สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ สิงหาคม 26, 2013, 07:07:48 am



หัวข้อ: พลิกปูม สัมโมทนียกถา ‘วิถีธรรม 2 สมเด็จ’ มงคลแห่งชีวิต-สังคมไทย
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ สิงหาคม 26, 2013, 07:07:48 am

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/228347.jpg)

พลิกปูม สัมโมทนียกถา ‘วิถีธรรม 2 สมเด็จ’ มงคลแห่งชีวิต-สังคมไทย

ปฏิบัติได้เป็นมงคลต่อชีวิต ต่อสังคมไทย ต่อประเทศไทยโดยรวม

ยังความโศกเศร้าอาลัยแก่พุทธศาสนิกชนไทย หลัง “สมเด็จเกี่ยว-สมเด็จพระพุฒาจารย์” เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช มรณภาพด้วยอาการติดเชื้อในกระแสโลหิต เมื่อวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมา สิริอายุ 85 ปี 6 เดือน ซึ่งล่าสุดมหาเถรสมาคม (มส.) มีมติให้  “สมเด็จวัดปากน้ำ-สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์” เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ และแม่กองบาลีสนามหลวง เป็นประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช

ทั้งนี้ วันนี้มาดูบางมุม...



(https://sphotos-a-ord.xx.fbcdn.net/hphotos-ash4/998443_687674344580427_906159406_n.jpg)


“วิถีธรรม...แห่ง 2 สมเด็จ”

“สมเด็จเกี่ยว-สมเด็จพระพุฒาจารย์” มีนามและสกุลเดิมว่า เกี่ยว โชคชัย เป็นบุตรคนที่ 5 ในจำนวนบุตร 7 คน ของ นายอุ้ย เลี้ยน แซ่โหย่ (เลื่อน โชคชัย) และนางยี แซ่โหย่ (ยี โชคชัย) ปัจจุบันทายาทสกุลโชคชัยหรือแซ่โหย่ เปลี่ยนนามสกุลเป็น “โชคคณาพิทักษ์” ซึ่งสำหรับสมเด็จเกี่ยว ท่านเกิดเมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2471 ณ บ้านเฉวง ต.บ่อผุด อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เริ่มศึกษาระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนประจำหมู่บ้าน จนจบ ป.4 หลังจากนั้นเมื่ออายุได้ 12 ปีได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดภูเขาทอง อ.เกาะสมุย และโยมมารดานำไปฝากไว้กับท่านพระครูอรุณกิจโกศล (หลวงพ่อพริ้ง) วัดแจ้ง ต.อ่างทอง อ.เกาะสมุย

ด้วยท่านเป็นผู้ฝักใฝ่การศึกษา มีวิริยอุตสาหะ หลวงพ่อพริ้งจึงนำไปฝากกับสมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทยมหาเถร) ในการปกครองของพระธรรมเจดีย์ (เทียบ ธมฺมธโร) ณ วัดสระเกศ กรุงเทพฯ ต่อมาปี 2492 ได้อุปสมบทที่วัดสระเกศ โดยมีสมเด็จพระสังฆราช ญาโณทยมหาเถระ ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ มีนามฉายาว่า “อุปเสโณ”

    ปี 2497 ท่านสอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค
    จากนั้นปี 2501 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานแต่งตั้ง เลื่อนและสถาปนาสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ “พระเมธีสุทธิพงศ์”,
    ปี 2505 เป็นพระราชาคณะชั้นราช ที่ “พระราชวิสุทธิเมธี”,
    ปี 2507 เป็น พระราชาคณะชั้นเทพ ที่ “พระเทพคุณาภรณ์”,
    ปี 2514 เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่ “พระธรรมคุณาภรณ์”, 
    ปี 2516 เป็นพระราชาคณะ เจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฏ ที่ “พระพรหมคุณาภรณ์”,
    ปี 2533 เป็นสมเด็จพระราชาคณะ ชั้นสุพรรณบัฏ ที่ “สมเด็จพระพุฒาจารย์”  ตราบถึงวันมรณภาพ สิริอายุ 85 ปี 6 เดือน


(http://image.mcot.net/media//images/2013-08-10/Somdaj-prabuddhajaraya2.jpg)

