เฟซบุ๊ก...คุกคามใจคุณ
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มิถุนายน 29, 2013, 11:28:49 am

(http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/06/22/352802/hr1667/630.jpg)


อย่าให้เฟซบุ๊ก...คุกคามใจคุณ
โดย นพ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล

ไม่กี่วันที่ผ่านมา หลายท่านคงทราบว่าผมได้ เข้าแจ้งความเรื่องการหมิ่นประมาททางสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะการหมิ่นประมาทผ่านทาง เฟซบุ๊ก สื่อสังคมออนไลน์ยอดนิยมติดอันดับโลกและประเทศไทยก็ติดอันดับโลกของการมีผู้เข้าใช้เป็นจำนวนมากและกำลังลุ่มหลงอย่างเมามัน ไม่ว่าจะเป็นการติดตามข่าวสารชนิดที่บางคนไม่ลืมหูลืมตา
    โดยเฉพาะเรื่องการเมือง เป็นเรื่องที่ทุกคนแทบจะพลาดไม่ได้ติดตามกันหามรุ่งหามค่ำ หลายคนก็เหนื่อยล้า หลายคนก็เพลียใจไปตามๆกัน สุดท้ายจุดจบก็เอาอารมณ์ขุ่นมัวมาลงที่บ้านและครอบครัว แต่กระนั้นก็ยังไม่ร้ายแรงเท่าสุขภาพจิตของตนเองเสื่อมเสียไปด้วย

 :91: :91: :91:

มีสื่อมวลชนถามผมว่า เพราะเขาเข้ามาด่าจึงเป็นเหตุผลให้เข้าแจ้งความเอาผิด แต่ผมตอบไปว่า ผมไม่คิดจะเอาเรื่องกับใครที่ด่าผม ที่ทำอยู่ก็ คือลบทิ้งไป ไม่ให้รกสมอง แต่การแจ้งความนั้นเป็นประเด็นเรื่องการหมิ่นประมาท ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ถึงแม้ว่าผมจะมั่นใจในการเป็นคนดีของสังคมและต่อสู้เพื่อสังคมมาตลอดก็ตาม
     แต่ในประเทศไทย ยังมีคนที่ไม่รู้จักจิตแพทย์ ไม่เข้าใจจิตแพทย์อีกมาก การดูถูกผมในฐานะจิตแพทย์ ก็เปรียบเสมือนการสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีให้กับวงการจิตแพทย์และจิตเวชด้วย ผมจึงจำเป็นต้องออกมาปกป้องศักดิ์ศรีของวิชาชีพ

 :96: :96: :96:

    จะเห็นได้ว่าเรื่องราวแบบนี้ เกิดขึ้นอยู่รายวันแทบทุกวัน และมีคดีความมากมาย
    ผมเองได้ปรึกษากับทนายความท่านหนึ่ง ท่านบอกว่าส่วน ใหญ่ผู้ที่ทำ มักพบว่า “จิตไม่ปกติ” ทั้งนั้น
    ซึ่งในความเห็นผมอยากจะให้คนไทยส่วนใหญ่สามารถที่จะแยกแยะได้ว่า
   “จิตไม่ปกติ” กับ “ปัญหาสุขภาพจิต” เป็นอย่างไร มีความแตกต่างกันอย่างไรนะครับ

    คำว่า จิตไม่ปกติ คือ เข้าข่ายป่วยเป็นโรคทางจิตเวช
    แต่ปัญหาสุขภาพจิต จะหมายถึง คนที่มีปัญหาทั้งทางโรคทางจิตเวช และปัญหาทางด้านบุคลิกภาพ (นิสัยใจคอ)


(http://images.thaiza.com/31/31_20120815110233..jpg)

เฟซบุ๊ก...คุกคามจิตใจ...ได้อย่างไร....

เมื่อความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเข้ามาสู่สังคมโลก มนุษย์โลกก็ย่อมรู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา เป็นที่มาของความอยากรู้อยากเห็น และเสพ ความทันสมัยเหล่านั้น และนั่นก็คือที่มาของกับดักทางธุรกิจที่อาศัยความรู้ทางด้านจิตวิทยา โดยให้เป็น “ดาบสองคม” ในการแสวงหาผลประโยชน์จากความอ่อนแอของจิตใจมนุษย์นั่นเอง

