หัวข้อ: กรณีมิตซูโอะ คเวสโก "ปฏิบัติกับสตรีโดยขาดสติ" ลองมาอ่านพุทธพจน์ เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ สิงหาคม 29, 2013, 07:06:23 am (http://www.matichon.co.th/online/2013/08/13776011361377601300l.jpg) กรณีมิตซูโอะ คเวสโก โดย นวพร เรืองสกุล พระภิกษุชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาบวชในสายหลวงปู่ชา และใช้ชีวิตในร่มเงาพระพุทธศาสนามายาวนาน เป็นอาจารย์ที่มีศิษย์จำนวนมาก เมื่อถึงคราลาสิกขา ย่อมสร้างความสนใจใคร่รู้ เมื่อไม่รู้ในเวลาอันเหมาะสมจากแหล่งข่าวที่เหมาะสม และต่อมาก็รู้ในลักษณะที่เกินคาดหมาย ผ่านสื่อสังคมอิเล็กทรอนิกส์ กระแสวิพากษ์วิจารณ์จึงมีมากมาย สิ่งที่น่าจะได้มาจากกรณีนี้คือ (1) บทเรียนว่าด้วยการบริหารจัดการข่าว (2) ได้ทดสอบความ "แม่น" ในพระธรรมวินัย ของแต่ละคน วัดป่าสุนันทาราม ออกข่าวเรื่องพระภิกษุมิตซูโอะ คเวสโก ลาสิกขา โดยทางวัดกล่าวจะแจ้งเหตุผลในภายหลัง แต่ก็เงียบหายไร้ข่าวอย่างเป็นทางการจากวัดหรือภิกษุในข่าว ความเงียบในเรื่องของภิกษุผู้อยู่ในสถานะเป็นอาจารย์มีลูกศิษย์ทั่วไป และเขียนหนังสือที่แจกกันอย่างแพร่หลาย ย่อมสร้างข่าวลือ และข่าวลือไม่เคยเป็นคุณต่อใคร นี่เป็นบทเรียนสำคัญด้านประชาสัมพันธ์ ที่ทราบกันดีแต่ก็พลาดกันครั้งแล้วครั้งเล่า :sign0144: :sign0144: :sign0144: ข่าวมาแพร่ทางสื่อด้วยภาพหวานแหววของฆราวาสมิตซูโอะ กับสตรีนางหนึ่ง พร้อมกับข้อความอันแสดงถึงความสนิทเสน่หา ไปในทำนองที่ว่า "ความรักเหมือนโรคา บันดาลตาให้มืดมน ไม่ยินและไม่ยล อุปสรรคใดใด ความรักเหมือนโคถึก กำลังคึกผิขังไว้ ก็โลดจากคอกไป บ่ยอมอยู่ ณ ที่ขัง ถึงหากจะผูกไว้ ก็ดึงไปด้วยกำลัง ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง บ่ หวนคิดถึงเจ็บกาย" (มัธนะพาธา) สานุศิษย์บางรายผิดหวัง บางรายรับว่าเป็นกรรมเก่าที่ผูกพันกันมา บางรายสรุปว่า "ดีกว่าทำในผ้าเหลือง" และบางรายเสนอด้วยว่า "ถ้าไม่พอใจเป็นผู้ครองเรือน จะบวชใหม่ก็ได้" ทั้งหมดนี้เกิดเป็นคำถามหลายคำถามที่ต้องหาคำตอบ :welcome: :welcome: :welcome: เรื่องกรรมเก่า ถ้าหากเชื่อเรื่องกรรมและผลของกรรมตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เราต้องเชื่อว่า กรรมในปัจจุบันสำคัญ มิใช่ว่าทุกอย่างในวันนี้เกิดจากกรรมเก่า (เป็นกรรมลิขิต แบบพรหมลิขิต) ถ้าเชื่อเช่นนั้น มนุษย์เราคงไม่สามารถพัฒนาตนเองได้ในทางธรรม กรณีที่เกิดขึ้นตอบได้เพียงว่า ในชาตินี้พระภิกษุผู้ออกบวชด้วยมุ่งหวังบรรลุโลกุตรธรรม ได้เปลี่ยนเส้นทางชีวิตหวนกลับไปหาโลกียวิสัยแล้ว ถ้าจะโทษกรรมเก่า ก็ต้องบอกว่า นี่เป็นการพ่ายแพ้ต่อกรรมเก่า กรณีการทำผิดหรือไม่ผิดพระวินัย และการบวชใหม่ ขอทวนพระวินัยกันก่อน ถ้าเชื่อได้แน่ว่า ไม่ได้เสพสังวาสกับสตรีระหว่างอยู่ในผ้าเหลือง ก็ไม่ผิดวินัยถึงปาราชิก สามารถบวชใหม่ได้ แต่ถ้าผิดวินัยข้อนี้ ถือว่าพ่ายแพ้ต่อโลกียวิสัย ขาดจากความเป็นภิกษุ แม้ไม่สึกก็ไม่ใช่พระอีกต่อไป จะบวชอีกได้หรือ ความจริงในเรื่องนี้มีคนอย่างน้อยที่สุดก็เพียง 2 คนเท่านั้นที่รู้ ask1 ask1 ask1 พระวินัยข้ออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสตรีมีอีกมาก เพื่อป้องกันผู้อยู่ในเพศบรรพชิตมิให้ตกลงไปในบ่วงเสน่หา ที่ร้อยรัดสัตว์โลกไว้ในสังสารวัฏ เช่น - การลูบคลำร่างกายหญิงด้วยความจงใจ และพูดเกี้ยวหญิง ผิดในระดับสังฆาทิเสส ต้องสารภาพต่อภิกษุอื่น และอยู่ปริวาสกรรมตามที่ภิกษุร่วมกันกำหนด - นั่งในที่ลับตา หรือลับหู สองต่อสองกับหญิง เป็นพระวินัยระดับอนิยตะ ความผิดไม่ชัดเจน ต้องสอบสวนก่อนตัดสินว่า เป็นปาราชิก สังฆาทิเสส หรืออาบัติระดับปาจิตตีย์ (คือแสดงอาบัติ และจะไม่ทำอีก) - ส่วนพระวินัยระดับปาจิตตีย์ ที่ละเมิดแล้วต้องแสดงอาบัติ เกี่ยวกับสตรี (รวมภิกษุณี) มีอีกหลายข้อ เช่น ห้ามสอนภิกษุณีตั้งแต่พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว - ห้ามเข้าไปสอนถึงที่อยู่เว้นแต่พระภิกษุณีเจ็บป่วย (การอ้างเจ็บป่วย ต้องการภิกษุมาเทศน์โปรดถึงในห้อง สองต่อสอง สึกพระมาแล้วตั้งแต่สมัยพุทธกาล) - ห้ามเดินทางไกลร่วมกับภิกษุณี เว้นแต่ทางมีอันตราย ห้ามลงเรือ (คงหมายถึงโดยสารยานพาหนะ) ร่วมกับภิกษุณี เว้นแต่ข้ามฟาก (คงหมายถึงยานพาหนะรับจ้างเป็นสาธารณะ) - ห้ามชวนหญิงเดินทางร่วมกัน - ห้ามพูดสองต่อสองกับหญิงเกิน 6 คำ เว้นแต่มีผู้ชายรู้เดียงสาอยู่ด้วย - ห้ามอยู่ในห้องสองต่อสองกับหญิง - ห้ามอยู่ในที่ลับหูสองต่อสองกับหญิงแม้เป็นที่แจ้ง (ที่ลับหูคือพูดกันคนอื่นไม่ได้ยิน) การที่พระภิกษุรูปหนึ่งจะรักใคร่เสน่หากับใครนั้น หากว่าไม่ได้เคยผิดพระวินัยข้ออื่นๆ มาก่อน ก็นับว่าได้ประพฤติตนเคร่งครัดดี แต่ถ้าเคยผิดแล้วไม่ได้แสดงอาบัติ ก็ต้องตั้งข้อกังขา ถ้าแสดงอาบัติไว้แล้ว และเกิดขึ้นบ่อยกับสตรีคนเดียวกัน นับว่าคนในสำนักน่าจะระแคะระคายมาบ้างแล้ว :96: :96: :96: พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องการวางท่าทีต่อสตรีไว้ในมหาปรินิพพานสูตร (ข้อ 132) ดังนี้ พระอานนท์ถาม "พวกข้าพระองค์จะปฏิบัติในมาตุคามอย่างไร" พระพุทธเจ้าตอบ "ไม่ดู อานนท์" "เมื่อมีการดู จะพึงปฏิบัติอย่างไร" "ไม่พูดด้วย อานนท์" "เมื่อมีการพูด จะพึงปฏิบัติอย่างไร" "พึงตั้งสติไว้ อานนท์" ans1 ans1 ans1 ควรที่เหล่าสตรีที่ต้องการรักษาภิกษุที่ตั้งใจครองเพศบรรพชิต ให้ดำรงอยู่ในเพศบรรพชิตได้ตลอดชีวิต พึงระมัดระวังตนเองด้วย เช่น ไม่ไปประจ๋อประแจ๋ ใกล้ชิดสนิทสนมกับภิกษุให้มากนัก ควรระลึกไว้เสมอว่า พระภิกษุที่ครองผ้ากาสาวพัสตร์อยู่นั้น แท้ที่จริงท่านก็คือปุถุชนแบบเราๆ นี่เอง ยังวอกแวก ฟุ้งซ่านด้วยตัณหาราคะอันละได้ยากอยู่เช่นกัน ที่แตกต่างกับเราๆ ที่เป็นคฤหัสถ์ ก็ตรงที่ท่านได้แสดงตนว่า ท่านต้องการปฏิบัติตนเพื่อความหลุดพ้น ก็ควรที่จะช่วยท่านให้สมความตั้งใจของท่าน พระวินัยของภิกษุจึงเป็นสิ่งที่อุบาสก อุบาสิกา และเหล่าฆราวาสควรจะรู้ด้วย เพื่อกำกับตนและกำกับดูแลภิกษุไปพร้อมๆ กัน ร่วมเป็นแฟนเพจเฟซบุ๊คกับมติชนออนไลน์ www.facebook.com/MatichonOnline (http://www.facebook.com/MatichonOnline) ขอบคุณภาพและบทความจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1377601136&grpid=01&catid=&subcatid= (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1377601136&grpid=01&catid=&subcatid=) |