สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ พฤศจิกายน 25, 2013, 07:08:41 am



หัวข้อ: เครื่องมือพยากรณ์อรหัตผล
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ พฤศจิกายน 25, 2013, 07:08:41 am

(http://www.madchima.net/forum/gallery/11_19_01_13_5_13_42.jpeg)


อินทรีย์ ๓ เครื่องมือพยากรณ์อรหัตผล

    [๑๐๐๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม ใกล้เมืองโกสัมพี ก็สมัยนั้นท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ ได้พยากรณ์อรหัตผลว่า เรารู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว...กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

    [๑๐๐๔] ครั้งนั้น ภิกษุมากรูป เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะพยากรณ์อรหัตผลว่า เรารู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว...กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

    [๑๐๐๕] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ เห็นอำนาจประโยชน์อะไรหนอ จึงพยากรณ์อรหัตผลว่า เรารู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว...กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

     ans1 ans1 ans1

    [๑๐๐๖] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะความที่อินทรีย์ ๓ ประการ อันตนเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ภิกษุปิณโฑลภารทวาชะ จึงพยากรณ์อรหัตผลได้ว่า เรารู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว...กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

    [๑๐๐๗] อินทรีย์ ๓ ประการเป็นไฉน? คือ
    สตินทรีย์ ๑ สมาธินทรีย์ ๑ ปัญญินทรีย์ ๑.

    [๑๐๐๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะความที่อินทรีย์ ๓ ประการนี้แล อันตนเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
    ภิกษุปิณโฑลภารทวาชะจึงพยากรณ์อรหัตผลได้ว่า เรารู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว...กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

    [๑๐๐๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อินทรีย์ ๓ ประการนี้ มีอะไรเป็นที่สุด มีความสิ้นเป็นที่สุด มีความสิ้นแห่งอะไรเป็นที่สุด มีความสิ้นแห่งชาติ ชราและมรณะเป็นที่สุด
    ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุปิณโฑลภารทวาชะเห็นว่า ความสิ้นแห่งชาติ ชราและมรณะดังนี้แล
    จึงพยากรณ์อรหัตผลว่า เรารู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว...กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

    จบ สูตรที่ ๙

__________________________________________________________
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ปิณโฑลภารทวาชสูตร ว่าด้วยอินทรีย์ ๓
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ บรรทัดที่ ๕๘๖๒ - ๕๘๘๕. หน้าที่ ๒๔๔ - ๒๔๕.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=19&A=5862&Z=5885&pagebreak=0 (http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=19&A=5862&Z=5885&pagebreak=0)             
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=19&i=1003 (http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=19&i=1003)


(http://www.madchima.net/forum/gallery/11_19_01_13_4_22_35.jpeg)

อรหันต์ไม่สะดุ้งเมื่อฟ้าผ่า

ปัญหา อะไรบ้างที่ไม่สะดุ้งเมื่อฟ้าผ่า?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลแลสัตว์เหล่านี้ เมื่อฟ้าผ่าย่อมไม่สะดุ้ง คือ พระภิกษุขีณาสพ ๑ ช้างอาชาไนย ๑ ม้าอาชาไนย ๑ สีหมฤคราช ๑ ”

   [๓๐๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ๒ จำพวกนี้ เมื่อฟ้าผ่าย่อมไม่สะดุ้ง ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ
  พระภิกษุขีณาสพ ๑ ช้างอาชาไนย ๑
  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ๒ จำพวกนี้แล เมื่อฟ้าผ่าย่อมไม่สะดุ้ง ฯ

   [๓๐๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ๒ จำพวกนี้ เมื่อฟ้าผ่าย่อมไม่สะดุ้ง ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ
   พระภิกษุขีณาสพ ๑ ม้าอาชาไนย ๑
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ๒ จำพวกนี้แล เมื่อฟ้าผ่าย่อมไม่สะดุ้ง ฯ

   [๓๐๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ๒ จำพวกนี้ เมื่อฟ้าผ่าย่อมไม่สะดุ้ง ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ
   พระภิกษุขีณาสพ ๑ สีหมฤคราช ๑
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ๒ จำพวกนี้แล เมื่อฟ้าผ่าย่อมไม่สะดุ้ง ฯ


ขีณาสพ [ขีนาสบ] (แบบ) น. พระผู้สิ้นอาสวะ, พระอรหันต์. (ป. ขีณ + อาสว).
______________________________________________________________________
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต ทุติยปัณณาสก์
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=1991&Z=2087 (http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=1991&Z=2087)


หัวข้อ: Re: เครื่องมือพยากรณ์อรหัตผล
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ พฤศจิกายน 25, 2013, 10:55:55 am
(http://www.madchima.net/forum/gallery/11_18_01_13_12_07_46.jpeg)

วิธีสอบสวนภิกษุผู้พยาการณ์อรหัตตผล
ฉวิโสธนสูตร สูตรว่าด้วยข้อสอบสวน ๖ อย่าง

    พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม. ตรัสสอน "วิธีสอบสวนภิกษุผู้พยาการณ์อรหัตตผล" (ผู้พูดว่าตนเป็นพระอรหันต์) โดยวิธีตั้งปัญหาให้ตอบรวม ๖ ข้อ คือ   

