สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

กรรมฐาน มัชฌิมา => เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ พฤศจิกายน 05, 2013, 09:05:27 am



หัวข้อ: ชมเพลิน ยามลมหนาวมาเยือน วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ พฤศจิกายน 05, 2013, 09:05:27 am
(http://www.posttoday.com/media/content/2013/11/03/03A3F77FD8AA4593B4E7821478A72771.jpg)

ชมเพลิน ยามลมหนาวมาเยือน วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร
โดย...สืบสิน / ภาพ กีกี้

ลมหนาวมาเยือนอีกคราวแล้วครับ อากาศดีๆ อย่างนี้ แถมท้องฟ้ายังสดใส ออกจากบ้านมาปล่อยใจไปกับความสุขในการเดินเล่นชมความงดงามของสถาปัตยกรรมในวัดเก่าที่มีชื่อเสียงระดับโลก แม้กรุงเทพฯ จะยังไม่หนาว แต่การเดินชมวัดวาอารามก็สร้างความชุ่มฉ่ำใจได้เหมือนกันนะครับ

วันนี้ผมจะพามาเดินเล่นเพลินๆ ในรอบวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร วัดที่ได้รับรางวัลระดับโลกมาแล้ว

หลังจากที่ “เจดีย์พระประธาน วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร” ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมอันดับ 1 หรือ Award of Excellence จากโครงการประกวดรางวัลเพื่อการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ประจำปี 2556 จากยูเนสโก ผู้คนจากทั่วโลกก็หลั่งไหลเข้ามาชมความงามกันไม่ขาดสายเชียวล่ะครับ

 
(http://www.posttoday.com/media/content/2013/11/03/BC0CFA014A7B471AAAF55D1EE85251B9.jpg)


วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร หรือชื่อที่ชาวบ้านเรียกกันว่า วัดรั้วเหล็ก เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรวิหาร ตั้งอยู่ใกล้กับเชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า ฝั่งธนบุรีของเรานี่เอง

สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) หรือ สมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ ทรงสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2371 โดยชาวบ้านในบริเวณวัดเรียกกันว่า วัดรั้วเหล็ก เพราะสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่สั่งรั้วเหล็กมาจากอังกฤษ เพื่อนำมาน้อมเกล้าฯ ถวายรัชกาลที่ 3 ใช้เป็นกำแพงในพระบรมมหาราชวัง แต่ทรงไม่โปรด จึงขอรับพระราชทานมาใช้เป็นกำแพงวัดแทน จนกลายมาเป็นวัดที่ชาวบ้านพากันเรียกชื่อวัดนี้นั่นเอง

 ans1 ans1 ans1

ภายในวัดแห่งนี้มีสิ่งที่สวยงามมากมาย โดยออกแบบพระอุโบสถด้วยสถาปัตยกรรมแบบไทย หน้าบันเป็นลายดอกบุนนาค พระวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธนาคน้อย ซึ่งนัยว่าอัญเชิญมาจากสุโขทัย รวมทั้งมีสิ่งก่อสร้างที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง เช่น รั้วเหล็กรูปหอก ดาบ และขวาน, พระเจดีย์ใหญ่เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและอัฐิคนในตระกูลบุนนาค, ภูเขาจำลองหรือเขาเต่าก่อด้วยหินอยู่ข้างประตูทางเข้าวัด, มีโบสถ์และเจดีย์ขนาดเล็กบนยอด, สระน้ำเป็นที่อาศัยของเต่า, อนุสาวรีย์รูปปืนใหญ่ อันเป็นอนุสรณ์ถึงเหตุการณ์คราวฉลองวัดเมื่อ พ.ศ. 2380 เป็นต้นมา



(http://www.posttoday.com/media/content/2013/11/03/81DEDCEE00424DE091373AD8076AAA9C.jpg)


พิพิธภัณฑ์พระประยูรภัณฑาคาร

เริ่มต้นเมื่อ เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) ได้สร้างศาลาต่อมุขพระบรมธาตุมหาเจดีย์ขึ้น เพื่อเป็นที่ศึกษาพระปริยัติธรรมของพระภิกษุสามเณร อุทิศแด่ “ท่านลูกอิน” ผู้มารดา และ “สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์” ผู้บิดา เมื่อครั้งมารดามีอายุ 61 ปี พร้อมจารึกนามศาลานั้นว่า “พรินทรปริยัติธรรมศาลา”

