สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) => ข้อความที่เริ่มโดย: nimit ที่ ธันวาคม 10, 2009, 11:52:49 pm



หัวข้อ: เวลาฟังธรรมสมัยก่อน เขาใช้อุปกรณ์อะไรช่วยการแสดงธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: nimit ที่ ธันวาคม 10, 2009, 11:52:49 pm
ในครั้งพุทธกาลนั้น เวลาพระสงฆ์แสดงธรรมให้กับพุทธบริษัทฟังกันซึ่งมีคนฟังจำนวนมากบางครั้ง ร้อย พัน หมื่น และ แสน ในสมัยนั้นเขาแสดงธรรมให้ ชน ร้อย พัน หมื่น แสน ได้ฟังพร้อมกันได้อย่างไร


 8) ??? ;D


หัวข้อ: Re: เวลาฟังธรรมสมัยก่อน เขาใช้อุปกรณ์อะไรช่วยการแสดงธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ทินกร ที่ ธันวาคม 11, 2009, 08:00:40 pm
ในครั้งพุทธกาลนั้น เวลาพระสงฆ์แสดงธรรมให้กับพุทธบริษัทฟังกันซึ่งมีคนฟังจำนวนมากบางครั้ง ร้อย พัน หมื่น และ แสน ในสมัยนั้นเขาแสดงธรรมให้ ชน ร้อย พัน หมื่น แสน ได้ฟังพร้อมกันได้อย่างไร


 8) ??? ;D
ไม่อยากถามเลย
คุณเชื่อไหมพระพุทธเจ้ามีจริง
คุณเชื่อคุณลักษณะของพระพุทธองค์ไหม
ถ้าคุณเชื่อ คุณรู้ไว้เถิดพระพุทธองค์ทรงมีเสียงอันไพเราะ และ กังวาล พร้อมด้วยอิทธิฤทธิ์นานับประการตามคุณสมบัติ
ของผู้รู้แจ้ง
แต่ถ้าคุณไม่เชื่อ ก็เลิกคุย


หัวข้อ: Re: เวลาฟังธรรมสมัยก่อน เขาใช้อุปกรณ์อะไรช่วยการแสดงธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: saithong ที่ ธันวาคม 11, 2009, 09:51:50 pm
 ;D ;D ;D
อันนี้ช่วยกันวิจารณ์ กันหน่อยด้วยเหตุ และ ผล คิดว่าหัวข้อนี้ หน้าจะมีสาระ ผู้ดูแล คุณ natnaponson คงไม่ต้องถึงมืออาจารย์ นะเจ้าคะ


หัวข้อ: Re: เวลาฟังธรรมสมัยก่อน เขาใช้อุปกรณ์อะไรช่วยการแสดงธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ธันวาคม 13, 2009, 05:24:52 pm
คุณนิมิตครับ คุณทินกรพยายามจะบอกคุณว่า พระพุทธเจ้ามีอภิญญา
ซึ่งเป็นเรื่องของอิทธิฤทธิ์และปาฏิหารย์ต่างๆ สามารถทำอะไรที่คนธรรมดาทำไม่ได้
และแม้แต่เทวดาหรือพรหมก็ทำได้ไม่เสมอกับพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าสร้างบุญบารมีไว้มากมายคณานับ ทำให้พระพุทธเจ้าทำได้ทุกอย่าง
เรื่องนี้จัดเป็นเรื่องอจิณไตยครับ
ลองอ่านดูนะครับ แล้วจะเข้าใจเอง


ปัญหาของอจินไตย ๔ ข้อ

          ถาม  ๑. สิ่งที่เป็นอจินไตย นี่เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ได้ ไม่ใช่วิสัยของปุถุชนคนธรรมดาหรือพระอรหันต์ธรรมดาจะรู้ได้ใช่ไหม

          ตอบ  สิ่งที่เป็นอจินไตยนั้นมี ๔ อย่าง คือ
                    ๑. พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้า
                    ๒. ฌานวิสัย วิสัยของผู้ได้ฌาน
                    ๓. กัมมวิบาก ผลจากกรรม
                    ๔. โลกจินดา ความคิดเรื่องโลก

          ทั้ง ๔ อย่างนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าไม่ควรคิดผู้ที่คิดจะพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า ได้รับความลำบากโดยเปล่าประโยชน์

          ในอจินไตย ๔ อย่างนี้ อย่างแรกคือ พุทธวิสัย คือวิสัยของพระพุทธเจ้านั้น ผู้ที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าคิดอย่างไร ก็เข้าไปไม่ถึงวิสัยของพระพุทธเจ้า มีอานุภาพของพระพุทธคุณและพระสัพพัญญุตญาณเป็นต้น