จิตวิทยาที่พูดถึงก็คือการเข้าถึง “ต่อมกิเลส” ของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี ทำให้เกิดตัณหา อยากมีอยากได้อยากเป็น โดยเฉพาะอยากได้การยอมรับจากคนอื่น ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม เช่น ลงรูปที่โดดเด่นของตนเองในด้านต่างๆ ทั้งตลกขบขัน ตำแหน่งหน้าที่การงาน กิจกรรมต่างๆ ที่สามารถเป็นการสร้างภาพให้กับตนเองได้ หรือแม้กระทั่งภาพที่ค่อนข้างลับและมีความเป็นส่วนตัวสูง

 :33: :33: :33:

นอกจากนี้การลงเรื่องราวต่างๆโดยอาศัยความเป็นดราม่า กระชากอารมณ์คนที่เข้ามาเสพ ก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่หลายคนชอบทำจะเพื่อประโยชน์ในทางการค้า หรือเพียงแค่ว่าได้รับการยอมรับชื่นชมจากคนอื่นผ่านการกดปุ่มไลค์ให้จิตใจกระชุ่มกระชวยเล่น

อีกมุมหนึ่ง เราอาจจะได้เห็นการใช้เฟซบุ๊กสำหรับคนที่มีอีคิวดีสักหน่อย ก็อาจจะลงเรื่องราวที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนหรือเป็นการตลาดก็พอมีให้เห็นบ้าง แต่ก็ค่อนข้างมีน้อย เพราะส่วนใหญ่หวังได้สิ่งตอบ แทนไม่ว่าจะเป็น ตัวเงินหรือแม้แต่แค่การชื่นชมดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น เนื่องจากเทคโนโลยีนี้เป็นเทค-โนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อให้คนสามารถถูกกระตุ้นกิเลสและกระตุ้นอารมณ์ได้

 :73: :73: :73:

ดังนั้นสิ่งที่จะตามมาคือการดื้อเทคโนโลยี (เหมือนการดื้อยา) หากเสพด้วยเวลาเท่าเดิมอาจจะไม่มีความสุขเหมือนเก่า จึงต้องเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ หรือการเพิ่มเรื่องราวให้คนเสพน่าสนใจขึ้น ไม่เว้นแม้แต่เรื่องที่อาจจะเป็นการทำร้าย คนอื่น เช่นการด่าทอ การหมิ่นประมาท และการอาฆาตมาดร้าย เป็นต้น

เมื่อสามารถกระตุ้นอารมณ์และกิเลสของมนุษย์ได้แล้วผลลัพธ์ที่ตามมามักจบลงที่การขาดเหตุผลและนำไปสู่การใช้ความรุนแรงใน ที่สุด ซึ่งเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวง สำหรับสังคมของมนุษย์ หากไม่รีบหยุดยั้งพฤติกรรม หรือรู้เท่าทันเทคโนโลยีเหล่านี้ให้ได้


(http://www.dailygizmo.tv/wp-content/uploads/2013/04/Facebook-deserted-by-mill-008.jpg)


พฤติกรรมของคนจิตผิดปกติทางเฟซบุ๊ก..

ตรงนี้สำคัญครับ เพราะคนปกติก็มีสิทธิที่จะใช้เฟซบุ๊กได้ คนที่ใช้ก็มิได้หมายความว่าผิดปกติทุกคน ดังนั้นการพิจารณา ถึงกรณีที่เป็นปัญหาทางด้านสุขภาพจิตของคนที่เข้ามาใช้เฟซบุ๊ก คงต้องมองหลายๆ มุม เช่น ป่วยเป็นโรคจิต โรคอารมณ์แปรปรวน ที่มีหลากหลายรูปแบบ เช่น ป่วยเป็นโรคจิตคุมตัวเองไม่ได้ก็ลงข้อความเรื่อยเปื่อย เพ้อเจ้อ คนเข้ามาอ่านก็พอรู้ บางคนก็สร้างเรื่องในโลกของความเจ็บป่วยมาแชร์ให้คนที่น่าจะปกติอยู่ฟัง ฟังไปฟังมา เลยแยก ยากว่าตกลงใครป่วยกันแน่

ส่วนคนที่ป่วยทางอารมณ์ เช่น โรคซึมเศร้า โรคอารมณ์แปรปรวน กลุ่มนี้จะมีเยอะกว่ากลุ่มแรก เพราะถูกกระตุ้นอารมณ์ได้ง่ายกว่า เวลาที่หน้ามืดตามัวเพราะอารมณ์พาไปแล้ว ก็มักจะเห็นผิดเป็นชอบ เห็นสิ่งที่ชอบผิดไปหมด และพร้อมที่จะระบายออกมาเป็นเรื่องของความก้าวร้าวรุนแรง

ป่วยทางด้านปัญหาบุคลิกภาพ หรือเรียกว่า เป็นคนที่มีปัญหาทางนิสัยเสีย อันนี้จะพบมากที่สุด มีหลายรูปแบบ บางประเภทก็ตั้งใจระรานทำร้ายคนอื่นให้เสียหายหรือฉกฉวยผลประโยชน์หลอกลวง พวกนี้เรียกว่า บุคลิกภาพแบบต่อต้านสังคม (Antisocial Personality Disorder) หรือ “สันดานโจร” อาจจะรูปลักษณ์สวยงาม ดูดี บางคนก็แสดงตนว่าธรรมะธัมโมก็มี แต่จิตใจคิดคดใช้เฟซบุ๊กทำร้ายคนอื่นให้เสียหาย

 :41: :41: :41:

นอกจากนี้ยังมีบุคลิกภาพประเภท เรียกร้องความสนใจจากคนอื่น (Histrionic Personality Disorder) ประเภทนี้อาจจะโชว์รูปน่ารักๆ วาบหวิว หรือมีการโพสต์ข้อความซ้ำๆบ่อยๆตลอดเวลาให้คนดูสนใจตนเอง และอีกประเภทหนึ่งของบุคลิกภาพผิดปกติ
     ซึ่งผมมองว่าน่ากลัวและพบได้ไม่น้อยในสังคม คือ คนประเภทฉาบฉวยไม่สามารถสร้างสัมพันธภาพกับใครได้ยาวนาน (Boarderline Personality Disorder) ขาดความรัก เหงาตลอดเวลา มักพบว่ามีพฤติกรรมทำร้ายตนเองบ่อยๆ พวกนี้มักจะหลงรักคนในเฟซบุ๊กง่ายดายทั้งๆที่ไม่เคยเจอตัวจริง แค่หลงคารมก็เคลิบเคลิ้ม จึงไม่น่าแปลกใจที่มีเหตุการณ์ฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังจากคนในเฟซบุ๊กบ่อยครั้ง

มีกลไกทางจิตที่น่าสนใจรูปแบบหนึ่งทาง การแพทย์เรียกว่า Projective identifi cation คือ คนที่ใช้รูปแบบนี้มักจะเคยชินกับการให้ร้ายหรือยั่วยุคนอื่นให้มีอารมณ์โกรธ เมื่อฝ่ายตรงข้ามตอบโต้ ก็เก็บเอาเรื่องราวเหล่านั้นมาใช้เป็นข้อกล่าวหาว่าฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นคนไม่ดี เพราะเธอจึงทำให้มีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้น ทั้งๆที่จุดเริ่มต้นก็มาจากตัวของเขาเอง เราพบได้บ่อยในกลุ่มบุคลิกภาพชนิด Antisocial และ Boarderline Personality Disorder

 :49: :49: :49:

สื่อสังคมออนไลน์อย่างเฟซบุ๊กก็ยังเป็นดาบสองคมอยู่เสมอ สามารถทำให้ผู้ใช้มีความสุขก็ได้ หรือผู้ใช้ถูกทำร้ายจิตใจก็ได้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกเสพและฉลาดเสพได้ขนาดไหน ผมยังเคยหวังเล่นๆว่า หากรัฐบาลไทยประกาศให้ประชาชนคนไทยทราบว่า รัฐบาลจะของดการให้บริการเฟซบุ๊กสักหนึ่งสัปดาห์ต่อเดือน สังคมไทยคงจะลดความขุ่นมัวทางอารมณ์ หรือลดคดีความเรื่องการฟ้องร้องจากการดูหมิ่นเหยียดหยามกันลงบ้าง

นอกจากช่วยให้จิตใจได้พักฟื้นจากการเสพข่าวมากเกินไปแล้ว ยังประหยัดค่าไฟฟ้าอีกมากโขและอาจจะเป็นช่วงเวลาถอนพิษความคิดติดลบหันกลับมาทบทวนตัวเอง หันมามองคนที่อยู่ตรงหน้าและให้ความสนใจสังคมรอบข้างกันบ้าง และที่สำคัญที่สุดอาจจะได้เห็นบางมุมของโลกใบนี้ที่เป็นของจริงว่ายังมีสิ่งที่สวยงามกว่าโลกจอมปลอมที่เราชอบอุปโลกน์ขึ้นมาเสียอีกนะครับ.


ขอบคุณบทความและภาพจาก
http://www.thairath.co.th/column/life/exercise/352802 (http://www.thairath.co.th/column/life/exercise/352802)
http://images.thaiza.com/ (http://images.thaiza.com/) , http://www.dailygizmo.tv/ (http://www.dailygizmo.tv/)