หัวข้อ: "กระดูกของอรหันต์ทุกองค์" ต้องเป็นพระธาตุเหมือนกันทั้งหมด หรือไม่.? เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ตุลาคม 13, 2013, 10:01:08 am (http://i1.ytimg.com/vi/-T3_HVQaVtQ/maxresdefault.jpg) เรื่องพระวังคีสเถระ ข้อความเบื้องต้น พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระวังคีสะเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "จุตึ โย เวทิ" เป็นต้น. :sign0144: :sign0144: :sign0144: วังคีสพราหมณ์เป็นนักทำนาย ได้ยินว่า พราหมณ์ในกรุงราชคฤห์คนหนึ่ง ชื่อวังคีสะ เคาะ (กะโหลก) ศีรษะของพวกมนุษย์ที่ตายแล้วก็รู้ได้ว่า "นี้เป็นศีรษะของผู้เกิดในนรก, นี้เป็นศีรษะของผู้เกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน, นี้เป็นศีรษะของผู้เกิดในเปรตวิสัย, นี้เป็นศีรษะของผู้เกิดในมนุษยโลก, นี้เป็นศีรษะของผู้เกิดในเทวโลก." พวกพราหมณ์คิดว่า "พวกเราอาศัยวังคีสพราหมณ์นี้ ก็สามารถหากินกะชาวโลกได้" จึงให้เขานุ่งผ้าแดง ๒ ผืนแล้วพาเที่ยวไปชนบท กล่าวกะพวกมนุษย์ว่า "พราหมณ์ชื่อวังคีสะนั่น เคาะ (กะโหลก) ศีรษะ ของพวกมนุษย์ที่ตายแล้ว ก็รู้จักที่เกิด, พวกท่านจงถามถึงที่พวกญาติของตนๆ เกิดแล้วเถิด." พวกมนุษย์ให้กหาปณะ ๑๐ บ้าง ๒๐ บ้าง ๑๐๐ บ้าง ตามกำลังแล้ว จึงถามถึงที่พวกญาติเกิดแล้ว. พราหมณ์เหล่านั้นถึงกรุงสาวัตถีโดยลำดับแล้ว ยึดเอาที่พักในที่ไม่ไกลแห่งพระเชตวัน (http://www.ee43.com/uploadpath/content_image01_00374.jpg) พวกเขาเห็นมหาชนผู้บริโภคอาหารเช้าแล้ว มีมือถือของหอมและระเบียบดอกไม้เป็นต้น กำลังเดินไปเพื่อฟังธรรม จึงถามว่า "พวกท่านไปไหนกัน?" เมื่อมหาชนนั้นบอกว่า "ไปสู่วิหาร เพื่อฟังธรรม." จึงกล่าวว่า "พวกท่านจักไปในที่นั้นทำอะไร? บุคคลผู้ทัดเทียมกับวังคีสพราหมณ์ของพวกเรา ย่อมไม่มี, เขาเคาะ (กะโหลก) ศีรษะของพวกมนุษย์ที่ตายแล้ว ก็รู้ที่เกิดได้, พวกท่านจงถามถึงที่พวกญาติเกิดเถิด." มนุษย์เหล่านั้นกล่าวว่า "วังคีสะจะรู้อะไร? บุคคลผู้ทัดเทียมกับพระศาสดาของพวกเรา ไม่มี." เมื่อพวกพราหมณ์แม้นอกนี้ กล่าวว่า "บุคคลผู้ทัดเทียมกับวังคีสะ ไม่มี, เถียงกันแล้ว ๑- กล่าวว่า "มาเถิดบัดนี้ พวกเราจักรู้ว่าวังคีสะของพวกท่าน หรือพระศาสดาของพวกเรา มีความรู้" แล้วได้พราหมณ์เหล่านั้นไปสู่วิหาร. ____________________________ ๑- กถํ วฑฺเฒตฺวา ยังถ้อยคำให้เจริญ. (http://forums.apinya.com/attachments/%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2-%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1/41196d1352272342-%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99-321-jpg)(http://forums.apinya.com/attachments/%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2-%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1/41197d1352272342-%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99-987-jpg)(http://forums.apinya.com/attachments/%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2-%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1/41196d1352272342-%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99-321-jpg) เขายอมจำนนพระศาสดา พระศาสดาทรงทราบว่าชนเหล่านั้นมา จึงรับสั่งให้นำ (กะโหลก) ศีรษะมา ๕ ศีรษะ คือ "ศีรษะของสัตว์ผู้เกิดในฐานะทั้ง ๔ คือ ‘ในนรก ในกำเนิดดิรัจฉาน ในมนุษยโลก ในเทวโลก’ ๔ ศีรษะ และ (กะโหลก) ศีรษะของพระขีณาสพ" รับสั่งให้วางไว้ตามลำดับ ในเวลาที่วังคีสะมาแล้ว จึงตรัสถามวังคีสะว่า "ทราบว่า ท่านเคาะ (กะโหลก) ศีรษะแล้ว รู้ที่เกิดของสัตว์ทั้งหลายผู้ตายแล้วหรือ?" วังคีสะ. พระเจ้าข้า ข้าพระองค์รู้ได้. พระศาสดา. นี้ (กะโหลก) ศีรษะของใคร? เขาเคาะ (กะโหละ) ศีรษะนั้นแล้ว กราบทูลว่า "ของสัตว์ผู้เกิดในนรก." ลำดับนั้น พระศาสดาประทานสาธุการแก่เขาว่า "ดีละ" จึงตรัสถามถึงศีรษะทั้ง ๓ นอกนี้ ในขณะที่เขากราบทูลแล้วๆไม่ผิด ก็ประทานสาธุการเหมือนอย่างนั้น จึงทรงแสดง (กะโหลก) ศีรษะที่ ๕ ตรัสถามว่า "นี้ (กะโหลก) ศีรษะของใคร.?" เขาเคาะ (กะโหลก) นั้นแล้ว ไม่รู้ที่เกิด. ทีนั้น พระศาสดาตรัสกะเขาว่า "วังคีสะ ท่านไม่รู้หรือ?" เมื่อเขากราบทูลว่า "พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่รู้" จึงตรัสว่า "ฉันรู้." วังคีสะ. พระองค์ทรงทราบด้วยอะไร? พระศาสดา. ทราบด้วยกำลังมนต์. ลำดับนั้น วังคีสะทูลวิงวอนพระองค์ว่า "ขอพระองค์จงประทานมนต์นี้แก่ข้าพระองค์. พระศาสดาตรัสว่า "เราไม่สามารถจะให้มนต์แก่บุคคลผู้ไม่บวชได้." (http://www.madchima.net/images/813_card_49.jpg) วังคีสะบวชเพื่อเรียนพุทธมนต์ เขาคิดว่า "เมื่อเราเรียนมนต์นี้แล้ว เราก็จักเป็นผู้ประเสริฐในชมพูทวีปทั้งสิ้น" จึงส่งพราหมณ์เหล่านั้นไป ด้วยคำว่า "พวกท่านจงอยู่ในที่นั้นนั่นแหละสิ้น ๒-๓ วัน ฉันจักบวช" แล้วได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักพระศาสดา ได้เป็นผู้มีนามว่าวังคีสเถระ. ลำดับนั้น พระศาสดาประทานกัมมัฏฐานมีอาการ ๓๒ เป็นอารมณ์แก่เธอแล้ว ตรัสว่า "เธอจงสาธยายบริกรรมมนต์." พระเถระบรรลุพระอรหัต พระวังคีสเถระนั้นสาธยายมนต์อยู่ ถูกพวกพราหมณ์ถามในระหว่างๆ ว่า "ท่านเรียนมนต์ได้แล้วหรือยัง?" จึงบอกว่า "พวกท่านจงรอก่อน, ฉันกำลังเรียน." ต่อกาล ๒-๓ วันเท่านั้นก็ได้บรรลุพระอรหัต ถูกพราหมณ์ทั้งหลายถามอีก จึงกล่าวว่า "ท่านผู้มีอายุ บัดนี้ ฉันไม่ควรเพื่อจะไป." พวกภิกษุได้ยินคำนั้นแล้ว จึงกราบทูลแด่พระศาสดาว่า "พระเจ้าข้า พระวังคีสเถระนี้ พยากรณ์พระอรหัตผล ด้วยคำไม่จริง." พระศาสดาตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่ากล่าวอย่างนั้น. ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ บุตรของเราฉลาดในการจุติและปฏิสนธิแล้ว" ดังนี้แล้ว ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า :- จุตึ โย เวทิ สตฺตานํ อุปปตฺติญฺจ สพฺพโส อสตฺตํ สุคตํ พุทฺธํ ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ. ยสฺส คตึ น ชานนฺติ เทวา คนฺธพฺพมานุสา ขีณาสวํ อรหนฺตํ ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ. ผู้ใด รู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลายโดยประการทั้งปวง, เราเรียกผู้นั้น ซึ่งไม่ข้อง ไปดีรู้แล้ว ว่าเป็นพราหมณ์. เทพยดา คนธรรพ์และหมู่มนุษย์ ย่อมไม่รู้คติของผู้ใด, เราเรียกผู้นั้น ซึ่งมีอาสวะสิ้นแล้วผู้ไกลกิเลสว่า เป็นพราหมณ์. _______________________________________ อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พราหมณวรรคที่ ๒๖ http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=36&p=36 (http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=36&p=36) ภาพจาก http://i1.ytimg.com/, (http://i1.ytimg.com/,) http://www.ee43.com/ (http://www.ee43.com/) , http://forums.apinya.com/ (http://forums.apinya.com/) หัวข้อ: Re: "กระดูกของอรหันต์ทุกองค์" ต้องเป็นพระธาตุเหมือนกันทั้งหมด หรือไม่.? เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ตุลาคม 13, 2013, 10:10:40 am (http://www.konjaiboon.com/imap/pratathai/%E0%B8%9C%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B3.jpg) ภาพจาก http://www.konjaiboon.com/ (http://www.konjaiboon.com/) 'พระธาตุ' มีลักษณะอย่างไร ปรากฏในพระไตรปิฎกหรือไม่.? ask1 ถามว่า ลักษณะของพระธาตุเป็นอย่างไร ในพระไตรปิฎกบอกไว้หรือไม่.? ans1 ตอบว่า พระไตรปิฎกภาษาไทย(ฉบับหลวง) ไม่ปรากฏ แต่ได้อธิบายไว้ในชั้นอรรถกถาของมหาปรินิพพานสูตร มีข้อความดังนี้ บทว่า สรีราเนว อวสิสฺสึสุ ความว่า เมื่อก่อนได้ชื่อว่าสรีระ ก็เพราะตั้งอยู่ด้วยโครงร่างอันเดียวกัน บัดนี้ ท่านกล่าวว่าสรีระทั้งหมดกระจัดกระจายไปแล้ว. อธิบายว่า พระธาตุทั้งหลายก็เสมือนดอกมะลิตูม เสมือนแก้วมุกดาที่เจียรนัยแล้ว และเสมือนจุณทองคำยังเหลืออยู่. จริงอยู่ สรีระของพระพุทธเจ้าผู้มีพระชนมายุยืนทั้งหลาย ย่อมติดกันเป็นพืดเช่นกับแท่งทองคำ. ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอธิษฐานพระธาตุให้กระจายว่า เราอยู่ได้ไม่นานก็จะปรินิพพาน ศาสนาของเรายังไม่แพร่หลายไปในที่ทั้งปวงก่อน เพราะฉะนั้น เมื่อเราแม้ปรินิพพานแล้ว มหาชนถือเอาพระธาตุแม้ขนาดเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดทำเจดีย์ในที่อยู่ของตนๆ ปรนนิบัติ จงมีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า. ถามว่า พระธาตุอย่างไหนของพระองค์กระจัดกระจาย อย่างไหนไม่กระจัดกระจาย. ตอบว่า พระธาตุ ๗ เหล่านี้ คือ - พระเขี้ยวแก้ว ๔ - พระรากขวัญ ๒ - พระอุณหิส ๑ ไม่กระจัดกระจาย นอกนั้นกระจัดกระจาย. บรรดาพระธาตุเหล่านั้น พระธาตุเล็กๆ ทั้งหมดได้มีขนาดเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด. พระธาตุใหญ่ขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารหักกลาง พระธาตุขนาดใหญ่ยิ่งมีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวหักกลาง. __________________________________________________ ที่มา มหากสฺสปตฺเถรวตฺถุวณฺณนา อรรถกถา ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตร http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10&i=67&p=5 (http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10&i=67&p=5) ans1 ในอรรถกถาพักกุลสูตรได้กล่าวถึง"พระธาตุของพระพักกุลเถระ ที่มีลักษณะดังดอกมะลิตูม" ดังนี้ "พระเถระดำริว่า แม้เรามีชีวิตอยู่อย่าได้เป็นภาระแก่ภิกษุเหล่าอื่น สรีระของเราแม้ปรินิพพานแล้ว อย่าให้ภิกษุสงฆ์ต้องเป็นกังวลเลย จึงเข้าเตโชธาตุ ปรินิพพานแล้วเปลวไฟลุกขึ้นท่วมสรีระ ผิวหนัง เนื้อและโลหิตถูกเผาไหม้สิ้นไป เหมือนเนยใส. ยังคงเหลืออยู่แต่ธาตุ ที่มีลักษณะดังดอกมะลิตูม" ________________________________________________ อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ สุญญตวรรค พักกุลัตเถรัจฉริยัพภูตสูตร http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=380 (http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=380) (http://www.watdevaraj.com/private_folder/museum/001.jpg) ภาพจาก http://www.watdevaraj.com/ (http://www.watdevaraj.com/) ans1 แต่ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๔๕ เล่ม (ปกสีฟ้า) ได้ระบุไว้ใน"ธาตุภาชนียกถา" ว่าด้วยการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ เป็นพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ สุตตันตปิฎกที่ ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์ จริยาปิฎก ขอยกมาแสดงดังนี้ [๖] พระบรมสารีริกธาตุ ๗ อย่าง คือ พระอุณหิส ๑ พระทาฐธาตุทั้ง ๔ และพระรากขวัญ ๒ ข้าง ไม่แตก พระบรมสารีริกธาตุที่เหลือแตกออกจากกัน [๗] พระบรมสารีริกธาตุขนาดใหญ่เท่ากับเมล็ดถั่วเขียว ขนาดกลางเท่าเมล็ดข้าวสารหัก ขนาดเล็กเท่ากับเมล็ดพันธุ์ผักกาด มีสีต่าง ๆ กัน [๘] พระบรมสารีริกธาตุขนาดใหญ่มีสีเหมือนทองคำ ขนาดกลางมีสีเหมือนแก้วมุกดา และขนาดเล็กมีสีเหมือนดอกมะลิ รวมทั้งหมดมีประมาณ ๑๖ ทะนาน [๙] พระบรมสารีริกธาตุเหล่านั้นทุกขนาด คือ ขนาดใหญ่มี ๕ ทะนาน ขนาดกลางมี ๕ ทะนาน ขนาดเล็กมี ๖ ทะนานเท่านั้น [๑๐] พระบรมสารีริกธาตุเหล่านี้แม้ทั้งหมด ประดิษฐานอยู่ในที่ต่าง ๆ กัน คือ พระอุณหิสอยู่ที่เกาะสีหล พระรากขวัญเบื้องซ้ายอยู่ที่พรหมโลก และพระรากขวัญเบื้องขวาอยู่ที่เกาะสีหล ________________________________________________ ที่มา http://www.geocities.ws/tmchote/tpd-mcu/tpd33.htm (http://www.geocities.ws/tmchote/tpd-mcu/tpd33.htm) (http://www.watthamfad.com/Dhama%20world.img/relic/awb_image2672553124756.jpg) ภาพจาก http://www.watthamfad.com/ (http://www.watthamfad.com/) ask1 ถามว่า แล้วจะเชื่อพระไตรปิฎกเล่มไหนดี.? ans1 ตอบว่า เรื่องนี้จนด้วยเกล้าครับ ปัญญาไปไม่ถึง แต่ขอยกเอาบาลีใน "พระไตรปิฎก ภาษาบาลี (ฉบับสยามรัฐ) เล่มที่ ๓๓ สุตฺตนฺตปิฏเก เล่มที่ ๒๕ ขุทฺทกนิกายสฺส อปทานํ ภาค ๒ พุทฺธวํโส จรยาปิฏกํ" ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่เก่าแก่และได้รับการยอมรับมากที่สุด มาแสดงดังนี้ ธาตุภาชนียกถา [๒๘] มหาโคตโม ชินวโร กุสินารมฺหิ นิพฺพุโต ธาตุวิตฺถาริกํ อาสิ เตสุ เตสุ ปเทสโต ฯ เอโก อชาตสตฺตุสฺส เอโก เวสาลิยา ปุเร เอโก กปิลวตฺถุสฺมึ เอโก จ อลฺลกปฺปเก ฯ เอโก จ รามคามมฺหิ เอโก จ เวฏฺฐทีปเก เอโก ปาเวยฺยเก มลฺเล เอโก จ โกสินารเก ฯ ตุมฺพสฺส (๑) ถูปํ กาเรสิ พฺราหฺมโณ โทณสวฺหโย องฺคารถูปํ กาเรสุํ โมริยา ตุฏฺฐมานสา ฯ อฏฺฐ สารีริกา ถูปา นวโม ตุมฺพเจติโย (๒) องฺคารถูโป ทสโม ตทาเยว ปติฏฺฐิโต ฯ (๓) เอกา ทาฐา ติทสปุเร เอกา นาคปุเร อหุ เอกา คนฺธารวิสเย เอกา กาลิงฺคราชิโน ฯ จตฺตาฬีสสมา ทนฺตา เกสา โลมา จ สพฺพโส เทวา หรึสุ เอเกกํ จกฺกวาฬปรมฺปรา ฯ วชิรายํ ภควโต ปตฺโต ทณฺโฑ จ จีวรํ นิวาสนํ กุลฆเร (๑) ปจฺจตฺถรณํ สิลวฺหเย (๒) ฯ ปาฏลีปุตฺตนคเร กรกํ กายพนฺธนํ จมฺปายํ อุทกสาฏกา(๓) อุณฺณโลมญฺจ โกสเล ฯ กาสาวกํ (๔) พฺรหฺมโลเก เวฐนํ ติทเส ปุเร [ปาสาณเก (๕) ปทํ เสฏฺฐํ ยถาปิ กจฺฉตํ ปุรํ] นิสีทนํ อวนฺตีสุ (๖) เทวรฏฺเฐ (๗) อตฺถรณํ ตทา ฯ อรณิ จ มิถิลายํ วิเทเห (๘) ปริสาวนํ วาสี สูจิฆรญฺจาปิ อินฺทปตฺถปุเร (๙) ตทา ฯ ปริกฺขารา (๑๐) อวเสสา ชนปทนฺตเก (๑๑) ตทา ปริภุตฺตานิ มุนินา มเหสฺสนฺติ มนุชา ตทา ฯ ธาตุวิตฺถาริกํ อาสิ โคตมสฺส มเหสิโน ปาณีนํ อนุกมฺปาย อหุ โปราณิกํ ตทาติ ฯ ธาตุภาชนียกถา นิฏฺฐิตา ฯ พุทฺธวํโส นิฏฺฐิโต ฯ #๑ ม. ยุ. กุมฺภสฺส ฯ #๒ ม. ยุ. กุมฺภเจติโย ฯ #๓ ม. อุณฺหีสํ จตสฺโส ทาฐา ฯเปฯ สพฺพาเปตา ปติฏฺฐิตา ฯ #๔ ยุ. กุสฆเร ฯ #๕ ม. ยุ. กปิลฺหเย ฯ #๖ ม. จมฺปายุทกสาฏิยํ ฯ ยุ. จมฺปายํ #อุทกสาฏิกา ฯ #๗ ม. ยุ. กาสาวญฺจ พฺรหฺมโลเก ฯ #๘ ยุ. ปาสาณเก ปทํ เสฏฺฐํ #ยญฺจาปิ อจฺจุติ ปทํ ฯ #๙ ยุ. อวนฺติปุเร ฯ ๑๐ ม. ยุ. รฏฺเฐ ... ฯ #๑๑ ยุ. เวเทหิ ... ฯ ๑๒ ย. อินฺทรฏฺเฐ ฯ ๑๓ ยุ. ปริกฺขารํ อวเสสํ ฯ #๑๔ ม. ยุ. ชนปเท อปรนฺตเก ฯ ___________________________________________________________ ที่มา http://etipitaka.com/compare?utf8=%E2%9C%93&lang1=thai&volume=33&p1=368&lang2=pali&commit=%E2%96%BA# (http://etipitaka.com/compare?utf8=%E2%9C%93&lang1=thai&volume=33&p1=368&lang2=pali&commit=%E2%96%BA#) หัวข้อ: Re: "กระดูกของอรหันต์ทุกองค์" ต้องเป็นพระธาตุเหมือนกันทั้งหมด หรือไม่.? เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ตุลาคม 13, 2013, 11:33:08 am ans1 ans1 ans1