          อย่างที่ ๒ ฌานวิสัย วิสัยของผู้ที่ได้ฌานอภิญญา ผู้ที่ไม่ได้ฌานคิดเท่าไรก็คิดไม่ออกว่า ทำไมผู้ที่ได้ฌานอภิญญาจึงสามารถแสดงฤทธิ์ต่างๆ มีเหาะได้ หายตัวได้ ดำดินได้ เป็นต้น ผู้ที่ได้อภิญญาประเภทนั้นๆ เท่านั้นจึงจะรู้ได้

          อย่างที่ ๓ กัมมวิบาก ผลของกรรม คือคนธรรมดาๆ ย่อมไม่อาจรู้ว่า ผลของกรรมที่ตนได้รับอยู่ในปัจจุบันนี้มาจากกรรมอะไร ทำไว้แต่เมื่อใด คิดไปเท่าไรก็คิดไม่ออก คิดมากไปจะเป็นบ้าไปเสียเปล่าๆ ผู้ที่รู้ผลของกรรมได้อย่างถ่องแท้ต้องเป็นผู้ที่ระลึกชาติก่อนๆ นับย้อนหลังไปได้โดยไม่จำกัดอย่างพระพุทธเจ้า จึงสามารถจะทราบได้ถูกต้องแท้จริงไม่ผิดพลาด ท่านที่ระลึกชาติได้จำกัด เช่นระลึกได้ ๕๐๐ ชาติ แต่กรรมที่ทำไว้ ทำไว้เมื่อชาติที่ ๕๕๐ ผู้ที่ระลึกชาติได้ ๕๐๐ ชาติก็ไม่สามารถระลึกได้ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่สามารถจะรู้กรรมและผลของกรรมได้ถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะพระองค์ทรงมีบุพเพนิวาสานุสสติญาณ ที่ระลึกชาติย้อนหลังได้โดยไม่จำกัด มียถากัมมูปคญาณ ญาณที่เข้าถึงกรรมของสัตว์ตามความเป็นจริง พระพระสัพพัญญุตญาณ ญาณที่ทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คนอื่นไม่มี ทั้งยังมีพระอนาวรณญาณ ญาณที่ไม่มีอะไรมาปิดกั้น ที่คนอื่นที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าไม่มี เพราะฉะนั้น ป่วยการคิดเรื่องผลของกรรมว่ามาจากกรรมไหน เมื่อใด เป็นต้น คิดมากไป อาจเป็นบ้าได้

          อย่างที่ ๔ โลกจินดา ความคิดเกี่ยวกับเรื่องโลก เช่นคิดว่าใครสร้างพระจันทร์-พระอาทิตย์ ใครสร้างภูเขา ต้นไม้ เป็นต้น คิดมากไปไร้ประโยชน์เพราะไม่อาจจะรู้ได้

          ด้วยเหตุนี้ อจินไตยทั้ง ๔ อย่างนี้ บางท่านอาจจะคิดว่าตนเองคิดแล้วรู้ได้ ซึ่งก็รู้ได้เพียงวิสัยของตนเท่านั้น พระอรหันต์ก็รู้เท่าวิสัยของพระอรหันต์ จะรู้เท่าความรู้ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นไปไม่ได้เลย

เพราะฉะนั้น ท่านจึงเตือนว่า สิ่งทั้ง ๔ นี้ไม่ควรคิด คิดไปอาจเป็นบ้า ลำบากโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งนี้เพราะท่านเหล่านั้น ไม่ได้สั่งสมสติปัญญาบารมีความรู้มาเสมอด้วยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งต้องอบรมมาอย่างน้อยถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ทีเดียว

ที่มา เว็บพลังจิต
posted on 25 Jan 2008 22:44 by kohsija



หัวข้อ: Re: เวลาฟังธรรมสมัยก่อน เขาใช้อุปกรณ์อะไรช่วยการแสดงธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ทินกร ที่ ธันวาคม 13, 2009, 08:01:03 pm
คุณนิมิตครับ คุณทินกรพยายามจะบอกคุณว่า พระพุทธเจ้ามีอภิญญา
ซึ่งเป็นเรื่องของอิทธิฤทธิ์และปาฏิหารย์ต่างๆ สามารถทำอะไรที่คนธรรมดาทำไม่ได้
และแม้แต่เทวดาหรือพรหมก็ทำได้ไม่เสมอกับพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าสร้างบุญบารมีไว้มากมายคณานับ ทำให้พระพุทธเจ้าทำได้ทุกอย่าง
เรื่องนี้จัดเป็นเรื่องอจิณไตยครับ
ลองอ่านดูนะครับ แล้วจะเข้าใจเอง


ปัญหาของอจินไตย ๔ ข้อ

          ถาม  ๑. สิ่งที่เป็นอจินไตย นี่เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ได้ ไม่ใช่วิสัยของปุถุชนคนธรรมดาหรือพระอรหันต์ธรรมดาจะรู้ได้ใช่ไหม

          ตอบ  สิ่งที่เป็นอจินไตยนั้นมี ๔ อย่าง คือ
                    ๑. พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้า
                    ๒. ฌานวิสัย วิสัยของผู้ได้ฌาน
                    ๓. กัมมวิบาก ผลจากกรรม
                    ๔. โลกจินดา ความคิดเรื่องโลก

          ทั้ง ๔ อย่างนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าไม่ควรคิดผู้ที่คิดจะพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า ได้รับความลำบากโดยเปล่าประโยชน์

          ในอจินไตย ๔ อย่างนี้ อย่างแรกคือ พุทธวิสัย คือวิสัยของพระพุทธเจ้านั้น ผู้ที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าคิดอย่างไร ก็เข้าไปไม่ถึงวิสัยของพระพุทธเจ้า มีอานุภาพของพระพุทธคุณและพระสัพพัญญุตญาณเป็นต้น

          อย่างที่ ๒ ฌานวิสัย วิสัยของผู้ที่ได้ฌานอภิญญา ผู้ที่ไม่ได้ฌานคิดเท่าไรก็คิดไม่ออกว่า ทำไมผู้ที่ได้ฌานอภิญญาจึงสามารถแสดงฤทธิ์ต่างๆ มีเหาะได้ หายตัวได้ ดำดินได้ เป็นต้น ผู้ที่ได้อภิญญาประเภทนั้นๆ เท่านั้นจึงจะรู้ได้

          อย่างที่ ๓ กัมมวิบาก ผลของกรรม คือคนธรรมดาๆ ย่อมไม่อาจรู้ว่า ผลของกรรมที่ตนได้รับอยู่ในปัจจุบันนี้มาจากกรรมอะไร ทำไว้แต่เมื่อใด คิดไปเท่าไรก็คิดไม่ออก คิดมากไปจะเป็นบ้าไปเสียเปล่าๆ ผู้ที่รู้ผลของกรรมได้อย่างถ่องแท้ต้องเป็นผู้ที่ระลึกชาติก่อนๆ นับย้อนหลังไปได้โดยไม่จำกัดอย่างพระพุทธเจ้า จึงสามารถจะทราบได้ถูกต้องแท้จริงไม่ผิดพลาด ท่านที่ระลึกชาติได้จำกัด เช่นระลึกได้ ๕๐๐ ชาติ แต่กรรมที่ทำไว้ ทำไว้เมื่อชาติที่ ๕๕๐ ผู้ที่ระลึกชาติได้ ๕๐๐ ชาติก็ไม่สามารถระลึกได้ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่สามารถจะรู้กรรมและผลของกรรมได้ถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะพระองค์ทรงมีบุพเพนิวาสานุสสติญาณ ที่ระลึกชาติย้อนหลังได้โดยไม่จำกัด มียถากัมมูปคญาณ ญาณที่เข้าถึงกรรมของสัตว์ตามความเป็นจริง พระพระสัพพัญญุตญาณ ญาณที่ทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คนอื่นไม่มี ทั้งยังมีพระอนาวรณญาณ ญาณที่ไม่มีอะไรมาปิดกั้น ที่คนอื่นที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าไม่มี เพราะฉะนั้น ป่วยการคิดเรื่องผลของกรรมว่ามาจากกรรมไหน เมื่อใด เป็นต้น คิดมากไป อาจเป็นบ้าได้

          อย่างที่ ๔ โลกจินดา ความคิดเกี่ยวกับเรื่องโลก เช่นคิดว่าใครสร้างพระจันทร์-พระอาทิตย์ ใครสร้างภูเขา ต้นไม้ เป็นต้น คิดมากไปไร้ประโยชน์เพราะไม่อาจจะรู้ได้

          ด้วยเหตุนี้ อจินไตยทั้ง ๔ อย่างนี้ บางท่านอาจจะคิดว่าตนเองคิดแล้วรู้ได้ ซึ่งก็รู้ได้เพียงวิสัยของตนเท่านั้น พระอรหันต์ก็รู้เท่าวิสัยของพระอรหันต์ จะรู้เท่าความรู้ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นไปไม่ได้เลย

เพราะฉะนั้น ท่านจึงเตือนว่า สิ่งทั้ง ๔ นี้ไม่ควรคิด คิดไปอาจเป็นบ้า ลำบากโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งนี้เพราะท่านเหล่านั้น ไม่ได้สั่งสมสติปัญญาบารมีความรู้มาเสมอด้วยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งต้องอบรมมาอย่างน้อยถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ทีเดียว

ที่มา เว็บพลังจิต
posted on 25 Jan 2008 22:44 by kohsija



แจ่ม ครับ คำเดียวพอ


หัวข้อ: Re: เวลาฟังธรรมสมัยก่อน เขาใช้อุปกรณ์อะไรช่วยการแสดงธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ธรรมะ ปุจฉา ที่ ตุลาคม 21, 2010, 12:55:56 am
 :25: