หัวข้อ: บทเรียนจากการไล่ล่า 'พระอรหันต์' เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กรกฎาคม 31, 2013, 09:02:58 am (http://www.komchadluek.net/media/img/size_photo_slide/2013/07/29/eaabdaecb8kddfd7fa9ae.jpg) บทเรียนจากการไล่ล่า'พระอรหันต์' วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยพิสุทธิ์ เกรียงบูรพา เรื่อง พงษ์พัฒน์ ไตรพิพัฒน์ ภาพ โดยทัศนะส่วนตัว ผมเห็นว่าชาวพุทธเราส่วนใหญ่ ยังคงชอบ 'ไล่ล่าหาพระอรหันต์' กันอยู่ บ้างก็เพื่อกราบไหว้บูชาเป็นสิริมงคล, บ้างก็จะไปขอส่วนสรีระของท่านมาบูชา ไม่ว่าจะเป็นกระดูก ฟัน หรือแม้แต่ 'ขี้' ก็เอา บ้างก็เพื่ออยากได้ บุญ-ทาน ที่หว่านลงบนเนื้อนาบุญอันบริสุทธิ์ เพื่อเปี่ยมอานิสงส์สูงสุด ไม่รู้ไปเชื่อตำราที่ไหนมา ที่ว่า การทำบุญแบบทวีคูณ คูณแฟกเตอร์ ๑๐๐ เท่าไปเรื่อยๆ จาก ทำทานต่อสัตว์เดรัจฉาน ได้บุญน้อยกว่ากับคนทุศีล ๑๐๐ เท่า ทำทานแก่คนทุศีล ได้บุญน้อยกว่าคนมีศีล ๕ ถึง ๑๐๐ เท่า ฯลฯ ทำบุญแด่พระธรรมดาๆ หรืออริยสงฆ์ชั้นต้น ก็ยังได้บุญน้อยกว่า พระอรหันต์ เป็นต้น ไล่ไปเรื่อยๆ ฯลฯ กระทั่งถึง ธรรมทาน การให้ธรรมะเป็นทานสูงสุด พุทธบริษัทเรา จึงเฝ้าเค้นหาล่าพระอรหันต์มาให้ได้แบบองค์เป็นๆ เพื่อจะได้อานิสงส์แห่งบุญสูงๆ เพราะเป็นขั้นเกือบสูงสุดทีเดียว นี้คือ ความบ้า อย่างหนึ่ง :sign0144: :sign0144: :sign0144: ผมไม่แน่ใจนักว่า ทฤษฎีทวีคูณ ทีละร้อยๆ แบบนี้ จะถูกต้องหรือไม่ แต่ผมรู้เรื่องที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนมาอย่างหนึ่งนะครับว่า ท่านไม่เคยสอนให้เรา อยากได้ อยากมี อยากเป็น แม้แต่การทำบุญทำทาน ก็เป็นไปเพื่อ สละ ละอัตตา ตัวตน เพื่อความไม่มี ไม่เอา ไม่เป็น ทั้งสิ้น ดังนั้น ใครก็ตามที่คิดไล่ล่าหาพระอรหันต์มาทำบุญ เพื่อตัวกูของกู จะได้มีบุญวัตถุที่สูงๆ ขึ้นไปนั้น ไม่น่าจะถูกต้องตามพระพุทธประสงค์เลย อาจจะเป็นด้วยเหตุนี้กระมัง ชาวพุทธเราจึงอ่อนแอ และถูกหลอกได้ง่าย พระพุทธเจ้าให้เราพึ่งตนเอง ก็ดันไปพึ่งพระอรหันต์ (ถึงแม้จะเป็นอรหันต์จริง) ก็ยังเป็นเหตุปัจจัยภายนอกอยู่ดี พระพุทธเจ้าให้บูชาพระธรรมวินัย ก็ดันไปบูชาพระอวดปาฏิหาริย์ ไปซื้อกระเป๋าหลุยส์ให้พระนอกรีตที่ทรยศแม้ต่อพระธรรมวินัย อย่างนี้เป็นต้น ชาวพุทธเราทุกวันนี้ จึงอ่อนแอมาก ซึ่งก็สอดคล้องกับที่ท่านพุทธทาสภิกขุ เคยกล่าวไว้ในหนังสือ 'อตัมมยตาประยุกต์' ที่ว่า "พุทธศาสนาเรา อ่อนแอ ไม่ก้าวหน้า ก็เพราะ พุทธบริษัทไม่รู้จัก อตัมมยตา !!!" อตัมมยตา หมายถึง ภาวะที่ไม่ต้องเนื่องหรืออาศัยปัจจัยอะไรๆ ได้แก่อสังขตธรรมอันเป็นธรรมที่ปราศจากตัณหา หรือภาษาของท่านพุทธทาสก็คือ "กูไม่เอากับมึงแล้วโว้ย" ด้วยเหตุนี้ที่ปรากฏเป็นข่าว กรณี 'หลวงปู่เณรคำ' จึงมิได้ทำให้ผมแปลกใจมากนัก มันมีมาอยู่เรื่อยๆ และยังจะมีมาอีกในอนาคต ตราบใดที่จิตกูยังอยากจะเอาโน่นเอานี่อยู่ ตราบนั้นก็จะมีคนสร้างอรหันต์จำแลงมาสนองความอยากจนได้ในรูปแบบต่างๆ (จงอย่าได้แปลกใจ หรือ เสื่อมศรัทธาต่อพระศาสนาเลยครับ พุทธศาสนายังคงบริสุทธิ์ เป็นอกาลิโกอยู่ตลอดกาลนาน) :49: :49: :49: ที่จริงผมไม่อยากเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับกรณีนี้เลย แต่บังเอิญมีประสบการณ์ตรงที่ได้ไปเกี่ยวข้องบางเหตุการณ์อยู่ จึงเห็นว่า หากประสบการณ์ตรงของผมนี้จะมีประโยชน์ต่อพวกเราชาวพุทธก็ยินดี (เสี่ยงกับพวกอลัชชี) ครับ หลายปีมาแล้ว ด้วยความสนิทกับกับเจ้าของยาสีฟันสมุนไพรชื่อดังของไทย เธอเป็นคนใจบุญสุนทาน มักเปิดบ้านเป็นลานธรรมแล้วนิมนต์พระหลากหลายมาเทศน์สอนธรรมตามกาล จึงมีโอกาสแวะเวียนไปฟังธรรมที่นั่นเป็นครั้งคราว ก่อนไปก็ได้ยินเสียงสรรเสริญร่ำลือประโคมกันใหญ่ บ้างว่า พระองค์นี้มีฤทธิ์ มีรถนำขบวนยาว ตำรวจล้อมหน้าล้อมหลัง ราวกับเป็นบุคคลสำคัญของชาติ ซ้ำยังมีเฮลิคอปเตอร์เป็นของตนเอง.? ทำให้ผมเริ่มตั้งข้อสังเกตตั้งแต่นั้นมา เอ๊ะ นั่นใช่ศิษย์ของพระตถาคตเจ้าหรือไม่? พระป่าอะไร เหตุใดอลังการงานสร้างขนาดนั้น แล้วชื่อหลวงปู่เณรคำเนี่ย จะเป็นพระแก่ (หลวงปู่) หรือเณรกันแน่ อายุอ่อนกว่าผมตั้ง ๑๒ ปี เหตุใดจึงเรียก 'หลวงปู่' ? แต่ด้วยความเกรงใจ และทัศนคติของชาวพุทธ ที่มักยอมเปิดใจกว้างรับฟังไว้ก่อน เชื่อไม่เชื่อ ก็ค่อยนำสิ่งที่ท่านสอนไปพิจารณาโดยแยบคายอีกที :smiley_confused1: :smiley_confused1: :smiley_confused1: อยู่มาวันหนึ่ง เพื่อนอาวุโสผู้นี้ เธอให้ผมไปตาม 'เณรคำ' มาฉันเช้า ผมจึงมีโอกาสอยู่สองต่อสองกับท่านพักหนึ่ง ก็ถือโอกาสปุจฉาธรรมข้อหนึ่งกับท่านไป “จริงไหม ที่มีในพระไตรปิฎกว่า คนเราหากบรรลุอรหัตผล แล้วไม่ไปบวชใน ๗ วัน จะต้องตาย” ซึ่งท่านก็ตอบได้พอสมควร แต่มิได้ลึกซึ้งอะไรมาก สักพัก มีพระลูกศิษย์หอบกระสอบเงินสด ที่ญาติโยมบริจาคมานั่งนับหน้าตาเฉย อยู่ข้างๆ ที่ผมนั่ง อีกครู่หนึ่งก็มีคุณป้า ๓ คน บุกเข้ามาจะกราบท่านให้ได้ เมื่อได้กราบสมใจแล้ว ทั้ง ๓ ป้าก็กล่าวคำสรรเสริญเยินยอสารพันว่าศรัทธาท่านผ่านหนังสือเล่มหนึ่ง (ปาฏิหาริย์อันเป็นการอวดอุตริมนุษธรรม) แล้วคุณป้าคนหนึ่งก็ถาม “พระอรหันต์ มีหน้าที่ทำอะไรเหรอ เจ้าคะ?” ก่อนเณรคำจะตอบ แกหันไปมองพระลูกศิษย์ที่กำลังจดจ่ออยู่กับการนับเงินในกระสอบนั้น (ประมาณว่า เงินเยอะขนาดต้องนับกันเป็นหลายชั่วโมง) แล้วหันมายิ้มแบบคนเจ้าเล่ห์ แล้วตอบทั้ง ๓ ป้าว่า “นั่นไงล่ะ หน้าที่ของพระอรหันต์ นับเงินสด!!!” :03: :03: :03: จบข่าวแล้ว (ผมนึกในใจ) และแล้วศรัทธาจากทั้ง ๓ ป้า ยังไม่จางหาย พวกเธอผู้มีรายได้กระเบียดกระเสียด สู่อุตส่าห์ควักกระเป๋ากางเกง เอาเงินมารวมกันทั้ง ๓ ป้า ได้มาราว ๘๐๐ บาท ถวายให้หลวงปู่เณรคำ แล้วกล่าวว่า “พวกอิฉัน ขอต่อบุญด้วยนะคะ” (พวกเธอกล่าวด้วยคำบริสุทธิ์และตั้งใจจริง) แต่เณรคำ (จำต้องเรียกตามสมมุติไปก่อน) กลับพูดอย่างดูแคลนเธอทั้งสามว่า “ต่อบุญกันแค่นี้เองเหรอ ทำไมน้อยจัง?” ผมลุกขึ้นออกจากที่เคยนั่ง เดินกลับไปทางที่ที่เคยเดินเข้าไป แล้วเดินอย่างเซ็งๆ ออกไปจากสิ่งแวดล้อมนั้น คิดเอาเองในใจว่าผู้นี้ ไม่ใช่ทั้ง 'หลวงปู่ ไม่ใช่ทั้ง 'เณร' แล้วล่ะ แต่คงเป็นได้แค่ 'อลัชชี' ผู้ปล้นสะดมชาวพุทธ และบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา !!! :96: :96: :96: ตื่นเถิดชาวพุทธ ปลุกจิตสำนึกให้พุทธะ ให้รู้ตื่น เบิกบาน ด้วยธรรมอันพระองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้ว การประพฤติพรหมจรรย์ ทำทาน-ถือศีล-ปฏิบัติภาวนา ก็เพื่อการสละ ละอัตตาตัวตน เพื่อพ้นทุกข์, ให้หยุดอยาก หยุดยึดกันได้แล้ว มิใช่จ้องแต่จะตามล่าหาพระอรหันต์เพื่อตักตวงบุญตุนกุศลจนเต็มล้นยุ้งฉางแห่งตัวกูของกูจนบ้ากันไปใหญ่ ท้ายที่สุดนี้ ผมขอโอกาสฝากข้อคิดเตือนสติไว้ จะกราบไหว้ ฝังฝากรากลึกแห่งศรัทธาลงไปที่พระอาจารย์รูปหนึ่งรูปใด หรือคณะบุคคลหนึ่งคณะบุคคลใดก็ตาม ขอให้พิจารณาบัญญัติ ๑๒ ประการ ที่ผมตั้งข้อสังเกตมาไว้ให้ดีก่อน จะได้ไม่มาเสียใจในภายภาคหน้านะครับ บัญญัติ 'ดูพระปลอม' ๑. มักพูดเปรยว่าชาติก่อนเราเป็น แม่ (พ่อ) - ลูกกัน ๒. อวดอ้างปาฏิหาริย์ที่มิใช่คำสอนฯ ๓. ทำตัวเป็นเทพเจ้า ให้ศิษย์เฝ้าอ้อนวอน ๔. ไม่จริงจังต่อคำสอนแห่งพระพุทธองค์ ๕. คำสอนส่วนใหญ่ ไม่เนื่องด้วยการหลุดพ้น (วิมุตติธรรม, วิราคะธรรม) ๖. เลือกโปรดคน โดยดูว่า รวย/จน เป็นเป้าประสงค์ ๗. มีทรัพย์สิน/ความเป็นอยู่ เกินกว่าที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ในพระธรรมวินัย ๘. ชอบสร้างสิ่งใหญ่โต โอ้อวด ผลาญเงินมากมาย ๙. อ่อนกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ของตัวเอง ไม่ชัดเจนในประวัติการบวช ๑๐.ไม่ยำเกรงต่อพระอาจารย์ ผู้หลักผู้ใหญ่ ๑๑.แอบเอาวันเวลาเกิดญาติโยมผู้มั่งคั่งไปทำคุณไสยฯ ๑๒.ทำตัวยิ่งใหญ่ เกิน 'พระภิกษุ ผู้ขอข้าวคน' ขอบคุณภาพข่าวจาก www.komchadluek.net/detail/20130730/164586/บทเรียนจากการไล่ล่าพระอรหันต์.html#.Ufhtz6xYxGp (http://www.komchadluek.net/detail/20130730/164586/บทเรียนจากการไล่ล่าพระอรหันต์.html#.Ufhtz6xYxGp) หัวข้อ: Re: บทเรียนจากการไล่ล่า 'พระอรหันต์' เริ่มหัวข้อโดย: ธุลีธวัช (chai173) ที่ กรกฎาคม 31, 2013, 09:42:11 am (http://4.bp.blogspot.com/-PpATSLt1Hy8/Uav4jI_xSMI/AAAAAAAAF88/qTOgu2SLpv4/s400/%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C.jpg)
ขอเทื่อเดียว ย่านบ้อหละสู เณรคำทำกู อดสูไหว้กราบ กลอนสี่พร่ำหยาบ จ้วงจาบสักวัน. ธรรมธวัช.! http://neankham.blogspot.com/2013/06/blog-post_5036.html หัวข้อ: Re: บทเรียนจากการไล่ล่า 'พระอรหันต์' เริ่มหัวข้อโดย: kobyamkala ที่ สิงหาคม 01, 2013, 10:41:12 am :49: :49: :49:
|