หัวข้อ: ยลเสน่ห์ “นางอัปสราสุดสวย”- “ทับหลังแห่งพนมรุ้ง” ในเส้นทางปราสาทหินถิ่นอีสานใต้ เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ สิงหาคม 31, 2013, 11:22:47 am ยลเสน่ห์ “นางอัปสราสุดสวย”- “ทับหลังแห่งพนมรุ้ง” ในเส้นทางปราสาทหินถิ่นอีสานใต้ (http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2770163) ปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทหินขึ้นชื่อแห่งบุรีรัมย์ “ขอม” ในสมัยโบราณ ใช่เขมรในปัจจุบันหรือไม่ บ้างก็บอกว่าใช่ บ้างก็บอกว่าไม่นั้น ทำให้ยังเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง และยังไม่มีใครสามารถตอบคำถามนี้ได้อย่างชัดเจน แต่ไม่ว่าขอม หรือเขมร จะมาจากที่เดียวกันหรือไม่ สิ่งที่เห็นได้ชัดคืออารยธรรมของขอมโบราณ ที่ยังปรากฏหลักฐานผ่านโบราณสถานให้เห็นเด่นชัดมาจนถึงปัจจุบัน และในบ้านเราก็มีโบราณสถานสำคัญๆ ให้เห็นอยู่หลายๆ แห่งทางภาคอีสาน โดยเฉพาะบรรดาปราสาทหินทั้งหลายในแถบอีสานตอนใต้ ที่ถือเป็นอู่อารยธรรมขอมโบราณที่สำคัญของในประเทศไทย อันนำมาสู่การออกทัวร์เยือน 4 ปราสาทหิน ใน 3 จังหวัดอีสานใต้ ของ “ตะลอนเที่ยว ในทริปนี้” (http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2765990) ปราสาทสระกำแพงใหญ่ จ.ศรีสะเกษ สำหรับปราสาทแรก เราเริ่มต้นกันที่ “ปราสาทสระกำแพงใหญ่” หรือ “ปราสาทศรีพฤทเธศวร” ตั้งอยู่ภายในวัดสระกำแพงใหญ่ ถนนประดิษฐ์ประชาราษฎร์ อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ บริเวณริมทางหลวงหมายเลข 226 ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัว อ.อุทุมพรพิสัย มากนัก ปราสาทสระกำแพงใหญ่ เป็นปราสาทขอมที่มีขนาดใหญ่และสมบูรณ์ที่สุดในจังหวัดศรีสะเกษ องค์ประกอบสำคัญของปราสาทแห่งนี้ก็คือ ปรางค์ หรือ ปราสาท อันเป็นศูนย์กลางของศาสนสถาน ที่นี่มีปรางค์ทั้งหมด 4 หลัง โดยปรางค์ 3 หลังจะตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน และเรียงตัวในแนวเหนือ-ใต้ ตรงกลางคือปรางค์ประธาน ส่วนปรางค์เดี่ยวอีกหลังตั้งอยู่ด้านหลังของปรางค์องค์ทิศใต้ (http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2765991) ภาพแกะสลักทับหลังยังคงมีให้เห็นอยู่ทุกซุ้มประตู ถัดออกมา จะเป็นวิหาร 2 หลัง หรืออาจจะเรียกว่าบรรณาลัย ซึ่งใช้เป็นที่เก็บคัมภีร์ทางศาสนา ส่วนด้านนอกของวิหารจะมีระเบียงคดล้อมรอบ และมีโคปุระ (ซุ้มประตู) อยู่ทั้ง 4 ทิศ แต่ปัจจุบันหลงเหลือให้เห็นเพียงฐานและผนังบางส่วนเท่านั้น เนื่องจากผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานแล้ว (http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2765992) ทับหลังภาพพระกฤษณะประลองกำลังกับม้า สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างของปราสาทสระกำแพงใหญ่ ก็คือ ภาพจำหลักบนทับหลัง ที่ส่วนใหญ่แล้วเล่าเรื่องราวที่เป็นคติความเชื่อทางศาสนา เช่นในวิหารก็จะพบทับหลังสลักภาพพระนารายณ์บรรทมสินธุ์อยู่เหนือพระยาอนันตนาคราชท่ามกลางเกษียรสมุทร และทับหลังภาพพระอิศวรกับพระอุมาประทับนั่งเหนือโคนนทิ เป็นต้น สำหรับการสืบค้นว่าปราสาทสระกำแพงใหญ่นั้นสร้างขึ้นเมื่อใด นักโบราณคดีพิจารณาจากหลักฐานลวดลายที่ปรากฏอยู่บนหน้าบัน ทับหลัง และโบราณวัตถุต่างๆ โดยเฉพาะจากรึกปราสาทสระกำแพงใหญ่บริเวณกรอบประตูระเบียงคต สรุปได้ว่า ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 16 ตรงกับศิลปะขอมแบบบาปวน เพื่อเป็นเทวาลัยถวายแด่พระศิวะตามความเชื่อของศาสนาฮินดู โดยพบหลักฐานเป็นข้อความในจารึกกล่าวถึงการซื้อที่ดินถวายเจ้านายผู้ล่วงลับคือ “กมรเตงชคตศรีพฤทเธศวร” อันเป็นที่มาของชื่อ “ปราสาทศรีพฤทเธศวร” ส่วนชื่อ “ปราสาทสระกำแพงใหญ่” นั้นเป็นชื่อที่คนในสมัยปัจจุบันเรียก โดยตั้งชื่อตามลักษณะทางกายภาพที่พบเห็น เพราะที่นี่เป็นปราสาทที่มีกำแพงสูงล้อมรอบ และมีสระน้ำ (บาราย) อยู่ใกล้ๆ กับปราสาท ปัจจุบันปราสาทแห่งนี้อยู่ในความดูแลของกองโบราณคดี กรมศิลปากร และได้มีการขุดค้นพบโบราณวัตถุจำนวนมาก เช่นทับหลังจำหลักภาพศิวะนาฏราช, พระกฤษณะยกเขาโควรรธนะและยังพบพระพุทธรูปนาคปรก, พระพุทธรูปปางสมาธิ, พระพิมพ์ดินเผา ฯลฯ (http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2770164) ปราสาทศีขรภูมิ สุรินทร์ จากนั้นข้ามจังหวัดไปต่อยัง “ปราสาทศีขรภูมิ” ตั้งอยู่ที่ ต.ระแงง อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ ปราสาทแห่งนี้เป็นปราสาทขนาดเล็ก ศิลปะขอมแบบบาปวนผสมนครวัด สร้างขึ้นราวปลาย พุทธศตวรรษที่ 16 ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 17 เป็นเทวสถานของศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย ตัวปราสาทประกอบไปด้วยปรางค์อิฐ 5 องค์ ตั้งอยู่บนฐานเดียวกันยกพื้นสูง มีบารายล้อมรอบ 3 ด้าน มีองค์กลางเป็นปรางค์ประธาน ก่อด้วยหินทราย ศิลาแลง และอิฐ ซึ่งเป็นการแยกให้เห็นถึงยุคสมัยในการก่อสร้างและการบูรณะอย่างชัดเจน ตัวประสาทประธานองค์กลาง ถือเป็นศูนย์รวมผลงานมาสเตอร์พีซระดับสุดยอดแห่งสยามอยู่ 2 จุดด้วยกัน (http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2765995) ทวารบาลยืนถือกระบองประกบอยู่ด้านข้างนางอัปสรา จุดแรกคือภาพสลักนางอัปสราที่ถูกยกย่องว่าสวยงามและสมบูรณ์ที่สุดในเมืองไทย ในบริเวณกรอบประตูด้านหน้าทั้ง 2 ด้านของปรางค์ประธาน เป็นภาพนางอัปสราแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างสวยงามรูปร่างสมส่วน และด้านข้างนางอัปสรามีทวารบาลยืนถือกระบองประกบอยู่ด้านข้างทั้ง 2 นาง (http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2765994) ทับหลังสลักเรื่องพระศิวะ 3 ตอน ที่ได้ชื่อว่าสวยงามและสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย จุดที่สองคือทับหลังสลักเรื่องพระศิวะ 3 ตอน และได้ชื่อว่าสวยงามและสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย เป็นรูปพระศิวะกำลังฟ้อนรำ บนแท่นมีหงส์ 3 ตัวแบกอยู่เหนือเศียรเกียรติมุขมีรูปพระคเณศ พระพรหม พระวิษณุ และนางอุมา อยู่ด้านล่าง แกะสลักอย่างสวยงามประณีตอ่อนช้อย นับได้ว่าปราสาทเล็กๆ อย่างศีขรภูมิ ในด้านของความงามนั้นถือว่ายิ่งใหญ่เกินตัวไม่น้อย (http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2765993) ภาพนางอัปสราที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย ณ ปราสาทศีขรภูมิ ส่วนปรางค์บริวารพบทับหลัง 2 ชิ้น เป็นภาพกฤษณาวตารทั้งสองชิ้น ชิ้นหนึ่งเป็นภาพกฤษณะฆ่าช้างและคชสีห์ ส่วนอีกชิ้นหนึ่งเป็นภาพพระกฤษณะฆ่าคชสีห์ ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย จ.นครราชสีมา (http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2765996) ปราสาทเมืองต่ำมีสระน้ำล้อมรอบ จาก จ.สุรินทร์ถิ่นช้างใหญ่เรามุ่งหน้าต่อไปยังเมืองฟุตบอลเลื่องชื่อ คือ จ.