สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ ตุลาคม 18, 2013, 09:56:55 pm



หัวข้อ: ฟื้นต้นธารพุทธศาสนา ‘สยาม-ลังกา’ กับวาระสำคัญ 260 ปี
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ตุลาคม 18, 2013, 09:56:55 pm

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/241080.jpg)

ฟื้นต้นธารพุทธศาสนา ‘สยาม-ลังกา’ กับวาระสำคัญ 260 ปี

หลังผ่านกิจกรรมบุญกิจกรรมกุศลในทาง ’พระพุทธศาสนา“ ช่วงวันออกพรรษา 19 ต.ค. ช่วงปลายสัปดาห์นี้ไปแล้ว พอถึงวันที่ 29 ต.ค. ไปจนถึงวันที่ 8 ธ.ค. 2556 ที่ มิวเซียมสยาม (www.museumsiam.org (http://www.museumsiam.org)) กรุงเทพฯ จะมีการจัด นิทรรศการ “ต้นธารสยาม–ลังกาวงศ์” ซึ่งน่าสนใจในแง่ของพระพุทธศาสนากับไทย เป็นเรื่องราวสายสัมพันธ์ 260 ปี ’ไทย-ศรีลังกา“

เรื่องราวต้นธารพุทธศาสนา ’สยาม-ลังกาวงศ์“

ทั้งนี้ พระพุทธศาสนาถือกำเนิดขึ้นในประเทศอินเดีย และถูกเผยแผ่ไปยังดินแดนต่าง ๆ ทั้ง 9 สาย แต่ภายหลัง ประเทศศรีลังกา กลับกลายเป็นฐานที่มั่นสำคัญของศาสนาพุทธ และเป็นต้นธารสำคัญของการเผยแผ่พุทธศาสนานิกาย “ลังกาวงศ์” ไปยังดินแดนต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงใน ประเทศไทย ด้วย ดังหลักฐาน “ตีนบันได” ที่พบใน “เมืองศรีมโหสถ” ปราจีนบุรี รวมถึง “รอยพระพุทธบาทคู่” ที่วัดสระมรกต ที่มีความละม้ายคล้ายคลึงกับที่ “เจดีย์วัดอภัยคีรี” เมืองอนุราธปุระ ในศรีลังกา และที่ชัดเจนที่สุดก็คือการเป็นศูนย์กลางของ “พุทธศาสนาลังกาวงศ์”

นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 1654 หลังจากที่พระสงฆ์ชาวลังกานาม “อานันทะ” ได้เดินทางมายังเมืองนครศรีธรรมราช เพื่อวางรากฐานและแบบแผนพระธรรมวินัย ซึ่งได้แพร่หลายเข้าสู่กรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา และล้านนา ที่เรียกขานกันว่า “ฝ่ายลังกาวงศ์เก่า” ต่อมาในปี พ.ศ. 1967 ได้มีการส่งพระสงฆ์จากเชียงใหม่ไปศึกษาพระพุทธศาสนายังประเทศศรีลังกา แล้วนำกลับมาเผยแผ่ ในชื่อ “ฝ่ายลังกาวงศ์ใหม่”
 
 :welcome: :welcome: :welcome:

“เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป” เป็นหลักธรรมชาติ พุทธศาสนาเองก็ไม่อาจเลี่ยงพ้น แม้พุทธศาสนาจะเคยรุ่งเรืองจนถึงขีดสุดในศรีลังกา แต่ก็ต้องมาโรยราเมื่อก้าวเข้าสู่พุทธศตวรรษที่ 20 โดยในปี พ.ศ. 2200 เมื่ออิทธิพลจากแถบยุโรปเริ่มแผ่เข้ามา ในศรีลังกาแทบไม่มีพระภิกษุสงฆ์เหลืออยู่เลย แม้ว่าจะมีความพยายามที่จะหาคณะสงฆ์จากดินแดนอื่น ๆ มาทำพิธีอุปสมบทให้กับชาวสิงหล แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ

ซึ่งขณะนั้นพุทธศาสนาในกรุงศรีอยุธยาก็เจริญรุ่งเรือง ทางลังกาจึงมีความพยายามที่จะส่งราชทูตมาหลายครั้ง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ คณะเดินทางต้องล้มตายระหว่างรอนแรมข้ามน้ำข้ามทะเลเป็นจำนวนมาก กระทั่งในปี พ.ศ. 2293 จึงสำเร็จ โดย “สามเณรสรณังกร” ได้อาสาเดินทางมาพร้อมราชทูต และขอคณะสงฆ์เดินทางไปลังกาได้ตามความประสงค์

อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ. 2294 คณะสมณทูตได้ประสบอุบัติเหตุทางเรือที่นครศรีธรรมราช และกว่าจะได้เริ่มออกเดินทางอีกครั้งก็ปี พ.ศ. 2295 โดยใช้เวลาเดินทางไปถึงลังกา 5 เดือน 4 วัน จนล่วงเข้าสู่ปี พ.ศ. 2296 คณะสมณทูตภายใต้การนำของ “พระอุบาลีมหาเถระ” จากกรุงศรีอยุธยา จึงเดินทางไปถึงศรีลังกาได้สำเร็จ

 :s_good: :s_good: :s_good:

อาจกล่าวได้ว่าพระอุบาลีฯ และคณะสมณทูตที่เดินทางไป เป็น “พระธรรมทูต” ชุดแรกของไทย ซึ่งที่ศรีลังกาถือเป็น “ฮีโร่” ผู้สืบสานให้พุทธศาสนาในศรีลังกากลับมาเจริญรุ่งเรืองจนเป็น 1 ใน 3 เสาหลักของพุทธศาสนาโลกได้อีกครั้ง และนับเป็นจุดเริ่มต้นสายสัมพันธ์ของ “สยาม-ลังกา” ที่เชื่อมเกี่ยวกันด้วยพุทธศาสนา

ระยะเวลา 3 ปีก่อนที่จะมรณภาพในศรีลังกา พระอุบาลีฯ และคณะสมณทูตสยาม ได้ช่วยฟื้นฟูพุทธศาสนาด้วยการประกอบพิธีบวชให้ชาวลังกาเป็นพระสงฆ์จำนวน 700 รูป สามเณร 3,000 รูป และวางแนวการปกครองคณะสงฆ์ เผยแพร่ขนบธรรมเนียมชาวพุทธ และเกิดเป็น “นิกายสยามวงศ์” ที่ตั้งมั่นและดำรงอยู่มาตราบจนทุกวันนี้ โดยเป็นนิกายที่ใหญ่ที่สุดและมีจำนวนพระภิกษุสงฆ์ถึง 180 ของพระสงฆ์ทั้งหมดในศรีลังกา

 :sign0144: :sign0144: :sign0144:

อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโคลัมโบ ศรีลังกา พลเดช วรฉัตร เผยว่า...ในศรีลังกาบทบาทพระอุบาลีฯ สำคัญมาก ทุก 10 ปี จะมี การเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่ในวาระครบรอบการเดินทางไปฟื้นฟูพุทธศาสนาของพระอุบาลีฯ และการเกิดขึ้นของนิกายสยามวงศ์ แต่ในไทยกลับไม่ ค่อยได้นำประวัติศาสตร์เรื่องนี้มาพูดถึง ทางกระทรวงการต่างประเทศ โดยสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโคลัมโบ

จึงร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ จัดนิทรรศ การ ณ มิวเซียมสยาม เฉลิมฉลองในโอกาส ครบรอบ 260 ปี แห่งการสถาปนาพระพุทธศาสนานิกายสยามวงศ์ในศรีลังกา ซึ่งจะประกอบไปด้วยข้อมูล ภาพถ่าย และหนังสือการ์ตูนประวัติและผลงานการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระอุบาลีเถระ ฝีมือของ โอม รัชเวทย์

 ans1 ans1 ans1

“นิทรรศการนี้จะแสดงถึงประวัติศาสตร์ที่ลึกซึ้ง จะทำให้เห็นว่าไทยและศรีลังกาเป็นครอบครัวเดียวกันในเรื่องพระพุทธศาสนา ซึ่งชาวพุทธไทยควรจะภาคภูมิใจ เพื่อให้เกิดเป็นความรู้ รัก และตระหนัก ในการพัฒนาวิถีพุทธในไทยให้เข้มแข็งมากขึ้น ให้สมกับการเป็น 1 ใน 3 เสาหลักของพุทธศาสนาโลก”…ท่านพลเดช ระบุ

ทั้งนี้ ที่สยามเคยรับอิทธิพลจากลังกาในอดีต...ยังคงเป็นรากฐานในไทยในปัจจุบัน ที่ทางสยามไปช่วยรื้อฟื้นพุทธศาสนา...ยังคงลงหลักปักฐานมั่นคงในศรีลังกา เป็นการผสมผสานการเป็นเมืองพุทธะ ทั้งสองฝ่ายต่างก็เคยเป็นทั้ง “ผู้ให้” และ “ผู้รับ” โดยมี ’พระพุทธศาสนา“ ช่วยยึดโยง-จารึก “ความสัมพันธ์ 2 ประเทศ”

     นี่เป็นอีกบทบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์
     ที่ชาวพุทธไทยควรจะได้สัมผัสอย่างยิ่ง!!!.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/article/223/241080 (http://www.dailynews.co.th/article/223/241080)