หัวข้อ: ความเป็นอนัตตา เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กันยายน 01, 2013, 10:34:21 am (http://statics.atcloud.com/files/entries/7/73292/images/1_original.jpg) ความเป็นอนัตตา ในจักรวาลนี้เราอยู่ในระนาบเดียวกัน โลกธาตุอยู่ในจักรวาลธาตุที่ประกอบไปด้วยธาตุต่างๆ พระพุทธเจ้าบอกว่ามีหมื่นโกศจักรวาลที่เป็นจักรวาลธาตุ แต่ดวงจิตของเราอยู่ในจักรวาลนี้ เพราะฉะนั้นเราก็รู้อยู่แต่ในจักรวาลนี้ รู้ในจักรวาลที่เป็นแดนเกิดของเรา จักรวาลธาตุที่พูดถึงกันนี้เป็นสมมติบัญญัติในจิตเรา แต่เบื้องลึกลงไป แม้แต่จักรวาลที่เราพูดถึงก็ไม่มีอยู่ คือความเป็นอนัตตา มันไม่ใช่มีแต่โลกธาตุเป็นอนัตตา จักรวาลธาตุก็เป็นอนัตตา แท้ที่จริงแล้วการตั้งอยู่เป็นตัวตน มันไม่มีตั้งแต่ต้นแล้ว อย่างเรามองขึ้นไปในท้องฟ้า ภาพที่เราเห็นนี่ไม่ใช่ความจริงแม้แต่น้อย แต่มันเป็นภาพเมื่อหลายล้านปีที่แล้ว เราเห็นภาพในอดีต ดาวบางดวงอยู่ไกลจากเราหลายล้านปีแสง เฉพาะแสงเดินทางอย่างเดียวมันก็หลายล้านปีมาแล้ว ภาพที่เราเห็นดวงดาวมันก็คือภาพดาวเมื่อหลายล้านปีมาแล้ว เราเห็นภาพในอดีต :welcome: :welcome: :welcome: ในความเป็นจริงจักรวาลแตกสลายไปตั้งนานแล้ว แต่เราอยู่ด้วยเงื่อนไขของเวลา เหมือนนกที่เกาะอยู่บนเสาไฟ แล้วมีนายพรานมายิงนกตัวนั้น ขณะที่นายพรานปล่อยคันธนูออกไป นกนั้นได้ตายไปแล้ว นกตัวนั้นมีชีวิตอยู่ได้ด้วยเงื่อนไขของกาลเวลา แค่กาลเวลาที่ลูกธนูจากคันธนูมากระทบตัวเท่านั้น แต่ว่าจริงๆ คือชีวิตได้หมดไปตั้งแต่ลูกธนูโดนปล่อยออกมาแล้ว เหมือนกับโลกนี้ที่อยู่ด้วยเงื่อนไขของเวลา จักรวาลได้ระเบิดไปแล้ว แต่การเดินทางของแสงใช้เวลาหลายล้านปีแสง ภาพที่เราเห็นก็ไม่ใช่ความเป็นจริงต่อไป (http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=1539330) สิ่งที่ควบคุมจักรวาลคือจิต หรือจิตจักรวาลแท้ที่จริงแล้วมันเชื่อมได้ด้วยจิตของเรา มันเป็นสิ่งเดียวกัน มันเชื่อมถึงกัน เมื่อจิตของเราถึงอนัตตาแล้ว จิตกับจักรวาลก็รวมกันเป็นหนึ่งไม่แยกจากกัน ไม่มีแบ่งเป็นอะไร ทุกอย่างกลับไปสู่ความเดิมแท้ของมัน จิตเดิมแท้ของมันก็คือ จิตจักรวาลซึ่งเป็นธาตุรู้ไม่มีใครเป็นเจ้าของโลก ในรูปธรรมมันหมุนไปก็เป็นไปตามวัฏจักรของมัน พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก พระอาทิตย์ตกทางทิศตะวันตก พอพระอาทิตย์ตกไปไม่นานก็ขึ้นมาอีก มันเป็นธรรมชาติของมัน อะไรก็ตามที่หมุนเป็นวงกลม เมื่อถึงจุดจุดหนึ่งมันจะหมุนมาที่เดิม ไม่ว่ามันจะกี่หมื่นกี่แสนปี พอถึงจุดเริ่มต้นของมันใหม่มันก็จะกลับมา