บุรีรัมย์ เพื่อไปสัมผัสกับเสน่ห์ของ 2 สุดยอดปราสาทขอมโบราณแห่งสยามประเทศ เริ่มจาก “ปราสาทเมืองต่ำ” ตั้งอยู่ที่ อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ ห่างจากปราสาทพนมรุ้งมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 8 กิโลเมตร ปราสาทเมืองต่ำเป็นปราสาทหินศิลปะขอมแบบปาปวน สันนิษฐานว่า สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 16 - 18 (หรือประมาณ 1,000 ปีมาแล้ว) เพื่อเป็นเทวสถานของลัทธิฮินดูไศวนิกาย ที่นับถือพระศิวะ หรือ พระอิศวรเป็นเทพสูงสุด นับว่ามีอายุมากกว่าปราสาทหินพนมรุ้งและนครวัดประมาณ 100 ปี แต่มีอายุเท่าๆ กับปราสาทเขาพระวิหารเพราะสร้างในช่วงสมัยเดียวกัน ซึ่งตรงกับเวลาที่พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ครองราชย์อยู่ที่เมืองพระนครหลวง (เขมร) ในสมัยนั้น (http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2765997) ทับหลังรูป “พระอินทร์นั่งประทับบนตัวหน้ากาล” ปราสาทเมืองต่ำแม้จะมีขนาดไม่ใหญ่โตนัก แต่ก็มีหลายสิ่งที่น่าสนใจ โดยแผนผังของปราสาทแห่งนี้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ล้อมรอบด้วยกำแพงมีความสูงเกือบ 3 เมตร ภายนอกปราสาทมีสระน้ำล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน เมื่อผ่านซุ้มประตูกำแพงแก้วเข้าไปจะพบกับระเบียงคดและซุ้มประตูอีกชั้นหนึ่ง ลักษณะเป็นปราสาทอิฐ 5 องค์ ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน องค์ปราสาทก่อด้วยอิฐเรียงเป็น 2 แถว แถวหน้า 3 องค์ และแถวหลังอีก 2 องค์ กลุ่มปราสาทอิฐทั้ง 5 องค์ แสดงสัญลักษณ์แทนเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ในปราสาทเมืองต่ำก็มีจุดเด่นอยู่หลายจุดด้วยกันเริ่มด้วยจุดแรกที่ “หน้าบัน” เป็นรูป “พระอินทร์” ประทับนั่งบนช้างเอราวัณ โดยมีตัวหน้ากาลซึ่งหน้าตาคล้ายสิงห์อยู่ข้างล่าง ท่ามกลางลวดลายสลักรูปดอกไม้ และหากสังเกตให้ดีๆ ที่มุมสามเหลี่ยมซ้าย-ขวาข้างหน้าบัน จะสลักเป็นรูปนาค 5 หัวอยู่ทั้งสองข้าง จุดที่สองจะเป็น “โคปุระหรือซุ้มประตูชั้นนอก” ที่มีประตูสามบาน คือบานเล็กซ้าย-ขวา และบานประตูกลางบานใหญ่เป็นบานสำคัญ (http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2765999) “หน้าบัน” รูปพระอินทร์ประทับนั่งบนช้างเอราวัณ เมื่อเดินผ่านประตูนี้ไปก็จะพบกับ “บาราย” หรือที่เรียกกันว่า “สระหัวนาค” มีลักษณะเป็นสระน้ำขนาดย่อม ที่สร้างตามความเชื่อเรื่องคติจักรวาลคือ บารายที่ขุดรายรอบสี่ด้านของปราสาทนั้นเปรียบดังมหาสมุทรที่รายรอบเขาพระสุเมรุ ส่วนพื้นที่ปราสาทตรงกลางนั้น มีปราสาทอยู่ห้าองค์โดยองค์กลางหมายถึงเขาไกรลาสที่ประทับของพระศิวะ นอกจากนี้ภายในปราสาทเมืองต่ำยังมีภาพสลักหินบนทับหลังซุ้มประตูด้านตะวันออกรูป “พระอินทร์นั่งประทับบนตัวหน้ากาล” ท่ามกลางลวดลายประดับรอบๆ ที่ดูสวยงามลงตัว ซึ่งเชื่อว่าพระอินทร์จะช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้ายไม่ให้เข้าสู่ภายในปราสาท ส่วนซุ้มประตูชั้นในมีซากของฐานบรรณาลัย ที่สันนิษฐานว่าสร้างไว้เพื่อเก็บคัมภีร์ โดยปัจจุบันเหลือเพียงส่วนฐานของอาคาร และยังมีลวดลายสลักต่างๆ อีกมากมายให้ได้ยลกันอย่างเพลิดเพลิน (http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2770165) ปราสาทพนมรุ้ง กับซุ้มประตูทางเดินที่โดดเด่นไปด้วยภาพสลักหินอันงดงาม สำหรับในทริปนี้ “ตะลอนเที่ยว” ขอปิดท้ายกันด้วย “ปราสาทพนมรุ้ง” หรือ “ปราสาทหินพนมรุ้ง” ที่ตั้งอยู่ภายในอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ ปราสาทพนมรุ้งเป็นปราสาทที่ได้รับการยอมรับว่างดงามที่สุดในเมืองไทย คำว่า “พนมรุ้ง” หรือ “วนํรุง” เป็นภาษาเขมรแปลว่าภูเขาใหญ่ ตัวปราสาทตั้งอยู่บนยอดภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว (http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2766000) ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ณ ปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทพนมรุ้ง เป็นเทวสถานในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย มีการบูรณะก่อสร้างอย่างต่อเนื่องกันมาหลายสมัย ตั้งแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 15 - 17 ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ 18 พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งอาณาจักรขอมได้หันมานับถือพุทธศาสนาลัทธิมหายาน เทวสถานแห่งนี้จึงได้รับการดัดแปลงเป็นพุทธศาสนสถานในช่วงนั้น (http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2766001) หน้าบันศิวนาฏราชกำลังฟ้อนรำอยู่เหนือทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ความงดงามและเสน่ห์ของปราสาทพนมรุ้งนั้นมีมากมาย เริ่มตั้งแต่เส้นทางเดินสู่ปราสาทซึ่งเปรียบเสมือนจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์และสรวงสวรรค์ นอกจากนี้แล้วตัวปราสาทหินทรายสีชมพูที่แห่งนี้ ยังมีสิ่งน่าสนใจให้ชื่นชมกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็น หน้าบันรูป “พระกฤษณะปราบนาคกาลียะ” เป็นภาพสลักเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับอวตารของพระพิษณุ ตอนกฤษณาวตาร หรือองค์ปรางค์ประธาน ตัวเรือนธาตุที่ภายในมีห้องครรภคฤหะ ประดิษฐานศิวลึงค์รูปเคารพสำคัญของลัทธิไศวนิกาย โดยมีท่อโสมสูตรหรือร่องรับน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ได้จากพิธีกรรมเซ่นสังเวยองค์ศิวเทพต่อยาวมาให้เห็นอย่างชัดเจน (http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2766002) ภาพสลักพระกฤษณะต่อสู้กับสิงห์ (ปราบอสูรวัตสะ) สำหรับไฮไลต์อีกอย่างหนึ่งของปราสาทพนมรุ้งที่โดดเด่นกว่าที่ไหนก็จะเป็น “ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์และศิวนาฏราชที่อยู่เคียงคู่กัน” ที่ยังคงมีรายละเอียด และความงดงามในการแกะสลักให้เห็นอย่างเด่นชัด และเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของปราสาทหินพนมรุ้ง คือในช่วงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 (นับแบบไทย) หรือช่วงเดือนเมษายนของทุกปีพระอาทิตย์ในยามเช้าจะสาดแสงลอดทะลุซุ้มประตูของตัวปราสาททั้ง 15 ช่อง เป็นแนวเดียวกัน :49: :49: :49: ปราสาทสระกำแพงใหญ่ - ตั้งอยู่ภายในวัดสระกำแพงใหญ่ ถนนประดิษฐ์ประชาราษฎร์ หมู่ 1 ต.สระกำแพงใหญ่ อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ เปิดทุกวัน (ไม่เสียค่าใช้จ่าย) ปราสาทศีขรภูมิ - ตั้งอยู่ที่ ต.ระแงง อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ เปิดทุกวัน เวลา 08.00 - 16.30 น. อันตราค่าเข้าชม คนไทย 10 บาท/คน, ชาวต่างชาติ 50 บาท/คน ปราสาทเมืองต่ำ - ตั้งอยู่ที่ ตำบลจรเข้มาก อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ เปิดทุกวัน เวลา 06.00 - 18.00 น. อัตราค่าเข้าชม คนไทย 20 บาท/คน, ชาวต่างชาติ 100 บาท/คน ปราสาทพนมรุ้ง - ที่ตั้งอยู่ภายในอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ เปิดทุกวัน เวลา 06.00 - 18.00 น. อัตราค่าเข้าชม คนไทย 20 บาท/คน, ชาวต่างชาติ 100 บาท/คน หมายเหตุ *ปราสาทเมืองต่ำและปราสาทพนมรุ้ง สามารถซื้อบัตรแบบเหมาเข้าชม 2 ที่ได้ อัตราค่าเข้าชมรวม 2 ที่ คนไทย 30 บาท/คน, ชาวต่างชาติ 150 บาท/คน ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000098879 (http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000098879) |