สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ ตุลาคม 24, 2013, 09:23:26 pm



หัวข้อ: สิ้นพระชนม์แล้ว อย่างสงบ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ตุลาคม 24, 2013, 09:23:26 pm

(http://www.komchadluek.net/media/img/size_photo_slide/2013/10/24/9cki88jj768deek6egfjf.jpg)
ภาพจาก http://www.komchadluek.net/detail/20131024/171248.html (http://www.komchadluek.net/detail/20131024/171248.html)


สิ้นพระชนม์แล้ว สมเด็จพระสังฆราช

สิ้นพระชนม์แล้ว อย่างสงบ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

 ans1 ans1 ans1

      แถลงการณ์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เรื่อง พระอาการประชวรของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ขณะประทับ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ฉบับที่ ๙

     วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษารายงานว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระอาการโดยรวมทรุดลง ได้สิ้นพระชนม์ลงแล้ว เมื่อเวลา ๑๙.๓๐ นาฬิกา ของวันนี้ สาเหตุเนื่องจากการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต

     จึงประกาศมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
     โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
      ๒๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖

 :03: :03: :03:

สำหรับพระประวัติ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้รับโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ลำดับที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2532 โดยมีพระนามเดิมว่า ‘เจริญ คชวัตร’ ประสูติเมื่อวันศุกร์ วันที่ 3 ตุลาคม 2456 ณ ตำบลบ้านเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี พระชนก-พระชนนี ชื่อ นายน้อยและนางกิมน้อย คชวัตร ทรงเป็นบุตรคนที่ 1 ในจำนวนบุตรชาย 3 คนของครอบครัวคชวัตร

เมื่อพระชนมายุย่าง 14 ปี ถือบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดเทวสังฆาราม ต่อมา ทรงย้ายมาศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดเสน่หา อ.เมือง จ.นครปฐม 2 พรรษา ก่อนจะทรงย้ายมาศึกษาต่อที่วัดบวรนิเวศวิหาร ในสมัยสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นเจ้าอาวาส ซึ่งพระองค์ทรงสอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค

 gd1 gd1 gd1

จากนั้นในพ.ศ.2476 ทรงกลับไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดเทวสังฆาราม โดยมีพระครูอดุลยสมณกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูนิวิฐสมาจารย์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์

พอถึงช่วงออกพรรษา ทรงกลับมาอุปสมบทอีกครั้งหนึ่ง เพื่อญัตติเป็นธรรมยุต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เมื่อครั้งเป็นสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ และพระรัตนธัชมุนี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ รับฉายาว่า สุวฑฺฒโน อันมีความหมายว่า ผู้เจริญปรีชายิ่งในอุดมปาพจน์

 st12 st12 st12

เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผนวชและประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร สมเด็จพระญาณสังวร ได้รับหน้าที่เป็นพระอภิบาลโดยตลอด และต่อมาได้เป็นผู้ถวายพระธรรมเทศนา พระมงคลวิสสกถาในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ปีพุทธศักราช 2507 โดยได้รับพระราชทานสมณศักดิ์มาโดยลำดับ

   พระชนมายุ 34 พรรษา เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่พระโศภนคณาภรณ์
   พระชนมายุ 39 พรรษา เป็นพระราชาคณะชั้นราช ในราชทินนามเดิม
   พระชนมายุ 42 พรรษา เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ในราชทินนามเดิม
   พระชนมายุ 43 พรรษา เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ในราชทินนามที่ พระธรรมคุณาภรณ์
   พระชนมายุ 48 พรรษา เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรองที่ พระสาสนโสภณ
   พระชนมายุ 59 พรรษา ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระญาณสังวร

 :25: :25: :25:

พ.ศ.2532 ทรงโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เป็นพระองค์แรกที่ใช้พระนามเดิม และทรงให้ถือเป็นแบบธรรมเนียมตราในกฎมหาเถรสมาคมสืบมา

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเป็นผู้ใฝ่ในการศึกษา ทรงมีพระอัธยาศัยใฝ่รู้ใฝ่เรียนมาตั้งแต่ทรงเป็นพระเปรียญ โดยเฉพาะด้านภาษา ทรงศึกษาภาษาต่างๆ อาทิ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน จีน และสันสกฤต จนสามารถใช้ประโยชน์ได้เป็นอย่างดี

 :25: :25: :25:

ขณะเดียวกัน ทรงเป็นพระมหาเถระไทยรูปแรก ที่ได้ดำเนินงานพระธรรมทูตในต่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ทรงนำพระพุทธศาสนาเถรวาทไปสู่ทวีปออสเตรเลียเป็นครั้งแรก โดยการสร้างวัดพุทธรังษี ณ นครซิดนีย์ ทรงให้กำเนิดคณะสงฆ์เถรวาทขึ้นในประเทศอินโดนีเซีย ทรงช่วยฟื้นฟูพระพุทธศาสนาเถรวาทในประเทศเนปาล โดยเสด็จไปให้การบรรพชาแก่ศากยะกุลบุตรในประเทสเนปาลเป็นครั้งแรก โดยสถาบันการศึกษาของชาติหลายแห่ง ตระหนักถึงพระปรีชาสามารถและคุณค่าแห่งานพระนิพนธ์ ตลอดถึงพระกรณียกิจที่ทรงปฏิบัติ

จึงได้ทูลถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์เป็นการเทิดพระเกียรติหลายสาขา อย่างไรก็ตามตลอดเวลาที่ทรงดำรงตำแหน่งนี้ พระองค์ทรงมีคุณูปการอันทรงคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาและประเทศชาติอย่างเอนกอนันต์ ในฐานะประมุขสงฆ์สูงสุด พระองค์ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจและพระศาสนกิจได้ครบถ้วน ทรงเป็นผู้ปกครองอันเที่ยงธรรมมั่นคงในพระธรรมวินัยยิ่งนัก


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/Content.do?contentId=190109 (http://www.dailynews.co.th/Content.do?contentId=190109)


หัวข้อ: สมเด็จพระสังฆราชสิ้นพระชนม์ พระชันษา 100 ปี
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ตุลาคม 24, 2013, 09:34:20 pm

(http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/10/24/378366/hr1667/630.jpg)

สมเด็จพระสังฆราชสิ้นพระชนม์ พระชันษา 100 ปี

แถลงการณ์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ฉบับที่ 9 สมเด็จพระสังฆราชได้สิ้นพระชนม์ลงแล้ว เมื่อเวลา 19.30 น. สาเหตุเนื่องจากการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต...

เมื่อวันที่ 24 ต.ค. แถลงการณ์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เรื่องพระอาการประชวรของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ขณะประทับ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ฉบับที่ 9

วันนี้คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษารายงานว่าสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระอาการโดยรวมทรุดลง ได้สิ้นพระชนม์ลงแล้ว เมื่อเวลา 19.30 น. ของวันนี้ สาเหตุเนื่องจากการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต

โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
24 ตุลาคม 2556


 :91: :91: :91:

พระประวัติ

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระนามเดิมว่า “เจริญ คชวัตร” ประสูติ ณ ต.บ้านเหนือ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เมื่อวันศุกร์ ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 11 ปีฉลู ซึ่งตรงกับวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2456 บิดาชื่อ น้อย คชวัตร มารดาชื่อ กิมน้อย คชวัตร และมีน้องชายอีก 2 คน คือ นายจำเนียร และนายสมุทร เรียงตามลำดับ โดยสมเด็จฯ ทรงเป็นพี่คนโต

ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ทรงมีพระอัธยาศัยส่อแววของความเป็นพระ เช่น ทรงชอบเล่นเป็นพระ มีสวด มีเทศน์ ทอดผ้าป่า เป็นต้น โดยทรงมีเครื่องของเล่น เช่น ตาลปัตรเล็กๆ คัมภีร์เทศน์เล็กๆ ด้วย ทรงรับการศึกษาเบื้องต้นที่โรงเรียนประชาบาลวัดเทวสังฆาราม จนสำเร็จชั้นประถม 5 (เทียบเท่าชั้นมัธยม 2) จากนั้นได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดเทวสังฆาราม (วัดเหนือ) ต.บ้านเมือง ในปี พ.ศ. 2469

 :25: :25: :25:

เมื่อทรงบรรพชาเป็นสามเณรได้ 1 พรรษา พระครูอดุลย์สมณกิจ (พุทธฺโชติ ดี) เจ้าอาวาสวัดเทวสังฆาราม หรือที่เรียกกันว่าหลวงพ่อวัดเหนือ พระอุปัชฌาย์ ได้พามาฝากให้อยู่เรียนพระปริยัติธรรม หรือเรียนภาษาบาลี ที่วัดเสน่หา จ.นครปฐม ในความปกครองของพระครูสังวรวินัย (อาจ) เจ้าอาวาสวัดเสน่หา ก่อนจะทรงย้ายมาศึกษาต่อที่วัดบวรนิเวศวิหาร ในสมัยพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ทรงครองอาราม และทรงสอบได้ประโยคลำดับต่างๆ มาโดยลำดับจนถึง 9 ประโยค

ทรงกลับไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดเทวสังฆาราม เมื่อ พ.ศ. 2476 โดยมีพระครูอดุลยสมณกิจ เจ้าอาวาสเป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูนิวิฐสมาจารย์ เจ้าอาวาสวัดศรีอุปลาราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ครั้นออกพรรษาแล้ว ทรงกลับมาอุปสมบทเป็นธรรมยุต ณ วัดบวรนิเวศวิหารอีกครั้งหนึ่ง โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ครั้งยังเป็นสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ และพระรัตนธัชมุนี (จู อิสฺสรญาโณ) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ประทานนามฉายาว่า “สุวฑฺฒโน”

 st12 st12 st12

เจ้าประคุณสมเด็จฯ ทรงเป็นผู้ใฝ่พระทัยในการศึกษา แสวงหาโอกาสที่จะศึกษาวิชาการต่างๆ อยู่เสมอ ราว พ.ศ.2477-2478 ทรงศึกษาภาษาอังกฤษและสันสกฤตกับนักปราชญ์ชาวอินเดีย “สวามีสัตยานันทบุรี” นอกจากนี้ยังทรงศึกษาภาษาจีน ฝรั่งเศส และเยอรมันด้วย ไม่เพียงเท่านั้นยังสนพระทัยในการศึกษาหาความรู้วิชาการสมัยใหม่ในด้านต่างๆ เป็นเหตุให้ทรงรอบรู้ทั้งทางคดีธรรมและคดีโลก มีโลกทัศน์กว้างขวาง ทันต่อความเปลี่ยนแปลง ทั้งในด้านการศาสนา และเหตุบ้านการเมือง

เมื่อทรงสอบได้เปรียญชั้นสูงแล้ว ก็ทรงรับภาระหน้าที่มากขึ้นตามกาล และได้รับพระราชทานสมณศักดิ์มาโดยลำดับ พระชันษา 34 ปี เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ “พระโสภณคณาภรณ์” พระชันษา 39 ปี เป็นชั้นราช พระชันษา 42 ปี เป็นชั้นเทพ ในราชทินนามเดิม พระชันษา 43 ปี เป็นชั้นธรรมที่ “พระธรรมคุณาภรณ์” พระชันษา 48 ปี เป็นพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรองที่ “พระสาสนโสภณ” พระชันษา 59 ปี เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ “สมเด็จพระญาณสังวร”

เมื่อพระชันษา 75 ปี รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็น “สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก” ในราชทินนามเดิม โดยได้มีพระราชพิธีสถาปนาเมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2532 นับเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์



 ans1 ans1 ans1 ans1


พระกรณียกิจ

พระกรณียกิจของสมเด็จพระสังฆราชฯ ที่ยังคงประทับใจคนไทยไม่รู้เลือน คือ พระกรณียกิจ ทรงเป็นพระอภิบาล (พระพี่เลี้ยง) ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งทรงผนวชที่วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อปี พ.ศ. 2499 ซึ่งในระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผนวช ประชาชนจะได้เห็นสมเด็จพระสังฆราชคอยเป็นผู้อภิบาลพระองค์โดยตลอดในระหว่างที่ทรงผนวช

ด้านการต่างประเทศ สมเด็จทรงเป็นประธานดำเนินการและประธานอุปถัมภ์ในการสร้างวัดและอุโบสถในประเทศต่างๆ หลายแห่ง เช่น วัดพุทธรังษี ณ นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย วัดจาการ์ตาธรรมจักรชัย ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย วัดแคโรโลนาพุทธจักรวนาราม ในรัฐแคโรไลนาเหนือ สหรัฐอเมริกา รวมทั้งได้เสด็จไปดูการศาสนาในประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ อินเดีย เนปาล เป็นต้น

 :25: :25: :25:

ด้านการศึกษา ทรงปรับปรุงหลักสูตรศาสนศึกษาของคณะสงฆ์ ปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาของสงฆ์และธรรมศึกษาให้เหมาะกับผู้เรียน เพื่อให้เกิดคุณูปการในชีวิตจริงเป็นสำคัญควบคู่กับธรรมวินัย

ด้านการปกครอง เป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม ทรงบริหารการพระศาสนาด้วยหลักพ่อปกครองลูก ทรงยึดแบบแผนเดิมอันเป็นธรรมเนียมประเพณีที่สมเด็จพระสังฆราชทุกพระองค์ได้เคยปฏิบัติมา แต่ไม่ได้ละเลยของใหม่ โดยประยุกต์ให้สอดคล้องต้องธรรม

 st12 st12 st12

ด้านสาธารณูปการ ได้เป็นประธานกรรมการอุปการะฝ่ายบรรพชิต ในการก่อสร้างตึก ภปร. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ร่วมกับสภากาชาดไทย สร้างตึกวชิรญาณวงศ์และตึกวชิรญาณสามัคคีพยาบาล เพื่อเป็นตึกสงฆ์และใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ทรงเป็นประธานอุปถัมภ์การสร้างวัดในต่างจังหวัดอีกมากมาย อาทิ วัดรัชดาภิเษก วัดพุมุด จ.กาญจนบุรี วัดวังพุไทร จ.เพชรบุรี วัดล้านนาสังวราราม จ.เชียงใหม่ ที่สำคัญทรงเป็นประธานสร้างวัดญาณสังวราราม ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ให้เป็นที่บำเพ็ญสมณธรรมของพระภิกษุสามเณร และเป็นประโยชน์เกื้อหนุนการพัฒนาอาชีพของประชาชน

ด้านงานนิพนธ์ ทรงนิพนธ์หนังสือประเภทต่างๆ ไว้มากมาย ทั้งที่เป็นตำราประกอบการศึกษา ธรรมกถา ธรรมเทศนา และสารคดี เช่น อธิบายวากยสัมพันธ์ ภาค 1-2 ตำนานวัดบวรนิเวศวิหารเล่ม 2 หลักพระพุทธศาสนา 45 พรรษาของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสั่งสอนอะไร พระพุทธศาสนากับสังคมไทย เป็นต้น ทรงริเริ่มให้มีการแปลหนังสือพระพุทธศาสนาที่สำคัญๆ จากภาษาไทยเป็นภาษาต่างประเทศ และโปรดให้จัดตั้งแผนกจำหน่ายหนังสือพระพุทธศาสนาภาษาต่างประเทศของมหามกุฎราชวิทยาลัย ขึ้นในปี พ.ศ.2521 เพื่อให้เป็นศูนย์หนังสือทางพระพุทธศาสนาสำหรับชาวต่างประเทศที่สนใจจะศึกษาพระพุทธศาสนา ตลอดจนชาวไทยผู้สนใจทั่วไป


 
 ans1 ans1 ans1 ans1


พระอาการประชวร

สมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงเสด็จประทับ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ. 2545 เป็นต้นมา เช้าวันที่ 14 ต.ค. 2556 คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาได้รายงานว่า สมเด็จพระสังฆราชฯ ประชวร และทรงมีความดันพระโลหิตต่ำ เนื่องมาจากติดเชื้อในกระแสพระโลหิต คณะแพทย์ตรวจพบว่า พระอันตะ (ลำไส้ใหญ่) และพระอันตคุณ (ลำไส้เล็ก) ขาดพระโลหิตและมีแผลติดเชื้อ จึงถวายการรักษาด้วยการผ่าตัดพระอันตะและพระอันตคุณบางส่วนออก

ภายหลังการผ่าตัดปรากฏว่าพระอาการโดยรวมดีขึ้น ไม่ทรงมีไข้ ความดันพระโลหิตอยู่ในเกณฑ์ที่ดี สามารถลดปริมาณพระโอสถ เพิ่มความดันพระโลหิตได้ตามลำดับ ไม่ปรากฏภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด คณะแพทย์ได้ถวายพระโอสถปฏิชีวนะ เพื่อควบคุมการติดเชื้อต่อไป และในวันที่ 15 ต.ค.2556 คณะแพทย์ได้เชิญสมเด็จพระสังฆราชฯ เสด็จออกจากหออภิบาลผู้ป่วยหนัก (I.C.U.) กลับมาประทับ ณ ห้องที่ประทับตึกวชิรญาณ

 :25: :25: :25:

วันที่ 20 ต.ค. 2556 คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาได้รายงานว่า สมเด็จทรงมีความดันพระโลหิตลดต่ำลง และอัตราการเต้นของพระหทัยผิดปกติตั้งแต่ตอนบ่าย ผลการตรวจพระโลหิตพบว่า เม็ดพระโลหิตขาวเพิ่มสูงขึ้น เกล็ดพระโลหิตลดต่ำลง และมีความผิดปกติของการแข็งตัวของพระโลหิต ผลการตรวจการทำงานของพระยกนะ (ตับ) พบความผิดปกติเพิ่มขึ้น พระโลหิตมีภาวะเป็นกรด ผลการตรวจภาพรังสีคอมพิวเตอร์ (CT Scan) ที่พระอุระ (อก) และพระนาภี (ท้อง) ไม่พบการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ คณะแพทย์จึงปรับเปลี่ยนพระโอสถปฏิชีวนะถวาย กับถวายสารน้ำ รวมทั้งถวายพระโอสถเพิ่มความดันพระโลหิต และควบคุมการเต้นของพระหทัย โดยแพทย์และพยาบาลได้ถวายการตรวจและติดตามการรักษาอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชม.

ค่ำวันที่ 22 ต.ค.2556 คณะแพทย์ที่ทำการรักษาได้รายงานว่า สมเด็จฯ มีพระอาการทรุดลง ระดับความดันพระโลหิตต่ำลงอีก ไม่ตอบสนองต่อพระโอสถเพิ่มความดันที่ถวาย การเต้นของพระหทัยที่ไม่สม่ำเสมอ คณะแพทย์ได้ปรับเปลี่ยนพระโอสถปฏิชีวนะ พระโอสถเพิ่มความดันพระโลหิต รวมทั้งถวายโลหิตและสารน้ำทางหลอดพระโลหิตดำ วันที่ 23 ต.ค.2556 สมเด็จฯ มีอาการโดยรวมทรงตัว ระดับความดันพระโลหิตอยู่ในเกณฑ์ต่ำ คณะแพทย์ยังคงถวายพระโอสถปฏิชีวนะ และพระโอสถเพิ่มความดันโลหิต และเฝ้าถวายการตรวจ และติดตามการรักษาตลอด 24 ชม.

 :25: :25: :25:

วันที่ 24 ต.ค.2556 คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษารายงานว่า สมเด็จฯ มีพระอาการโดยรวมทรุดลง ระดับความดันพระโลหิตอยู่ในเกณฑ์ต่ำลง คณะแพทย์และพยาบาลยังคงถวายพระโอสถและเฝ้าถวายการตรวจรักษาอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องตลอด 24 ชม.

ล่าสุด ค่ำวันที่ 24 ต.ค. 2556 คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษารายงานว่า สมเด็จฯ ได้สิ้นพระชนม์ลงแล้ว เมื่อเวลา 19.30 น. ของวันนี้ สาเหตุเนื่องจากการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/majesty/378366 (http://www.thairath.co.th/content/majesty/378366)


หัวข้อ: Re: สิ้นพระชนม์แล้ว อย่างสงบ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ ตุลาคม 24, 2013, 11:47:58 pm
ได้ทราบข่าว เมื่อ 21.00 น. อาตมาภาพ พระสนธยา ธัมมะวังโส และทีมงาน มัชฌิมา แบบลำดับ สระบุรี ขอไว้อาลัย แด่พระองค์ท่าน ถึงแม้ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย สำหรับผู้ปฏิบัติภาวนา จะเป็นเรื่อง ธรรมดา แต่การจากไปของประมุขสงฆ์ ที่มีผลงาน ในด้านการศึกษา และ ภาวนา เป็นต้นแบบ ของสงฆ์ ที่สำคัญ ได้ สิ้นพระชมม์ จึงรู้สกเสียดาย ต่อการจากไปของพระองค์ท่าน

   

   


หัวข้อ: Re: สิ้นพระชนม์แล้ว อย่างสงบ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
เริ่มหัวข้อโดย: ธุลีธวัช (chai173) ที่ ตุลาคม 25, 2013, 01:29:22 am
(http://ts1.mm.bing.net/th?id=HK.275617219892&pid=15.1)(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000013959603.JPEG)


หัวข้อ: Re: สิ้นพระชนม์แล้ว อย่างสงบ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
เริ่มหัวข้อโดย: ธุลีธวัช (chai173) ที่ ตุลาคม 25, 2013, 01:48:46 am
http://www.youtube.com/watch?v=Of9X3heF8ik#t=59 (http://www.youtube.com/watch?v=Of9X3heF8ik#t=59)


หัวข้อ: Re: สิ้นพระชนม์แล้ว อย่างสงบ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
เริ่มหัวข้อโดย: kobyamkala ที่ ตุลาคม 25, 2013, 11:29:25 am
 :'( :'( :'( thk56


หัวข้อ: Re: สิ้นพระชนม์แล้ว อย่างสงบ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
เริ่มหัวข้อโดย: DANAPOL ที่ ตุลาคม 25, 2013, 02:15:17 pm
 st12 st12 st12 st12

 พึ่งเห็นพระอาจารย์ มากล่าวคำไว้อาลัย ต่อการจากไปของพระสงฆ์ รูปแรก นะครับ ในเว็บนี้

  st12 st12 st12 st12