ซึ่งปัจจุบันยังมีจารึกอยู่ที่ประตูทางเข้าภายในศาลา ต่อมากระทรวงธรรมการ หรือกระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบันได้ใช้หอพรินทรปริยัติธรรมศาลาเป็นห้องอ่านหนังสือสำหรับประชาชนในวัด ซึ่งอยู่ในการกำกับดูแลของโรงเรียนหนังสือไทย สำนักวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร หอพรินทรปริยัติธรรมศาลาจึงเป็นห้องสมุดประชาชนแห่งแรกในประเทศไทย

 :25: :25: :25:

จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2550 เจ้าอาวาส คือ ศ.ดร.พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) ต้องการนำพระบรมสารีริกธาตุที่ได้อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา เพื่อประดิษฐานไว้ส่วนบนของพระบรมธาตุมหาเจดีย์
     ทำให้พบกรุที่ 1 ซึ่งภายในกรุมีพระพุทธรูปโบราณถึง 270 องค์ อีกทั้งยังพบพระบรมสารีริกธาตุองค์ดั้งเดิมที่มีทองคำหุ้มอยู่ แล้วใส่ไว้ในภาชนะที่เรียกว่า “อูบ” โดยบริเวณใกล้กันนั้นมีกระดานชนวนเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับฤกษ์ยามและคำทำนายการค้นพบกรุนี้
     และได้พบกรุที่ 2 ซึ่งบรรจุพระเครื่องเป็นจำนวนมาก โดยพระเครื่องจะอยู่ในบาตร และพบแผ่นทองขนาดเท่าฝ่ามือ 3 แผ่น ทุกแผ่นมีจารึกภาษาไทยข้อความเดียวกันว่า “วันพุธที่ 1 มีนาคม 2504” ที่ตรงกับวันมาฆบูชา เพ็ญกลางเดือน 4 ได้ทำการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่พระเจดีย์นี้พร้อมด้วยพระเครื่องนับพันองค์



(http://www.posttoday.com/media/content/2013/11/03/BC7AFBA0A43D43E089E3475B2AC5DB37.jpg)


ภายหลังจากค้นพบพระบรมสารีริกธาตุองค์เดิมและวัตถุโบราณ เจ้าอาวาสได้อัญเชิญลงมา แล้วเททองเป็นรูปเจดีย์ทองคำ น้ำหนักกิโลกับสองขีด แล้วนำพระบรมสารีริกธาตุบรรจุ จากนั้นอัญเชิญประดิษฐานที่เดิม ส่วนพระบรมสารีริกธาตุของประเทศศรีลังกาได้ตั้งไว้ในห้องพิพิธภัณฑ์ พร้อมกับพระพุทธรูปและพระเครื่องในกรุที่ 1 และกรุที่ 2 รวมทั้งให้จัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ในห้องตรงฐานพระเจดีย์แล้วให้ชื่อว่า “พิพิธภัณฑ์พระประยูรภัณฑาคาร” ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับให้ความรู้ด้านสิ่งของโบราณในสมัยก่อน


(http://www.posttoday.com/media/content/2013/11/03/8E503195FEF54AC8991E6970C1E2D141.jpg)


พระบรมธาตุมหาเจดีย์

พระบรมธาตุมหาเจดีย์ เป็นพระเจดีย์องค์ใหญ่ทรงกลม สัณฐานรูปโอคว่ำ ฐานล่างส่วนนอกวัดโดยรอบได้ 162 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 50 เมตร มีช่องคูหาเรียงรายล้อมรอบชั้นล่างพระเจดีย์ 54 คูหา ชั้นบนถัดจากช่องคูหาขึ้นไปมีพระเจดีย์เล็ก 18 องค์ เรียงรายรอบพระเจดีย์องค์ใหญ่ โดยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์เป็นผู้เริ่มสร้างพระเจดีย์องค์ใหญ่นี้ขึ้น แต่หลังสร้างวัดแล้วพระเจดีย์ยังไม่ทันแล้วเสร็จ ผู้สร้างก็ถึงแก่พิราลัยเสียก่อน ต่อมา สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ได้สร้างพระเจดีย์ต่อจนเสร็จสมบูรณ์ ในสมัยรัชกาลที่ 4


(http://www.posttoday.com/media/content/2013/11/03/429044DDDEA445F9BD0AB36EB86E5E3E.jpg)


