หัวข้อ: ไทย“รองแชมป์” สิงคโปร์นำโด่ง ผู้สูงอายุมากสุดในอาเซียน เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กรกฎาคม 16, 2013, 09:20:21 am (http://www.matichon.co.th/online/2013/07/13738760421373876120l.jpg) ไทย“รองแชมป์” สิงคโปร์นำโด่ง ผู้สูงอายุมากสุดในอาเซียน เสนอปรับนิยามใหม่ 60ปี เป็น 65ปี พญ.ลัดดา ดำริการเลิศ ผจก.แผนงานพัฒนาองค์ความรู้เพื่อมโนทัศน์ใหม่ของนิยามผู้สูงอายุและการเกษียณที่เหมาะสม มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส) ระบุในงานเวทีระดมความคิดเห็นเพื่อพิจารณานโยบายของนิยามผู้สูงอายุ และอายุการทำงานที่เหมาะสมสำหรับสังคมไทย จัดขึ้นโดยมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส) สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (สสส.) โดยระบุว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องมีแผนรองรับงานด้านประชากร เพื่อรับมือการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมสูงอายุในอนาคต เพราะขณะนี้ประชากรวัยเด็กและวัยทำงานลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยพบว่าไทยมีอัตราส่วนพึ่งพิงวัยแรงงานมีแนวโน้มน่าเป็นห่วง คือในปี พ.ศ.2551 มีอัตราส่วนวัยแรงงาน 6 คน ต่อผู้สูงอายุ 1 คน ต่อมาปี พ.ศ. 2553มีอัตราส่วนวัยแรงงาน 5.7 คนต่อผู้สูงอายุ 1 คน ในปี พ.ศ. 2563 คาดว่าจะมีอัตราส่วนวัยแรงงาน 4 คน ต่อผู้สูงอายุ 1 คน และในปี พ.ศ. 2573 จะมีอัตราส่วนวัยแรงงาน 2 คน ต่อผู้สูงอายุ 1 คน ซึ่งขณะนี้จำนวนประชากรผู้สูงอายุมีมากที่สุด ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ :happybirthday3: :happybirthday3: :happybirthday3: ดร.อรพินท์ สพโชคชัย หัวหน้าโครงการวิจัยการจัดทำภาพรวมผลการศึกษาและการกำหนดกรอบนโยบาย ตามนิยามขององค์การสหประชาติจะเห็นได้ชัดว่าสังคมไทยกำลังเป็นสังคมสูงอายุ (Aging Society) มีผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ร้อยละ 10 ของประชากร และจากการสรุปย่อ การศึกษาบทเรียนและประสบการณ์จาก 5 ประเทศ อังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ซึ่งปัจจุบันเป็นสังคมผู้สูงอายุแล้ว และจะมีสัดส่วนประชากรกลุ่มผู้สูงอายุมากขึ้น เฉพาะในอาเซียนสิงคโปร์นำหน้าเรื่องจำนวนผู้สูงอายุมีประเทศไทยรั้งเป็นอันดับ 2 ดังนั้นประเทศต่างๆกำลังเผชิญประเด็นท้าทายเรื่องผู้สูงอายุว่าจะรับมืออย่างไร ทั้งเรื่องบำเหน็จบำนาญ โครงสร้างพื้นฐาน กำลังคนแรงงาน :welcome: :welcome: :welcome: เมื่อไปเจาะลึกใน 5 ประเทศเหล่านี้ ปัญหาที่พบเหมือนกันคือด้านเศรษฐกิจ บำเหน็จบำนาญของภาครัฐ ผู้สูงอายุมีค่าใช้จ่ายไม่เพียงพอใช้ในวัยที่เลิกทำงาน เกิดความยากจนในกลุ่มผู้สูงอายุมากขึ้น โดยในประเทศอังกฤษ มีแผนระยะยาวกำหนดให้ แรงงานชายเกษียณ 65 ปี แรงงานหญิงเกษียณ 60 ปี (ปี พ.ศ.2563 จะเป็น 65 ปี) และมีแผนที่จะขยายเป็น 66 – 68 ปี ในปี พ.ศ. 2573– 2593 (เพิ่ม 1 ปีทุกๆ 10 ปี) ประเทศญี่ปุ่น เดิมกฏหมายกำหนดการเกษียณอายุที่ 60 ปี และภายในปี พ.ศ. 2556 จะต้องขยายเป็น 65 ปี ส่วนสิงคโปร์ ปี พ.ศ.2542 กำหนดอายุการทำงานที่ 62 ปี มีแนวโน้มที่จะขยายเป็น 65-67 ปี ในอนาคตแรงงานสามารถทำงานต่อได้ตามความสมัครใจ :sign0144: :sign0144: :sign0144: ดร.อรพินท์ ระบุด้วยว่า ความก้าวหน้าในการเตรียมการเรื่องของกฎหมายในแต่ละประเทศมีมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเมื่อเดือนเม.ย.2556 เกาหลีใต้ประสบความสำเร็จในการประกาศใช้กฎหมาย หลังจากใช้เวลาหลายปีเพื่อทำกฎหมายขยายเวลาเกษียณอายุมานาน เพราะมีการต่อต้านกันมาก โดยออกกฎหมายว่าเอกชนต้องจ้างงานถึงอายุ 60ปี แต่ให้กฎหมายมีผลบังคับใช้ปีพ.ศ 2559 ในสถานประกอบการที่มีลูกจ้าง 300 คนขึ้นไปก่อน ส่วนในปี พ.ศ. 2560 ให้มีผลบังคับใช้ทุกหน่วยงาน ดร.อรพินท์ ระบุด้วยปัญหาและอุปสรรคในหลายประเทศ คือเรื่องการเปลี่ยนแปลงประเพณีความเชื่อต่างๆ นิยามของคำว่าผู้สูงอายุใหม่ ต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนนโมทัศน์ว่าด้วยนิยามผู้สูงอายุใหม่ว่า 60 ปี หรือ 65 ปีไม่แก่ ที่สำคัญมีหลายประเทศมองคนแก่เป็นเชิงลบ ไม่มีคุณค่า มีการต่อต้านในภาคเอกชน โดยเอกชนจะมองที่ผลกำไรมาก่อน ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1373876042&grpid=&catid=19&subcatid=1904 (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1373876042&grpid=&catid=19&subcatid=1904) |