|
หัวข้อ: ครูบาจง.พระผู้พลิกฟื้น 'กลุ่มเครื่องปั้นดินเผาบ้านกวน' เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ตุลาคม 29, 2013, 08:47:30 am (http://www.komchadluek.net/media/img/size_photo_slide/2013/10/28/576afb9b68jk6a6hhibf9.jpg) ครูบาจง อุปลวณฺโณ พระผู้พลิกฟื้น'กลุ่มเครื่องปั้นดินเผาบ้านกวน' : เรื่องและภาพ ไตรเทพ ไกรงู “กลุ่มเครื่องปั้นดินเผาบ้านกวน” เป็นวิสาหกิจชุมชน ของบ้านกวน หมู่ ๖ ต.หารแก้วน อ.หางดง จ.เชียงใหม่ โดยความอุปถัมภ์ของพระบุญต่อ อุปลวณฺโณ หรือครูบาจง เจ้าอาวาสวัดศรีสว่าง (บ้านกวน) เจ้าคณะตำบลหารแก้ว อ.หางดง จ.เชียงใหม่ เป็นการร่วมกลุ่มของคนในชุมชน ในการปั้นเครื่องปั้นดินเผาเป็นสินค้าโอท็อปของชุมชน ได้แก่ การปั้นหม้อน้ำ กระถาง เตาอังโล่ ฯลฯ ครูบาจงเล่าให้ฟังว่า การทำเครื่องปั้นดินเผาหรือการปั้นหม้อแบบพื้นบ้านของชุมชนบ้านกวนเริ่มทำกันมาตั้งแต่สมัยพญามังรายมหาราช คือเมื่อกว่า ๗๐๐ ปี ที่ผ่านมา เมื่อพญามังรายมหาราชยกทัพจากเมืองไชยปราการมาตีเมืองลำพูนได้แล้วก็มาสร้างเมืองกุมกามขึ้นและอพยพผู้คนมาจากเมืองแสนทวีและสิบสองปันนามาอยู่ ณ เวียงกุมกาม ในจำนวนนั้นมีช่างที่ทำเครื่องเงินและช่างปั้นหม้อร่วมเดินทางมาด้วย หลังจากสร้างเวียงกุมกามได้สามปี มีน้ำท่วมตลอดทุกปี จึงโปรดให้ย้ายขึ้นไปสร้างเมืองเชียงใหม่และโปรดให้ย้ายช่างทำเครื่องปั้นดินเผาไปอยู่ที่บ้านกวน ช่างทำเครื่องเงินไปอยู่ที่บ้านวัวลาย เพื่อทำเป็นสินค้าส่งออกให้กับอาณาจักรใกล้เคียงและเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันของคนในชุมชนด้วย (http://www.komchadluek.net/media/img/size1/2013/10/28/99cfcjb6bj97c6kdkj968.jpg) การผลิตเครื่องปั้นดินเผาของล้านนาและเชียงใหม่ ผลิตโดยใช้วิธีการที่ไม่ซับซ้อน และใช้วัตถุดิบที่หาได้ในท้องถิ่น มีทั้งแบบไม่เคลือบและแบบเคลือบ สำหรับสินค้าเครื่องปั้นดินเผาที่ขึ้นหน้าขึ้นตาในอดีต ได้แก่ เครื่องถ้วยจากเตาสันกำแพงที่มีลายสัญลักษณ์ คือ "ปลาคู่" คล้ายกับเครื่องถ้วยสุโขทัย นอกจากนี้ยังมีเครื่องถ้วยจากเตา เวียงกาหลง และในสันป่าตองยังพบเศษเครื่องปั้นดินเผาแบบหริภุญไชยเป็นอันมาก ปัจจุบันมีอยู่หลายชนิด เช่น หม้อนึ่ง หม้อแจ่ง (เป็นหม้อทรงสูงใช้ต้มน้ำ) หม้อต่อม (หม้อใบเล็กใช้ต้มหรือแกง) หม้อต้มยา หม้อข้าวพม่า น้ำต้น (คนโท) โดยมีแหล่งการผลิตอยู่หลายแห่ง เช่น บ้านกวน หารแก้ว บ้านเหมืองกุง และเครื่องถ้วยเตาขุนเส เป็นต้น "ในสมัยก่อนหม้อที่ทำขึ้นนั้นจะเป็นหม้อน้ำสำหรับใส่น้ำ และหม้อแกงทั้งเล็กและใหญ่ หม้อต่อม ใช้สำหรับหุงข้าว หม้อกาต้มน้ำหรือชาวบ้านเรียกว่าหม้องวง ต่อมาก็ทำหม้อต้มยำ ซึ่งเป็นที่นิยมอยู่ในปัจจุบันนี้ และปัจจุบันได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมีชื่อเสียง มีจำหน่ายที่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเครื่องปั้นดินเผาบ้านกวน หมู่ 6 ตำบลหารแก้ว อำเภอหางดง รูปแบบใหม่ๆ ขึ้นอีกหลายชนิด เช่น น้ำพุ โคมไฟ เตาน้ำหอม ตลอดจนเป็นของที่ระลึก ซึ่งก็ได้รับความนิยมจากลูกค้าเป็นอย่างดี" ครูบาจงกล่าว พร้อมนี้ ครูบาจงยังบอกด้วยว่า ก่อนที่จะมีการรวมกลุ่มนั้น เครื่องปั้นดินเผาจากบ้านกวนเหลือคนปั้นที่ยึดเป็นอาชีพไม่กี่ราย เหลือแต่ผู้เฒ่าผู้แก่ คนมุ่งสู่โรงงาน มองไม่เห็นว่าจะเป็นอาชีพที่สร้างความมั่นคงได้ แต่เมื่อมีการรวมกลุ่มกันทำ รวมกลุ่มกันขายทำให้มุมมองของอาชีพปั้นดินเผาเปลี่ยนไป ปัจจุบันกลุ่มเครื่องปั้นดินเผาบ้านกวนใหญ่ขึ้นตามลำดับ ขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาทุกๆ ด้าน โดยเริ่มจากหนุนเงิน ๔-๕ หมื่นเท่านั้น แต่สามารถสร้างรายได้ให้ชุมชนนับล้านบาท ทั้งนี้ ครูบาจงพูดทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิดว่า “คนบ้านกวนทำเครื่องปั้นดินเผาขายเลี้ยงครอบครัวมาตั้งแต่สมัยโบราณ อาตมาไม่อยากให้ประวัติศาสตร์การปั้นหม้อของชุมชนบ้านกวนสูญหายจากแผ่นดินล้านนา หากปล่อยให้ต่างคนต่างปั้น ต่างคนต่างขายจำนวนคนปั้นก็จะน้อยลง ในที่สุดก็จะหมดไป แต่เมื่อตั้งกลุ่มขึ้นมาเมื่อ พ.ศ.๒๕๕๔ สิ่งที่ตามมาคือทั้งจำนวนคนปั้นและจำนวนหม้อก็เพิ่มขึ้น รวมทั้งรายได้ของชาวบ้านที่เพิ่มขึ้น” (http://www.komchadluek.net/media/img/size1/2013/10/28/eh68ebdd9ffbfdb7a56ji.jpg) “หม้อน้ำ”ภูมิปัญญาล้านนาจากบ้านกวน นายมานพ แก้วดี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ ๖ หาญแก้ว อ.หางดง จ.เชียงใหม่ บอกว่า ในอดีตนั้นเครื่องปั้นดินเผาจากบ้านกวนถือว่ามีชื่ออันเลื่องลือ แต่เนื่องด้วยความนิยมใช้ และไม่มีผู้สืบทอด เครื่องปั้นดินเผาจากบ้านกวนจึงค่อยๆ หายไปจนกระทั่งครูบาจงเข้ามาอุปถัมภ์ โดยการตั้งเป็นกลุ่ม และเอาคนในบ้านไปสอนนักเรียนในโรงเรียน เครื่องปั้นดินเผาจากบ้านกวนจึงกลับมาอีกครั้ง ปัจจุบันมีมี ๓ ชุมชน คือ บ้านกวน บ้านไร่ และบ้านวัวลาย ปั้นหม้อด้วยมือ เป็นหม้อน้ำแบบไม่เคลือบ และเผาแบบโบราณ มีหลากหลายชนิดและมีรูปทรงแตกต่างกันไป เช่น หม้อน้ำ เป็นหม้อดินเผามีลวดลายต่างๆ มีวัตถุประสงค์ในการใช้งานแตกต่างกันไป ได้แก่ หม้อน้ำกิน เรียกว่า น้ำหม้อบน ชาวบ้านจะตั้งหม้อน้ำไว้บนเฮือนน้ำ ทำเป็นร้านยกสูงออกไปนอกชานบ้านเล็กน้อย มุงหลังคา เป็นที่วางหม้อน้ำสำหรับกินและมีกระบวยตักน้ำแขวนไว้ เฮือนน้ำจะประดับตกแต่งให้สวยงาม เช่น หลังคาจะใส่กาแล