ทว่าเมื่อปี พ.ศ. 2414 พระเจดีย์องค์ใหญ่ถูกฟ้าผ่าจนยอดพระเจดีย์หักไม่ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์เป็นเวลานานถึง 47 ปี จนกระทั่งปี พ.ศ. 2461 พระธรรมไตรโลกาจารย์ (อยู่ อุตฺตรภทฺโท) เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหารในขณะนั้น ได้จัดการบูรณปฏิสังขรณ์ยอดพระเจดีย์ขึ้นอีกครั้ง ซึ่งพระบรมธาตุมหาเจดีย์นี้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุตั้งแต่ปี พ.ศ. 2450 จากนั้นได้จัดงานฉลองพระเจดีย์และอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นประดิษฐานไว้บนพระเจดีย์องค์ใหญ่อีกด้วย

และในปี พ.ศ. 2556 พระเจดีย์แห่งนี้ก็ได้รับรางวัลในระดับนานาชาติ คือ รางวัลยอดเยี่ยมอันดับ 1 หรือ Award of Excellence จากโครงการประกวดรางวัลเพื่อการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ประจำปี พ.ศ. 2556 ชนะเลิศอันดับที่ 1 จาก 47 โครงการจากผู้เข้าร่วมกว่า 16 ประเทศทั่วโลก ด้วยการบูรณปฏิสังขรณ์พระบรมธาตุมหาเจดีย์ และพรินทรเปรียญปริยัติธรรมศาลา ที่สามารถสะท้อนความเข้าใจทางเทคนิค และเป็นโครงการอนุรักษ์ที่สร้างความตระหนักในคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรมในชุมชนรอบข้างได้



(http://www.posttoday.com/media/content/2013/11/03/3C93290C00CF40F9B6697BD85BE4E5B0.jpg)


เขามอภูเขาจำลองขนาดใหญ่

ตั้งอยู่กลางสระน้ำ ก่อขึ้นจากหินเป็นจำนวนมากให้มียอดเขาลดหลั่นกันตามลำดับ มีชะง่อนผาอันสูงชัน ลักษณะคล้ายคลึงกับหยดน้ำตาเทียน ภายในบริเวณเขามอประดับต้นไม้ด้วยพันธุ์ไม้หายาก เป็นที่ประดิษฐานพระสถูปเจดีย์ พระพุทธปรางค์ พระวิหารหลวงจำลอง สังเวชนียสถานจำลอง และศาลารายน้อยใหญ่ จึงเป็นสถานที่อันน่ารื่นรมย์ที่นิยมพาบุตรหลานเข้ามาสัมผัสบรรยากาศแห่งธรรมชาติที่หาไม่ได้จากที่แห่งใดในพระนคร

หนาวนี้ก่อนเก็บกระเป๋าไปพิชิตหนาวบนดอย ก็มากล่อมจิตใจในวัดในวาดูกันบ้างสักครั้งก็ถือว่าเป็นการเตรียมกายใจของเราให้พร้อมเดินทางอย่างมีความสุขต้อนรับลมหนาวอย่างสบายใจกันนะครับ

เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน เวลา 09.00-21.00 น. โทรศัพท์ : 02-465-5592, 081-371-4650


(http://www.posttoday.com/media/content/2013/11/03/06DFC761BDAC44E491CCEF677BEA0884.jpg)

(http://www.posttoday.com/media/content/2013/11/03/520DC11318E746989F66C8A01515398B.jpg)

(http://www.posttoday.com/media/content/2013/11/03/174EFCD37F5B4DEFBE15AD2ADD6B4A46.jpg)

(http://www.posttoday.com/media/content/2013/11/03/036B5217ECCC49F6ADA68265335EE6A3.jpg)

(http://www.posttoday.com/media/content/2013/11/03/BDED4092DC8F48E4906E9A1CA92CC1C5.jpg)

(http://www.posttoday.com/media/content/2013/11/03/C37E959F4FB1418A82B39C25B8E4AFAF.jpg)


ขอบคุณภาพและบทความจาก
www.posttoday.com/กิน-เที่ยว/เที่ยวทั่วไทย/256682/ชมเพลิน-ยามลมหนาวมาเยือน-วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร (http://www.posttoday.com/กิน-เที่ยว/เที่ยวทั่วไทย/256682/ชมเพลิน-ยามลมหนาวมาเยือน-วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร)