สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

กรรมฐาน มัชฌิมา => เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ ตุลาคม 28, 2013, 08:09:26 pm



หัวข้อ: งดงาม ทรงคุณค่ากับ“พระตำหนัก”แห่งสมเด็จพระสังฆราช
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ตุลาคม 28, 2013, 08:09:26 pm
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2865901)
พระตำหนักเพ็ชร ณ วัดบวรนิเวศวิหาร

งดงาม ทรงคุณค่ากับ“พระตำหนัก”แห่งสมเด็จพระสังฆราช

       "วัดบวรนิเวศวิหาร" เป็นวัดสำคัญแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ หรือวังหน้าในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แต่ในสมัยของพระองค์ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ ต่อมารัชกาลที่ 3 ได้ทรงอาราธนาสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าฟ้ามงกุฏ (สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ซึ่งผนวชเป็นพระภิกษุอยู่วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส) เสด็จมาครอง เมื่อ พ.ศ.2375 พระองค์จึงได้ทรงบูรณะสิ่งต่างๆ เพิ่มเติม
       
       ปัจจุบันภายวัดบวรนิเวศวิหารมีสถานที่สำคัญ อาทิ พระอุโบสถที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ 2 คือ พระพุทธชินสีห์ และพระสุวรรณเขต (พระโต) พระเจดีย์สีทองทรงกลมขนาดใหญ่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และพระบรมรูปรัชกาลที่ 4 ที่ประดิษฐานอยู่หน้าพระเจดีย์ อีกทั้งยังมีวิหารพระศาสดา พระพุทธบาทจำลอง ให้พุทธศาสนิกชนที่ศรัทธาได้มากราบไหว้กัน และตำหนักปั้นหย่า อาคารสถาปัตยกรรมแบบยุโรปอันงดงามสมส่วน



(http://www.madchima.net/forum/gallery/11_28_10_13_8_18_20.jpeg)
“ตำหนักคอยท่า ปราโมช”

       วัดบวรนิเวศวิหารเเห่งนี้ นอกจากจะมีความงดงามแล้ว ยังเป็นที่สถิตขององค์สมเด็จพระสังฆราชถึง 4 พระองค์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ คือ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ (พระองค์เจ้าฤกษ์ ปญฺญาอคฺคโต)พระสังฆราชองค์ที่ 8 , สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ) พระสังฆราชองค์ที่ 10,สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (หม่อมราชวงศ์ชื่น นพวงศ์ สุจิตฺโต)พระสังฆราชองค์ที่13 และสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน) ทุกพระองค์เป็นสมเด็จองค์พระสังฆราชองค์ที่ 19


(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2865904)
บรรยากาศภายในพระตำหนักเพ็ชร สถานที่ตั้งพระศพสมเด็จพระสังฆราช (ภาพจาก FB : Chulcherm Yugala)

       และเพื่อเป็นการถวายอาลัยต่อการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เราจึงนำเรื่องราวของพระตำหนักแห่งสมเด็จพระสังพระสังฆราช(สมเด็จพระญาณสังวร) มาบอกเล่าสู่กันฟัง
       
       พระตำหนักแรกคือ "ตำหนักคอยท่า ปราโมช" ซึ่งมีที่มาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ที่ทรงมีพระราชดำริว่าวัดรังษีสุทธาวาสซึ่งอยู่ติดกับวัดบวรนิเวศวิหารนั้นมีสภาพทรุดโทรมมาก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยุบรวมเข้าเป็นวัดเดียวกับวัดบวรฯ และเรียกส่วนที่เป็นวัดรังษีสุทธาวาสเดิมว่า "คณะรังษี" และต่อมาในปี พ.ศ. 2478 หม่อมเจ้าหญิงคอยท่า ปราโมชได้สร้างกุฏิคอนกรีต เป็นตึก 3 ชั้น ถวายแด่สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ครั้งทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุติ) จึงเรียกชื่อตำหนักแห่งนี้ว่า "ตำหนักคอยท่า ปราโมช"
       
       ตำหนักคอยท่า ปราโมช มีความสำคัญคือเป็นสถานที่ทรงงานของสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชฯ จึงมีหลายคนนิยมเรียกว่า “ตำหนักพระสังฆราช”



(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2865905)
บรรยากาศด้านหน้าพระตำหนักเพ็ชร (จากแฟ้มภาพ)

      สำหรับพระตำหนักสำคัญอีกหนึ่งหลังคือ "ตำหนักเพ็ชร" ซึ่งเป็นตำหนักที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างถวายเป็นท้องพระโรงแด่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 10 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อปีพุทธศักราช 2457
       
       ตำหนักเพ็ชร เคยเป็นที่ตั้งของโรงพิมพ์สำหรับพิมพ์บทสวดมนต์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงสร้างขึ้น โดยลักษณะของพระตำหนักนั้นเป็นพระตำหนักชั้นเดียวสร้างด้วยคอนกรีต มุงกระเบื้องเคลือบ ประดับสันหลังคาด้วยด้วยปูนปั้นลายกระจัง ปูพื้นด้วยหินอ่อน หน้าบันประดับด้วยลายมหามงกุฎและวัชระล้อมด้วยเครือเถา ถัดลงมาจารึกชื่อพระตำหนักเพ็ชร
       
       ตำหนักแห่งนี้ใช้เป็นสถานที่ประชุมมหาเถรสมาคม อีกทั้งยังเคยใช้เป็นที่ประชุมคณะธรรมยุติวินิจฉัยกรณีพิพาทระหว่างพระมหานิกายและธรรมยุติ และพระตำหนักเพ็ชรยังได้รับรางวัลการอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่นจากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ปี 2539 อีกด้วย



(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2865906)
พุทธศาสนิกชนต่อแถวเพื่อเข้าสักการะพระศพ ณ พระตำหนักเพ็ชร

       ปัจจุบันหลังการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสังฆราช พระตำหนักเพ็ชรแห่งนี้ ได้ใช้เป็นที่ประดิษฐานพระศพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช(เจริญ สุวฑฺฒโน) สกลมหาสังฆปริณายก ซึ่งพระองค์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เนื่องจากติดเชื้อในกระแสพระโลหิต ไปเมื่อ วันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยได้มีการจัดพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระศพสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเปิดให้พุทธศาสนิกชนสามารถเข้ามาร่วมสักการะได้ โดยบรรยากาศบริเวณตำหนักเพ็ชรแห่งนี้ต่างเนืองแน่นไปด้วยเหล่าพุทธศาสนิกชน ที่เดินทางมาเพื่อสักการะพระศพองค์สมเด็จพระสังฆราช โดยมีการโปรดเกล้าฯให้ไว้ทุกข์นับตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม-23 พฤศจิกายน 2556

ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000134583 (http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000134583)


หัวข้อ: Re: งดงาม ทรงคุณค่ากับ“พระตำหนัก”แห่งสมเด็จพระสังฆราช
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ตุลาคม 28, 2013, 08:28:56 pm

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x385/cover/331568.jpg)

‘พระตำหนักเพ็ชร’สถานที่ประดิษฐานพระศพ‘สมเด็จพระสังฆราช’

นักพระราชวังได้เผยแพร่ประกาศเรื่องไว้ทุกข์ในพระราชสำนัก ความว่า เลขาธิการพระราชวัง รับพระบรมราชโองการฯให้ประกาศว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฒฺโน) สิ้นพระชนม์ เนื่องจากการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม 2556 เวลา 19 นาฬิกา 30 นาที

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทด้วยความเศร้าสลดพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ไว้ทุกข์ในพระราชสำนัก จาก 15 วัน เป็น 30 วัน นับตั้งแต่วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2556 ถึงวันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2556และโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานพระศพไว้ ณ พระตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร และถวายพระเกียรติยศตามพระราชประเพณีทุกประการ

 ans1 ans1 ans1

วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร หรือ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ฝ่ายธรรมยุต ตั้งอยู่ต้นถนนตะนาวและถนนเฟื่องนคร เขตพระนคร กรุงเทพฯ โดย สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือ วังหน้า ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงสร้างใหม่เพื่อใช้เป็นที่ทำการปลงศพเจ้าจอมมารดา (น้อย) ซึ่งเป็นเจ้าจอมของพระองค์เจ้าดาราวดี พระราชชายา ระหว่าง พ.ศ. 2367 และ พ.ศ. 2375 (ปีระหว่างอุปราชาภิเษกและสวรรคตของสมเด็จพระบวรราชเจ้าพระองค์นั้น) อยู่ใกล้กับวัดรังษีสุทธาวาส ที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ ทรงสถาปนาขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2366

ซึ่งต่อมาภายหลังพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงเห็นว่า วิหารนั้นมีสภาพทรุดโทรมมาก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมกับวัดบวรนิเวศวิหารเสีย ในปี พ.ศ. 2458 โดยในปัจจุบันยังคงเรียกส่วนที่เป็นวัดรังษีสุทธาวาสว่า “คณะรังษี”


(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x385/cover/331569.jpg)

แต่เดิมวัดแห่งนี้มีชื่อว่า “วัดใหม่” สถาปัตยกรรมมีลักษณะเป็นศิลปะไทยผสมจีน โดยทรงผูกพัทธสีมาเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2372 ได้รับพระราชทานชื่อ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอาราธนา สมเด็จพระอนุราชาธิราช เจ้าฟ้ามงกุฎฯ ซึ่งทรงผนวชเป็นพระภิกษุประทับอยู่วัดสมอราย (ซึ่งก็คือ วัดราชาธิวาสในปัจจุบัน) เสด็จมาครองในปี พ.ศ. 2375

เมื่อทรงอาราธนาสมเด็จพระอนุราชาธิราช เจ้าฟ้ามงกุฎฯ เสด็จมาครองวัดใหม่ ได้โปรดให้เสด็จเข้าไปทรงเลือกของในพระราชวังบวรก่อน มีพระประสงค์สิ่งใด พระราชทานให้นำมาได้ ข้อนี้มีหลักฐานสมจริง โดยพระไตรปิฎกฉบับวังหน้าที่วัดนี้ มีกรอบและผ้าห่อสายรัดอันวิจิตร ซึ่งกรอบเป็นทองคำลงยาก็มี เป็นถมตะทองก็มี เป็นงาสลักก็มี ประดับมุกก็มี เป็นของประณีตเกินกว่าทำถวายวัด เข้าใจว่า เป็นหนังสือที่ทรงสร้างไว้สำหรับพระราชวังบวร แม้เหล่านี้บางทีจะทรงเลือกเอามาในครั้งนั้นก็ได้

 :25: :25: :25:

การที่โปรดให้เข้าไปทรงเลือกของในพระราชวังบวรและพระราชทานนามวัดแห่งนี้ใหม่ว่า “วัดบวรนิเวศวิหาร” ย่อมเป็นเหมือนประกาศให้รู้ว่า ทรงเทียบสมเด็จพระอนุราชาธิราช เจ้าฟ้ามงกุฎฯ ไว้ในฐานะกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ตำแหน่งมหาอุปราช เพื่อป้องกันความสำคัญในการสืบราชสมบัติ เพราะคำว่า “บวรนิเวศ” เทียบกันได้กับ “บวรสถาน” ซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคลเทียบได้กับ “วังบน” อันเป็นคำเรียกพระราชวังบวรอีกชื่อหนึ่ง

มีคำเล่ากันว่า เมื่อสมเด็จพระอนุราชาธิราช เจ้าฟ้ามงกุฎฯ ทรงเลือกเอาหนังสือ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงทราบว่ายังไม่ทรงลาผนวช และได้เชิญเสด็จสมเด็จพระอนุราชาธิราช เจ้าฟ้ามงกุฎฯ มาครองวัดนี้ในปี พ.ศ. 2375 โดยจัดขบวนแห่เหมือนอย่างพระมหาอุปราช


(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x385/cover/331570.jpg)

ในระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวชอยู่ ทรงได้ปรับปรุงวางหลักเกณฑ์ความประพฤติ ปฏิบัติของพระสงฆ์ให้เป็นไปโดยถูกต้องตามพระธรรมวินัย โดยมีพระสงฆ์ประพฤติปฏิบัติตามอย่างพระองค์เป็นจำนวนมาก ในคราวที่พระองค์เสด็จมาครองวัดก็ได้นำเอาการประพฤติปฏิบัตินั้นมาใช้ในการปกครองพระสงฆ์ ณ วัดนี้ด้วย

ซึ่งในครั้งเดิมเรียกพระสงฆ์คณะนี้ว่า “บวรนิเวศาทิคณะ” อันเป็นชื่อสำนักวัดบวรนิเวศวิหาร ต่อมาจึงได้ชื่อว่า “คณะธรรมยุติกนิกาย” ซึ่งแปลว่าคณะสงฆ์ผู้ซึ่งปฏิบัติตามพระธรรมวินัย จึงถือว่า วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นสำนักเอกเทศแห่งคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายเป็นวัดแรก

 :s_good: :s_good: :s_good:

อีกทั้งได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์และสร้างถาวรวัตถุต่าง ๆ เพิ่มเติมขึ้นหลายอย่าง พร้อมทั้งได้รับพระราชทานพระตำหนักจากรัชกาลที่ 3 ด้วย ในสมัยต่อมาวัดแห่งนี้เป็นวัดที่ประทับของพระมหากษัตริย์เมื่อทรงผนวชหลายพระองค์ เช่น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน จึงทำให้วัดนี้ได้รับการทะนุบำรุงให้คงสภาพดีอยู่เสมอ

วัดบวรนิเวศวิหาร มีศิลปกรรมและถาวรวัตถุที่มีค่าควรแก่การศึกษา แบ่งออกเป็นศิลปกรรมในเขตพุทธาวาส และศิลปกรรมในเขตสังฆาวาส เขตทั้งสองนี้ถูกแบ่งโดยกำแพงและคูน้ำ แยกจากกันอย่างชัดเจนโดยมีสะพานเชื่อมถึงกัน ทำให้เดินข้ามไปมาได้อย่างสะดวก


(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x385/cover/331571.jpg)

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x385/cover/331572.jpg)

สถาปัตยกรรมล้ำค่าที่สำคัญภายในวัด เริ่มจาก พระอุโบสถ ซึ่งได้สร้างขึ้นมาตั้งแต่ครั้งสร้างวัดในสมัยรัชกาลที่ 3 แต่ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ ซ่อมแซมต่อมาอีกหลายครั้ง รูปแบบของพระอุโบสถที่สร้างตามแบบพระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ 3 มีมุขหน้ายื่นออกมาเป็นพระอุโบสถ และมีปีกยื่นออกซ้ายขวาเป็นวิหารมุข หน้าที่เป็นพระอุโบสถมีเสาเหลี่ยม มีพาไลรอบซุ้มประตูหน้าต่าง และหน้าบันประดับด้วยลายปูนปั้น

พระอุโบสถหลังนี้ได้รับการบูรณะ ในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยโปรดเกล้าฯ ให้มุงกระเบื้องเคลือบลูกฟูก ประดับลายหน้าบันด้วยกระเบื้องเคลือบสี และโปรดเกล้าฯ ให้ขรัวอินโข่ง เขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถ โดยขรัวอินโข่งนี้เป็นพระสงฆ์ผู้มีฝีมือในการวาดภาพและเป็นคนไทยคนแรกที่ใช้วิธีการวาดภาพแบบตะวันตกคือ มีการแสดงระยะใกล้ไกล ส่วนภายนอกได้รับการบูรณะด้วยการบุผนังด้วยหินอ่อนทั้งหมด เสาด้านหน้าของพระอุโบสถเป็นเสาเหลี่ยม มีบัวหัวเสาเป็นลายฝรั่ง ซุ้มประตูและซุ้มหน้าต่างปิดทองประดับด้วยกระจก

 :96: :96: :96:

พระอุโบสถหลังนี้มีรูปแบบที่มีลักษณะเฉพาะต่างไปจากพระอุโบสถทั่วไป เพราะเป็นการผสมกันระหว่างศิลปะแบบพระราชนิยมของรัชกาลที่ 3 ซึ่งเน้นไปทางศิลปะจีนและศิลปะแบบรัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็นศิลปะที่มีอิทธิพลฝรั่ง จึงทำให้พระอุโบสถหลังนี้มีลักษณะผสมของอิทธิพลศิลปะต่างชาติทั้งสองแบบ แต่ทั้งหมดตั้งอยู่บนพื้นฐานของศิลปะไทย

พระตำหนักเพ็ชร ตำหนักด้านขวาเมื่อเข้าจากหน้าวัด ลักษณะเป็นพระตำหนักสองชั้นแบบตึกฝรั่งผสมไทย มุขหน้าประดับด้วยลวดลายไม้ฉลุงดงาม หลังคามุงกระเบื้องเคลือบ สันหลังคาประดับด้วยปูนปั้นลายกระจัง หน้าบันประดับด้วยลายมหามงกุฎและวัชระ ล้อมรอบด้วยลายเครือเถา ด้านล่างลงมาเป็นชื่อตำหนัก ซุ้มประตูหน้าต่างทำด้วยไม้ คันทวยเป็นลายดอกไม้ ฐานแต่ละช่องประดับด้วยซุ้มดอกไม้ปูนปั้น เสาย่อเก็จประดับบัวหัวเสา พื้นปูด้วยหินอ่อน.

ทีมวาไรตี้


(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x385/cover/331573.jpg)

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x385/cover/331574.jpg)

ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.dailynews.co.th/Content.do?contentId=190596 (http://www.dailynews.co.th/Content.do?contentId=190596)