จุดนั้นที่ว่าก็อยู่ในยุคของเราพอดี แต่ถ้ามันเลื่อนไป มันก็เลื่อนไปหลายร้อยปี ในอดีตมีคนที่รู้เรื่องนี้ดี และทำการเลื่อนภัยพิบัติเหล่านี้มาหลายหน เปลี่ยนแปลงไปด้วยพลังอำนาจจิตที่เชื่อมต่อกับพลังที่เป็นอนัตตาในจักรวาล ans1 ans1 ans1 จิตเมื่อเป็นอิสระจากความคิดแล้ว จิตอาจจะอยู่นิ่งๆ คือ ไม่เกิดอะไรขึ้นเลย เรียกว่าเป็นสมาธิหัวตอ คือ เป็นสมาธิที่ไม่เกิดภูมิปัญญา ไม่เกิดอะไรขึ้นเลย จิตพรากตัวไปอยู่นิ่งๆ เฉยๆ มีปีติ มีความสุข แต่จิตไม่มีปัญญา มันจะไต่ไปถึงปัญญาพระนิพพานไม่ได้ จิตจะจมดิ่งลึกลงไปในความนิ่งมากขึ้นทุกที เพราะจิตคิดว่าการไม่มีความคิดเป็นความสุขแล้ว แต่จิตที่ดำเนินไปในลักษณะนี้ระยะหนึ่ง จิตจะถดถอย คือ จิตเริ่มเบื่อความว่างแล้ว เมื่อจิตถดถอยออกมาในลักษณะนี้ จิตจะไม่มีปัญญา กับอีกลักษณะคือ เมื่อจิตมันเริ่มพรากออกจากความคิดแล้ว จิตรู้ว่า การเป็นอิสระจากความคิดเป็นเช่นนี้ ตัวรู้ปรากฏเด่นชัดขึ้น สติเกิดปรากฏเด่นชัดขึ้น ทีนี้จิตมันไม่ไปจมดิ่งในความนิ่งความว่าง แต่ว่ามันกลับไปเกิดปัญญาพิจารณาขึ้น ตามสภาวธรรม ตามความเป็นจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นต่างๆ จิตดวงนี้มีสติเข้าไปตามรู้ความจริงของมัน ความจริงที่จิตเริ่มรับรู้นั้น เมื่อถึงที่สุดของการรับรู้แล้ว จะเห็นได้ว่าความไม่มีอะไรเลยแม้แต่สักนิดนั้นเป็นอนัตตา คือ ไม่มีอยู่จริงแม้แต่ความว่างที่เกิดจากการทำสมาธิ. ขอบคุณบทความจาก http://www.thaipost.net/tabloid/110813/77662 (http://www.thaipost.net/tabloid/110813/77662) ขอบคุณภาพจาก http://statics.atcloud.com/ (http://statics.atcloud.com/) http://www.manager.co.th/ (http://www.manager.co.th/) หัวข้อ: Re: ความเป็นอนัตตา เริ่มหัวข้อโดย: Dejazz33 ที่ กันยายน 11, 2013, 03:24:40 pm น่าสนใจมากเลยครับ
หัวข้อ: Re: ความเป็นอนัตตา เริ่มหัวข้อโดย: ธุลีธวัช (chai173) ที่ กันยายน 12, 2013, 01:14:25 pm ความเป็นอนัตตา (http://musicblog.gmember.com/wp-content/uploads/2012/04/%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%B2-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A1-The-Star-8-%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B9%8C-%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A1-300x133.jpg) อธิษฐานเลยซิ ดาวแสงเรืองโรจน์เร้น พราวพร่อง ใครใคร่เคียงคู่คล่อง ค่าแคล้ว แสร้งสรรสุขเสื่อมส่อง เสือกใส่ ไสยนา กาลกัปล์กลายก่ายแกล้ว กลอกกลิ้งกล้ำกลืน. ธรรมธวัช.! http://musicblog.gmember.com/2012/04/30/2731 |