สมเด็จเกี่ยว ท่านได้ปฏิบัติศาสนกิจ และดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ มามากมาย รวมถึงดำรงตำแหน่งประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ขณะเดียวกันท่านก็ได้เผยแผ่หลักธรรมสืบสานพระพุทธศาสนามาโดยตลอด ซึ่งกับผลงานเผยแผ่ธรรมของท่านที่เป็นหนังสือนั้น มีอาทิ ธรรมะสำหรับผู้นับถือพระพุทธศาสนา, ดีเพราะมีดี, ทศพิธราชธรรม, วันวิสาขบูชา, การนับถือพระพุทธศาสนา, ปาฐกถาธรรมสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ), โอวาทพระธรรมเทศนาและบทความสมเด็จพระพุฒาจารย์, การดำรงตน, คุณสมบัติ 5 ประการ เป็นต้น
     ซึ่งก็ถือเป็นมรดกธรรมที่ท่านทิ้งไว้แก่ชาวพุทธไทย และกับการมรณภาพของท่านก็อาจถือเป็นคำสอนสุดท้ายแก่ชาวพุทธ ในเรื่องความไม่จีรัง มีเกิดก็ย่อมมีดับ

 :25: :25: :25:

ทั้งนี้ ในวันวิสาขบูชา เมื่อปี 2551 “สมเด็จเกี่ยว-สมเด็จพระพุฒาจารย์” ท่านได้กล่าวสัมโมทนียกถาแก่พุทธศาสนิกชนไว้ ความตอนหนึ่งว่า... “ที่เราอยู่กันได้ในปัจจุบันนี้ เพราะมีขันติธรรม มีน้ำอดน้ำทนในทุกระดับ มารดา บิดา มีน้ำอดน้ำทน จึงสามารถเลี้ยงบุตรธิดาได้ ผู้บริหารประเทศชาติบ้านเมืองต้องมีน้ำอดน้ำทน จึงจะสามารถบริหารประเทศชาติบ้านเมืองไปได้ และที่จะมีน้ำอดน้ำทนได้ดีนั้น เพราะมีสติระลึกได้อยู่เสมอ ผู้นับถือพระพุทธศาสนาจึงควรที่จะได้ตั้งใจให้ดีอย่างมีสติ มีความอดทน รู้จักดำเนินชีวิตแต่พอดี ไม่ให้เกิดความเดือดร้อน แม้จะมีปัญหาใด ๆ ก็ช่วยกันแก้ไข เพื่อนำชีวิตของตนไปสู่ความร่มเย็น”
    ซึ่งนี่ก็นับเป็นอีก “มรดกธรรม” ที่ท่านได้ทิ้งไว้ และมีความ “ร่วมสมัย” อย่างยิ่ง ควรอย่างยิ่งที่ชาวพุทธในทุกแวดวงจะได้รับไว้ปฏิบัติกันทั่วหน้า...



(http://www.khaosod.co.th/news-photo/khaosod/2010/08/p0161080853p1.jpg)

กล่าวสำหรับ “สมเด็จวัดปากน้ำ-สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์” ซึ่งมหาเถรสมาคมมีมติให้ท่านเป็นประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช แทนสมเด็จเกี่ยว ข้อมูลในเว็บไซต์วัดปากน้ำ ระบุไว้ว่า ท่านมีนามและสกุลเดิมว่า ช่วง สุดประเสริฐ เกิดเมื่อวันพุธที่ 26 ส.ค. 2468 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 10 ปีฉลู อายุวัฒนมงคลท่านกำลังจะครบ 88 ปี ด้วยพรรษาที่ 68 ซึ่งเดิมท่านเป็นชาว ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ บิดา-มารดาชื่อ นายมิ่งและนางสำเภา สุดประเสริฐ ท่านเรียนจบชั้น ป.4 ที่โรงเรียนประชาบาลวัดสังฆราชา เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ

 :25: :25: :25:

ออกบรรพชาเมื่ออายุ 14 ปี ณ วัดสังฆราชา มีพระครูศีลาภิรัต (ทอง) วัดลาดกระบัง เป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อมาอุปสมบทเมื่อวันศุกร์ที่ 11 พ.ค. 2488 ณ วัดปากน้ำภาษีเจริญ นามฉายาว่า “วรปุญฺโญ” มีพระครูบริหารบรมธาตุ (ป่วน เกสโร) วัดนางชี เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) เป็นกรรมวาจาจารย์ ภายหลังบวชเรียนท่านได้ศึกษาทางธรรมสำเร็จตามลำดับ ดังนี้คือ

     2484 นักธรรมชั้นโท,  ปี 2490 นักธรรมชั้นเอก,
     ปี 2492 เปรียญธรรม 7 ประโยค, ปี 2497 เปรียญธรรม 9 ประโยค
     ปี 2499 ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ “พระศรีวิสุทธิโมลี”,
     ปี 2505 เป็นพระราชาคณะชั้นราช ที่ “พระราชเวที”, 
     ปี 2510 เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ที่ “พระเทพวรเวที”,
     ปี 2516 เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่ “พระธรรมธีรราชมหามุนี”,
     ปี 2530 เป็นพระราชาคณะ เจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฏ ที่ “พระธรรมปัญญาบดี”,
     ปี 2538 ได้รับพระราชทานสถาปนาสมณศักดิ์ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ชั้นสุพรรณบัฏ ที่ “สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์” และเป็นประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ในขณะนี้


(http://www.dhammakaya.net/wp-content/uploads/2012/01/Dhammachai-01.jpg)

สมเด็จวัดปากน้ำ ท่านผูกพันกับการฝึกอบรม “พระนวกะ” หรือพระใหม่ ตลอดจน “พระธรรมยุต” อีกทั้งท่านยังให้ความสำคัญกับการสั่งสอนอบรมศึกษา ซึ่งครั้งหนึ่งท่านได้กล่าวสัมโมทนียกถาแก่พระนวกะไว้ ความว่า... การอบรมบ่มนิสัยในจริยาของพระสงฆ์ มีความสำคัญมาก โดยให้ยึดหลักปฏิบัติตน 3 ประการ คือ
    1. รู้จักรักษากายและวาจา
    2. รู้จักรักษาใจและควบคุมใจ
    3. ต้องเพิ่มพูนความรู้อยู่เสมอ การเป็นพระไม่ใช่จะบวชเพื่อบิณฑบาตเท่านั้น แต่ต้องศึกษาเล่าเรียนทางพระพุทธศาสนาด้วย ซึ่งนี่ก็นับว่าเป็นคำสอนที่ร่วมสมัยสำหรับพระสงฆ์ในปัจจุบัน

ทั้งนี้ “สมเด็จวัดปากน้ำ-สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์” ท่านได้เคยกล่าวไว้อีกว่า... “การฝึกใจเป็นเรื่องยาก ใจเปรียบเหมือนลิง ไม่นิ่ง การฝึกกรรมฐานจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การควบคุมจิตใจง่ายขึ้น” ...ซึ่งนี่ก็นับเป็นข้อธรรมที่ไม่เพียงแต่พระสงฆ์ควรสดับ-ปฏิบัติ แต่ยังถือเป็นหลักธรรมชั้นเลิศที่ชาวพุทธทั่วไปก็ควรให้ความสำคัญ
   
@@@@@

ธรรมแห่ง “สมเด็จเกี่ยว-สมเด็จพระพุฒาจารย์” และ “สมเด็จวัดปากน้ำ-สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์” ในส่วนของขันติธรรมสำหรับชาวพุทธ และการฝึกจิตคุมใจให้อยู่ในธรรมของชาวพุทธ แม้จะเป็นเพียง 2 ส่วนจากหลักธรรมโดยรวม แต่หากพุทธศาสนิกชนปฏิบัติได้ ก็จะเป็น มงคลต่อชีวิต ต่อสังคมไทย ต่อประเทศไทยโดยรวม   

ด้วย “วิถีธรรม...แห่ง 2 สมเด็จ”.

ทีมวิถีชีวิต รายงาน


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.dailynews.co.th/article/392/228347 (http://www.dailynews.co.th/article/392/228347)
ttps://sphotos-a-ord.xx.fbcdn.net/
http://image.mcot.net/ (http://image.mcot.net/)
http://www.khaosod.co.th/ (http://www.khaosod.co.th/)
http://www.dhammakaya.net/ (http://www.dhammakaya.net/)