เพื่อนๆครับ ขอให้อ่านบทความทั้งสองกระทู้อย่างระมัดระวัง ทำความเข้าใจให้ดี จะเห็นว่าในอรรถกถาหนึ่งระบุว่า กระดูกของอรหันต์ยังคงรูปเป็นกะโหลก อีกอรรถกถาหนึ่งเห็นต่างออกไป ลองมาดูรายละเอียด ในอรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พราหมณวรรคที่ ๒๖ เรื่องพระวังคีสเถระ ตอนหนึ่งกล่าวว่า พระศาสดาทรงทราบว่าชนเหล่านั้นมา จึงรับสั่งให้นำ (กะโหลก) ศีรษะมา ๕ ศีรษะ คือ "ศีรษะของสัตว์ผู้เกิดในฐานะทั้ง ๔ คือ ‘ในนรก ในกำเนิดดิรัจฉาน ในมนุษยโลก ในเทวโลก’ ๔ ศีรษะ และ (กะโหลก) ศีรษะของพระขีณาสพ" รับสั่งให้วางไว้ตามลำดับ ______________________________________ พระขีณาสพ คือ ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว, ผู้หมดกิเลส, พระอรหันต์ อรรถกถา ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตร มหากสฺสปตฺเถรวตฺถุวณฺณนา ตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า ถามว่า พระธาตุอย่างไหนของพระองค์กระจัดกระจาย อย่างไหนไม่กระจัดกระจาย. ตอบว่า พระธาตุ ๗ เหล่านี้ คือ - พระเขี้ยวแก้ว ๔ - พระรากขวัญ ๒ - พระอุณหิส ๑ ไม่กระจัดกระจาย นอกนั้นกระจัดกระจาย. บรรดาพระธาตุเหล่านั้น พระธาตุเล็กๆ ทั้งหมดได้มีขนาดเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด. พระธาตุใหญ่ขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารหักกลาง พระธาตุขนาดใหญ่ยิ่งมีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวหักกลาง. _________________________________ พระเขี้ยวแก้ว คือ ฟันส่วนที่เป็นเขี้ยว พระรากขวัญ คือ ไหปลาร้า พระอุณหิส คือ พระอัฐิเบื้องบนพระเศียร ans1 ans1 ans1 เมื่อเปรียบเทียบทั้งสองอรรถกถาจะเห็นว่า มีความเห็นที่แย้งกัน กะโหลกของอรหันต์ตามเรื่องพระวังคีสะเถระ ยังคงรูปร่างไว้ชัดเจน จะเห็นได้จากข้อความในเรื่องนี้ใช้คำว่า "(กะโหลก)ศีรษะของพระขีณาสพ" และไม่ใช้คำว่าพระธาตุ แต่ในอรรถกถาของมหาปรินิพพานสูตร ระบุว่า พระธาตุแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งไม่กระจัดกระจาย(เป็นแท่ง) อีกส่วนหนึ่งแตกเป็นชิ้นเล็กๆเหมือนเมล็ดของพืชต่างๆ ในอรรถกถานี้ระบุว่า พระอุณหิส(พระอัฐิเบื้องบนพระเศียร) ไม่กระจัดกระจาย(เป็นแท่ง) ปรกติกะโหลกคนเรา จะต้องประกอบด้วยกระดูกต่างๆและฟันอยู่ครบถ้วนเป็นแท่งดียวกัน แต่อรรถกถานี้ระบุว่า ส่วนที่เป็นแท่งมีเพียงกระดูกบนหัวเท่านั้น ซึ่งขัดแย้งกับเรื่องพระวังคีสะเถระในอีกอรรถกถาหนึ่ง เราลองมาวิเคราะห์ศัพท์คำว่า "อุณหิส" อุณหิส [อุนนะหิด] น. คือ กรอบหน้า, มงกุฎ. (ป. อุณฺหีส; ส. อุษฺณีษ). แต่อรรถกถาจารย์บางท่านบอกว่า พระอุณหิส คือ พระนลาฏ นลาฏ คือ [นะลาด] (ราชา) น. หน้าผาก. (ป.; ส. ลลาฏ). ทั้งอุณหิสและนลาฏ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของศีรษะ ยังไม่ใช่กะโหลก :96: :96: :96: เรื่องข้อขัดแย้งนี้ บางท่านฟันธงเลยว่า พระธาตุที่เป็นชื้นเล็กๆ ไม่มีหรอก ที่เห็นๆกันอยู่เป็นของปลอม(ของจริงควรเป็นแท่ง เช่น กะโหลก) ส่วนตัวผมขอตั้งขอสังเกตว่า พระธาตุของอรหันตสาวก กับพระธาตุของพระพุทธเจ้า อาจมีลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนกัน ในอรรถกถากล่าวไว้ว่า พระธาตุของพระพุทธเจ้าปรกติจะมีลักษณะเสมือนดังแท่งทองคำ ที่กระจัดกระจายออกไปเป็นส่วนเล็กๆนั้น ก็เนื่องด้วยคำอธิษฐาน(ให้กระจายออกไป) พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มี พุทธวิสัยที่ต่างกัน ผมได้อ่านประวัติพระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์ในพระสูตรแล้ว พบว่า บางพระองค์จะมีสถูปบรรจุพระธาตุเพียงที่เดียว บางพระองค์สถูปจะกระจายออกไป(มีหลายสถูป) เมื่อพิจารณาจากจำนวนสถูปแล้ว น่าจะแสดงว่า บางพระองค์มีพระธาตุเป็นแท่ง บางพระองค์ไม่เป็นแทง(กระจัดกระจายออกไป) ถามว่า อรหันตสาวกจะอธิษฐาน ให้พระธาตุมีลักษณะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งได้หรือไม่.? ตอบว่า มีความเป็นไปได้ แต่เป็นไปได้แค่ไหนอย่างไรนั้น เรื่องนี้จนปัญญาครับ เรื่องนี้คุยกันไม่จบครับ เหนื่อยมาก ปวดหัว มันเป็นอจินไตย คุยมากจะฟั่นเฟือน คุยเป็นเพื่อนเท่านี้ครับ :25: :25: :25: หัวข้อ: Re: "กระดูกของอรหันต์ทุกองค์" ต้องเป็นพระธาตุเหมือนกันทั้งหมด หรือไม่.? เริ่มหัวข้อโดย: waterman ที่ ตุลาคม 13, 2013, 12:16:08 pm เรื่องนี้เกินวิสัย ของพวกเราที่จะเข้าใจ ครับ เอาเป็นว่า ถ้าเรานับถือพระพุทธรูป ได้ก็นับถือส่วนที่ว่าพระธาตุ นั้นได้ครับ เพราะจิตเราเคารพบูชา พระพุทธเจ้า ครับ มีหลายท่านที่ผมได้พบประสบมา รวมทั้งผมด้วย ได้พระธาตุมาองค์หนึ่งแล้ว จำนวนพระธาตุเพิ่มขึ้น เป็นที่น่าอัศจรรย์แก่ตนเองครับ
st11 st12 st12 กับเนื้อหาที่นำมาให้อ่าน หัวข้อ: Re: "กระดูกของอรหันต์ทุกองค์" ต้องเป็นพระธาตุเหมือนกันทั้งหมด หรือไม่.? เริ่มหัวข้อโดย: ธุลีธวัช (chai173) ที่ ตุลาคม 13, 2013, 05:07:35 pm เรื่องนี้เกินวิสัย ครับ เอาเป็นว่า เรานับถือพระพุทธรูป บูชาพระพุทธเจ้า ผมได้พระธาตุมาองค์หนึ่งจำนวนพระธาตุเพิ่มเป็นที่น่าอัศจรรย์แก่ตนเองครับ (http://board.postjung.com/data/639/639268-topic-ix-4.png) (http://board.postjung.com/data/639/639268-topic-ix-4.png) (http://board.postjung.com/data/639/639268-topic-ix-4.png) (http://i63.photobucket.com/albums/h151/chotiparla/chotiparla2/01.jpg) ผมมีลักษณะแบบนี้ ครับ! ได้มาจากวัดสังฆทาน จ.นนทบุรี อยากขอชมจากทุกท่านบ้าง ? http://board.postjung.com/639268.htm หัวข้อ: Re: "กระดูกของอรหันต์ทุกองค์" ต้องเป็นพระธาตุเหมือนกันทั้งหมด หรือไม่.? เริ่มหัวข้อโดย: VongoleX ที่ ตุลาคม 14, 2013, 10:35:58 am st12
หัวข้อ: Re: "กระดูกของอรหันต์ทุกองค์" ต้องเป็นพระธาตุเหมือนกันทั้งหมด หรือไม่.? เริ่มหัวข้อโดย: PRAMOTE(aaaa) ที่ ตุลาคม 14, 2013, 10:50:16 pm ขออนุโมทนาสาธุ st11 st12
|