หัวข้อ: พระพุทธศาสนา : ศาสนาแห่งทุกข์นิยม.? เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กรกฎาคม 25, 2013, 09:21:51 am (http://www.komchadluek.net/media/img/size_photo_slide/2013/07/22/c77bf9ajhfha7i8ab7bba.jpg) พระพุทธศาสนา:ศาสนาแห่งทุกข์นิยม? บทความโดยพระมหาหรรษา ธมฺมหาโส หัวหน้าโครงการปริญญาโทหลักสูตรสันติศึกษา และผอ.สถาบันภาษา มจร นักคิด และนักวิชาการทั้งในตะวันตก และตะวันออกจำนวนมากมักจะหยิบยื่นข้อหาให้แก่พระพุทธศาสนามาโดยตลอดว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนา "ทุกข์นิยม" หรือ "นิยมความทุกข์" ด้วยเหตุผลของการจัดลำดับความสำคัญ และจัดวางตำแหน่งของ "ความทุกข์นำหน้าความสุข" ในหลายบริบท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ และถือได้ว่าเป็นชุดความคิดหลักในพระพุทธศาสนา คือ "หลักอริยสัจสี่" ที่เน้นความทุกข์ สาเหตุแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ และวิธีการในการดับทุกข์ จากแง่มุมดังกล่าวได้ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า "แท้จริงแล้ว พระพุทธศาสนาให้คุณค่า และใส่ใจความทุกข์มากกว่าความสุขจริงหรือ??!!??" :welcome: :welcome: :welcome: เราบัญญัติทุกข์และความดับทุกข์ ในขณะเดียวกัน พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพรหมชาลสูตรว่า "ภิกษุทั้งหลาย ทั้งในกาลก่อนและบัดนี้ เราบัญญัติแต่ทุกข์และความดับทุกข์เท่านั้น" สรุป พระองค์สอนแค่สองเรื่องเท่านั้น คือ "ความทุกข์กับความสุข" เพียงแต่ว่าความสุขที่พระองค์ทรงเน้นมากคือ "นิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง" เพราะเป็น "สุขแท้" ไม่แปรเปลี่ยนตามกาละ และเทศะ อีกทั้ง ไม่ต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไข และตัวแปรต่างๆ คำถามมีว่า เพราะเหตุใด??? จึงต้องตรัสถึง "ความทุกข์ก่อนความสุข" เพราะทุกครั้งที่มนุษย์เผชิญหน้ากับความทุกข์เขาเหล่านั้นจะรีบเบือนหน้าหนี และตะเกียกตะกายแสวงหาความสุขทั้งๆ ที่เราก็ไม่ทราบว่าเจ้าความสุขนั้น หน้าตาจะเป็นฉันใด จะยั่งยืน หรือชั่วคราว ตัวอย่างที่เด่นชัด คือ "พระพุทธเจ้า" นั่นเอง ช่างน่าอัศจรรย์ว่า ความสุขที่พระองค์ทรงค้นพบคือ "นิพพาน" จนทำให้พระองค์ถึงกับอุทานออกมาด้วยความปีติว่า "สุขอย่างอื่นที่ยอดเยี่ยมกว่าความสงบ (นิพพาน) นั้น ไม่มีอีกแล้ว" :sign0144: :sign0144: :sign0144: สุขแท้..ชั่วคราว.. หรือค้างคืน..ขึ้นอยู่กับทุกข์ที่เราเผชิญ!! การที่มนุษย์คนหนึ่งจะผ่านด่าน "ทดสอบ" คือ ความทุกข์" เพื่อให้บรรลุถึง "ความสุข" แบบใดแบบหนึ่งนั้น ย่อมต้องใช้ความอดทน ความมุ่งมั่นและตั้งใจ หาไม่แล้ว ความสุขดังกล่าวจะกลายเป็น "ความสุขแบบบังเอิญ" "สุขแบบชั่วคราว" และ "สุขแบบค้างคืน" แล้วความสุขแบบนั้นก็กลายกลับมาเป็นความทุกข์ที่คอยทิ่มแทงหัวใจดังที่เคย ได้ประสบ จะเห็นว่า เมื่อยิ่งทุกข์มากก็โหยหาความสุขมาก และวันหนึ่งเมื่อเราค้นพบความสุขเราก็อยากจะให้มันอยู่กับเรานานๆ ทั้งนี้ การที่ ความสุขจะอยู่กับเรานานมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสำคัญประการหนึ่งว่า เราจะเอาทุกข์ที่เคยประสบอย่างแสนสาหัสมากระตุ้นเตือนใจของเรามากน้อยเพียง ใด และเมื่อใดเราหลงลืมละเมอเพ้อพกลุ่มหลงมัวเมากับความสุขแบบไม่ลืมหูลืมตา สักวันหนึ่งตื่นขึ้นมาก็จะพลันพบว่า "ความสุขที่เราเฝ้าถวิลหาได้โบยบินหนีไปยามที่เราหลับไหล" :happybirthday3: :happybirthday3: :happybirthday3: เมื่อเผชิญหน้ากับความสุข... อย่าลืมขอบคุณความทุกข์ที่ผ่านเลย!!! การเข้าใจธรรมชาติของ "กฎไตรลักษณ์" คือ "สรรพสิ่งไม่เที่ยง คงทนอยู่ในสภาพเดิมตลอดไปไม่ได้ และไม่สามารถบังคับ หรือกะเกณฑ์ให้เป็นไปตามปรารถนาและความต้องการของเราครั้งแล้วครั้งเล่า" ทำให้เราตระหนักรู้และวางท่าทีในเชิงบวกต่อ "โลกธรรม" คือ "มีลาภ ไร้ลาภ มียศ ไร้ยศ มีสุข ทุกข์ เสียงสรรเสริญ และนินทา" นั้นล้วน "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปตามตัวแปรแห่งเหตุปัจจัย" ในสถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญ หน้ากับ "ความทุกข์ตรมระทมใจ" ความทุกข์ที่เห็นและเป็นอยู่นั้น กลับกลายเป็นบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่ที่แวะเวียนเข้ามาทักทาย และทดสอบจิตใจเราให้แข็งแกร่ง มีสติมากขึ้น และไม่ประมาท ลุ่มหลง มัวเมาในทุกวินาทีแห่งลมหายใจของการใช้ชีวิต ความจริง เราไม่รู้เลยว่า การยืนอยู่บนขอบเหวเปี่ยมล้นด้วยความสุขสนุกหรรษาเพียงใด ถ้าครั้งหนึ่งเราไม่เคยล้มลุกคลุกคลานอยู่ใต้ก้นเหวมาก่อน ทุกข์คือกัลยาณมิตรผู้คอยสกิดใจเมื่อพบสุข แท้ที่จริงแล้ว พระพุทธศาสนาให้คุณค่า และใส่ใจความทุกข์มากกว่าความสุขจริงหรือ??!!?? คำตอบที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ การใส่ใจ "ความทุกข์" ได้กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่กระตุ้นเตือนให้เราใคร่ครวญ ไตร่ตรอง และเพียรพยายามที่จะค้นหา "ความสุข" ไม่ว่าจะแท้หรือเทียม เพื่อจะอยู่กับ "ความสุข" ทั้งยามตื่น และหลับไหลในทุกอณูแห่งลมหายใจ ท่ามกลางหมอกบาง ลมหนาว พายุ แสงแดด และลมฝนที่ซัดผ่านเข้ามาในชีวิต และการทำงาน ไม่ว่าความสุขนั้นจะเดินทางผ่านมาอยู่กับเราเพียงชั่วคราว ค้างคืน หรือตลอดไปก็ตาม นอกจาก “ความทุกข์” จะทำให้เรามีเวลาในการคิดคำถึงบทเรียนที่เจ็บปวด และโหยไห้อาลัยหา จนอยากจะลิ้มรสความสุขแล้ว ความทุกข์ยังได้ทำหน้าที่ประดุจ “กัลยาณมิตร” คอยกระตุ้นเตือนใจเราให้เข้มแข็งดุจภูภาแล้ว การศึกษา เรียนรู้ และเข้าใจความทุกข์ และความสุข จึงเป็นการเปิดประตูหัวใจของเราให้พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความทุกข์อย่างไม่ หวาดหวั่นพรั่นพรึง อีกทั้งไม่ผลีผลามและลนลานเมื่อพานพบและเสพความสุขโดยปราศจากสติ และปัญญา ขอบคุณภาพข่าวจาก www.komchadluek.net/detail/20130722/164058/พระพุทธศาสนา:ศาสนาแห่งทุกข์นิยม.html#.UfCLFaxYxGp (http://www.komchadluek.net/detail/20130722/164058/พระพุทธศาสนา:ศาสนาแห่งทุกข์นิยม.html#.UfCLFaxYxGp) |