แขวนดอกกล้วยไม้ป่าไว้ใกล้ๆ เฮือนน้ำ ดอกกล้วยไม้ที่นิยมนำมาประดับ เช่น เอื้องผึ้ง เอื้องแซะ เอื้องมอนไข่ เอื้องหลวง เป็นต้น เฮือนน้ำจะเป็นสถานที่ตั้งน้ำไว้บนบ้านอย่างถาวร แต่ถ้าเป็นการตั้งหม้อน้ำไว้ชั่วคราวยามหน้าเทศกาลต่างๆ เช่น งานบวช งานปอย หรืองานสำคัญอื่นๆ ที่มีแขกมาที่บ้านมาก ชาวบ้านจะเอาหม้อน้ำใส่ในซ่อล่อ หรือซองใส่หม้อน้ำ ทำจากไม้ไผ่ โดยตัดไม้ไผ่ เช่น ไผ่รวก ยาว ๑.๑๕ เมตร ด้านบนผ่าเป็นร่องให้กว้างสานเป็นรูปทรงกลม กลวง เพื่อใส่หม้อน้ำ ส่วนด้านล่างใช้ปักลงไปในดิน เพื่อให้ตั้งได้ ซ่อล่อใส่น้ำจะปักไว้ตามใต้ต้นไม้เพื่อให้คนได้ดื่มกิน หม้อสาว เป็นหม้อดินเผาขนาดใหญ่ ปากกว้างกว่าหม้อน้ำดื่ม ใช้บรรจุน้ำสำหรับล้างมือ ล้างผัก หรือชำระล้างสิ่งต่างๆ สำหรับทำกับข้าวจะตั้งอยู่ใกล้เฮือนน้อย (ห้องครัว) เรียกว่า หม้อน้ำซั้วะ (ซั้วะ คือ ล้าง) บางครั้งใช้ทำเป็นหม้อแกงในงานเลี้ยงงานบุญต่างๆ เพราะสามารถใส่อาหารได้มาก หม้อลุ่ม ทำเป็นหม้อใส่น้ำไว้ที่บันไดก่อนขึ้นบ้าน บางคนเรียกว่า หม้อโซ่ยติ๋น (หม้อล้างเท้า) บางครั้งจะทำเป็นอ่างใช้จุ่มเท้าลงไปล้างในอ่าง เรียกว่า ฮางโซ่ยติ๋น โดยการเจาะไม้ให้เป็นอ่าง ตรงกลางอ่างยกสูงขึ้นเล็กน้อยไว้สำหรับเป็นที่พักเท้า บริเวณหม้อล้างเท้าจะมีการปลูกไม้ดอกไม้ประดับ ไม้หอมจำพวกขจร มะลิ โกสน ดอกแก้ว ดอกดู่ (ดอกพื้นบ้านเป็นไม้พุ่ม มีดอกเล็กๆ สีเหลือง) การปลูกดอกไม้นอกจากจะประดับประดาให้ความสวยงามแล้ว ชาวบ้านยังสามารถเก็บดอกไม้นี้ไปบูชาพระในวันพระหรือเทศกาลต่างๆ ได้อีกด้วย นอกจากดอกไม้เพื่อประดับแล้ว ชาวบ้านยังนิยมปลูกพืชผักสวนครัว เช่น สะระแหน่ ผักไผ่ หรือต้นหอม เอาไว้ใช้คราวจำเป็น น้ำต้น (คนโท) เป็นภาชนะขนาดเล็ก รูปทรงสูง ด้านล่างจะอ้วนสำหรับใส่น้ำ ด้านบนทำเป็นคอสำหรับถือ จะใช้ใส่น้ำเพื่อรับรองแขก เหมือนเหยือกน้ำของคนในปัจจุบัน ทำมาจากดินเผา มีสีแดงของดินและสีดำ นอกจากนี้น้ำต้นยังทำมาจากบ่าน้ำ (น้ำเต้า) โดยทิ้งน้ำเต้าให้แก่คาต้นจนผิวหยิกไม่เข้า นำมาตัดตรงขั้ว แล้วคว้านเอาไส้ในออกให้หมด ใส่น้ำทิ้งไว้ให้เนื้อในเน่าเปื่อย เทน้ำทิ้ง เติมใหม่ ทำอย่างนี้เรื่อยๆ จนกระทั่งได้น้ำต้นที่มีแต่เปลือกแข็งบรรจุน้ำดื่มได้ น้ำต้นจะสานซาหุ้มไว้ ซา ทำมาจากไม้ไผ่สานเป็นรูปตาข่ายหุ้มน้ำต้นไว้ เพื่อสะดวกในการจับถือและทำให้น้ำต้นตั้งได้ ใช้ไม้มาเหลาทำเป็นจุกปิดฝาน้ำต้นใช้เชือก ร้อยเป็นที่หิ้วหรือสะพาย จะนิยมพกพาไปตามที่ต่างๆ เช่น ไร่ นา เป็นต้น ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.komchadluek.net/detail/20131029/171537.html (http://www.komchadluek.net/detail/20131029/171537.html) |