หัวข้อ: ธรรมะเป็นธรรมชาติของจิต เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กันยายน 02, 2013, 09:17:36 am (http://www.madchima.net/forum/gallery/11_19_01_13_4_22_35.jpeg) ธรรมะเป็นธรรมชาติของจิต การเข้าถึงธรรมะนั้น จะเห็นได้ว่าธรรมะที่แท้จริงมีความหลากหลายมากมาย การที่มีคนมาบัญญัติว่า “ธรรมะคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าพูด” และนำมาเผยแพร่สั่งสอนนั้น สิ่งนั้นก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด แต่จะเป็นการปิดกั้นภูมิรู้ต่อผู้ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติสมาธิ ผู้ศึกษาธรรม เพราะธรรมะอันเป็นธรรมชาติ ธรรมะอันของเที่ยงแท้นั้นเป็นของกลางๆ ที่ใครก็ตามเข้าใจได้ เข้าถึงได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าพูดหรือนำมาสอนเท่านั้น การเข้าถึงธรรมะจะเป็นการเข้าถึงแบบไร้รูปแบบ มันจะเกิดภายในใจของเราจากการเข้าใจในสรรพสิ่งอันเป็นธรรมชาติ เกิดจากการถอดถอนความคิดเป็นส่วนๆ จนจิตเราเข้าสัมผัสกับธรรมชาติ “ธรรมะเป็นธรรมชาติของจิต” ไม่มีใครเป็นเจ้าของธรรมะนี้ พอเริ่มที่จะยัดเยียดว่าเป็นของของใครคนใดคนหนึ่ง แม้กระทั่งว่าเป็นของพระพุทธเจ้าเท่านั้นถึงจะเป็นธรรมะที่แท้จริง เริ่มมากำหนดความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของว่าเป็นของของฉัน ของของเธอขึ้นมา ธรรมะนั้นจะไม่เป็นธรรมชาติ ans1 ans1 ans1 ธรรมะเป็นของที่มีอยู่แล้ว เราเกิดมาก็แสวงหาแนวทางที่จะเข้าถึงธรรมะ ก็คือแนวทางที่จะเข้าถึงธรรมชาติ ผู้ที่มีความรู้ก็ได้สั่งสอนวิธีที่จะเข้าถึงธรรมะไว้หลายอย่างหลายวิธี ให้ใช้ปัญญาในการไตร่ตรองในวิธีการนั้นๆ แต่การที่ใครมากำหนดกฎเกณฑ์ว่าอะไรถูก-อะไรผิดนั้นไม่ได้ ผู้ปฏิบัติต้องมองให้หลากหลาย สิ่งใดที่ทำให้เราเข้าถึงธรรมได้ ก็ถือว่าเป็นวิธีการที่ใช้ได้ ในขณะเดียวกันวิธีการก็จะต้องไม่เพ้อเจ้อเหลวไหล อะไรก็ตามที่ขาดเหตุผลมากำกับ มันก็อาจจะนำไปสู่วิธีการที่ไม่ถูกต้อง ในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครสามารถไปตีกรอบให้กับธรรมะได้ ว่าจะต้องเป็นอย่างนี้อย่างนั้น ธรรมะไม่มีเป็นของของใคร ใครที่เข้าถึงธรรมชาติได้ คนนั้นเข้าถึงธรรมะได้ แม้กระทั่งการปฏิบัติสมาธิภาวนา พอเรากำหนดจิตเรา ใช้ลมหายใจหรือคำภาวนาเป็นเครื่องรู้ของจิต จิตก็จะกำหนดรู้ในลมหายใจหรือคำภาวนา กำหนดรู้ในความว่างและช่องว่าง จิตก็เริ่มได้สมาธิ (http://www.madchima.net/forum/gallery/11_19_01_13_4_18_49.jpeg) ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าใช้การเทศนาในการอบรมจิต เพราะมนุษย์เข้าใจคำพูด มนุษย์เป็นผู้สอนตัวเองได้เมื่อได้รับแนวทางในการดำรงจิต แต่การพูดนั้นพุ่งตรงไปยังจิต เป็นการพูดแสดงปาฏิหาริย์ พูดไปตรงกับใจของคนฟัง ตรงกับข้อติดขัดทางธรรมะของผู้นั้น เมื่อผู้นั้นไตร่ตรองพิจารณาแล้ว แต่ยังเกิดความติดขัดไม่เข้าใจ พระพุทธเจ้าก็เทศนาในส่วนตรงที่ขาดหายไปของเขา เพื่อให้เขาเกิดความรู้แจ้งขึ้นมา ในสมัยพุทธกาลมีคนที่ฟังเทศนาอันนี้แล้วสามารถสำเร็จมรรคผลนิพพาน ซึ่งเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นการแสดงธรรมอันเป็นปาฏิหาริย์ เมื่อแสดงธรรมตรงกับส่วนที่ขาดหายไปจนเกิดเป็นความเข้าใจ เกิดปัญญาการหลุดพ้น นั่นก็เป็นการเข้าถึงธรรมะด้วยการแสดงธรรมเทศนา ไม่ได้เกิดจากการปฏิบัติที่นั่งเงียบๆ เกิดการหลุดพ้นได้โดยที่จิตไม่จำเป็นต้องไปอยู่ในภาวะญาณ อาการรู้ของใจเมื่อเกิดอาการรู้อย่างแท้จริงจะไม่มีวันเสื่อมถอย จะไม่มีวันลืม เรียกว่าดวงตาเห็นธรรมะขึ้นมา อาการรู้ของจิตในลักษณะนี้เกิดได้หลายวิธี แม้แต่การฟังเทศนาธรรม เพราะแท้ที่จริงแล้ว ธรรมะหรือพระนิพพานไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก ไม่ใช่การทำญาณที่จะต้องอยู่ในภวังคจิตซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากมาย :25: :25: :25: การที่จะได้ธรรมะก็มาจากการทำสมาธิ ซึ่งก็คือก ารอบรมใจให้อยู่ในสภาวะที่มันเป็นตัวของตัวเอง ไม่หลง คือเรารู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นในสภาวะความเป็นจริงที่มันเกิดขึ้น ถ้าเราหลงอยู่ในสมมติบัญญัติต่างๆ ไอ้เจ้าจิตที่เราว่านี้จะไม่รู้ความจริง แต่มันรู้อาการปรุงแต่ง เกิดความหลงเพลิดเพลินไป ทำอย่างหนึ่งก็ไปคิดอย่างหนึ่ง ไม่อยู่กับสิ่งที่ทำ ถ้าใจอยู่กับสิ่งที่เป็นปัจจุบันแล้ว มันจะก่อให้เกิดความรู้ขึ้นมากมาย ความรู้นี่เป็นบาทฐานให้เราเกิดสติปัญญา จนกระทั่งเกิดปัญญาพระนิพพาน รู้ไปจนถึงว่าวิญญาณธาตุมันไม่มีตัวตน รู้ว่ามันมีอวิชชาความหลงของจิตในวิญญาณ ดวงจิตยังมีการเข้าใจผิด และเมื่อเกิดปัญญาธรรมเข้าใจในธรรมชาติแล้ว ก็ยังรู้ไปถึงการถอดถอนความหลง ความเข้าใจผิดของจิตดวงนี้ได้ยังไง นี่คือภาวะกระแสพระนิพพานที่แท้จริง ที่ไม่ติดว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือไม่. ทีมา http://www.thaipost.net/tabloid/010913/78630 (http://www.thaipost.net/tabloid/010913/78630) ขอบคุณภาพจาก http://www.madchima.net/ (http://www.madchima.net/) |