    ๑. รู้เห็นอย่างไรในโวหาร ๔ คือการพูดว่า ได้เห็นได้ฟัง ได้ทราบ ได้รู้แจ้ง ในสิ่งที่ได้เห็นได้ฟังทราบได้รู้แจ้ง   
    ๒. รู้เห็นอย่างไรในขันธ์ ๕ ที่ยึดถือ   
    ๓. รู้เห็นอย่างไรในธาตุ ๖   
    ๔. รู้เห็นอย่างไรในอายตนะภายในภายนอก ๖ คู่ คือ ตาคู่กับรูป หูคู่กับเสียง เป็นต้น   
    ๕. รู้เห็นอย่างไรในกายที่มีวิญญาณครองตน   
    ๖. รู้เห็นอย่างไรในนิมิตทั้งปวงภายนอก จิตจึงหลุดพ้นจากอาสวะ
        ถอนอหังการ(ความถือเรา) มมังการ(ความถือว่าของเรา) และมานะ(ความถือตัว)ซึ่งเป็นอนุสัย(กิเลสที่แฝงตัว) เสียได้.   
        พร้อมทั้งแสดงคำตอบในทางรู้เท่าและตั้งอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา จนได้อาสวักขยญาณ คือ ญาณอันทำอาสวะให้สิ้นเป็นที่สุด

__________________________________________
อ้างอิง พระไตรปิฎก ฉบับประชาชน (อ.สุชีพ ปุญญานุภาพ)
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ ชื่อมัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เป็นสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๖
http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/prasuttanta/6.2.html (http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/prasuttanta/6.2.html)


(http://www.madchima.net/forum/gallery/11_18_01_13_12_18_52.jpeg)


ฉัพพิโสธนิยธรรม
         

ในพระสูตรนี้ (ธรรม) ๖ หมวดนี้ คือ โวหาร ๔ ขันธ์ ๕ ธาตุ ๖ อายตนะภายในและอายตนะภายนอก ๖ กายที่มีวิญญาณของตน ๑ กายที่มีวิญญาณของคนอื่น ๑ เป็นธรรมบริสุทธิ์หมดจดแล้ว เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า ฉัพพิโสธนิยะ.

     ส่วนพระปรสมุททวาสีเถระกล่าวหมวด(ธรรม) ๖ หมวด โดยรวมกายที่มีวิญญาณของตนกับของคนอื่นเข้าเป็นหมวดเดียวกันกับอาหาร ๔.
     ก็หมวด (ธรรม) ๖ หมวดนี้ พึงชำระให้ถูกต้อง โดยปริยายที่ขยายความไว้ในพระวินัยอย่างนี้ว่า
        - ท่านบรรลุอะไร.?
        - บรรลุอย่างไร.?
        - บรรลุเมื่อไร.?
        - บรรลุที่ไหน.?
        - ละกิเลสพวกไหน.?
        - ได้ธรรมพวกไหน.?

      ans1 ans1 ans1

     ก็ในที่นี้ คำที่ว่า ท่านบรรลุอะไร? เป็นคำถามถึงการบรรลุ คือ
     (ถามว่า) ท่านบรรลุอะไร ในบรรดาฌาณและวิโมกข์ เป็นต้น หรือในบรรดามรรคมีโสดาปัตติมรรค เป็นต้น.
             
     คำว่า ท่านบรรลุอย่างไร? เป็นคำถามถึงอุบาย (วิธีทำให้บรรลุ).
     เพราะว่า ในข้อนี้มีอธิบายดังนี้ว่า
     ท่านทำอนิจจลักษณะให้เป็นธุระ จึงบรรลุ หรือทำทุกขลักษณะและอนัตตลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งให้เป็นธุระ จึงบรรลุ อีกอย่างหนึ่ง ท่านยึดมั่นด้วยอำนาจสมาธิ หรือยึดมั่นด้วยอำนาจวิปัสสนา อนึ่ง ยึดมั่นในรูปหรือยึดมั่นในอรูป. อีกอย่างหนึ่ง ยึดมั่นในภายในหรือยึดมั่นในภายนอก จึงบรรลุ.

     คำว่า ท่านบรรลุเมื่อไร? เป็นการถามถึงเวลา (ที่ได้บรรลุ).
     มีคำอธิบายว่า ท่านบรรลุในเวลาไหน ในบรรดาเวลาเช้าและเวลาเที่ยง เป็นต้น

     คำว่า ท่านบรรลุที่ไหน? เป็นการถามถึงโอกาส (ที่บรรลุ).
     มีคำอธิบายว่า ในโอกาสไหน คือในที่พักกลางคืน ในที่พักกลางวัน ที่โคนไม้ ที่มณฑป หรือที่วิหารไหน.

     คำว่า ท่านละกิเลสพวกไหน? เป็นการถามถึงกิเลสที่ละได้.
     มีคำอธิบายว่า ท่านละกิเลสที่มรรคไหนจะพึงฆ่า.

     คำว่า ท่านได้ธรรมพวกไหน? เป็นการถามถึงธรรมที่ได้บรรลุ.
     มีคำอธิบายว่า บรรดาธรรมมีปฐมมรรคเป็นต้น ท่านได้ธรรมเหล่าไหน.



(http://www.madchima.net/forum/gallery/11_18_01_13_12_39_09.jpeg)


     เพราะฉะนั้น ในปัจจุบันนี้ แม้หากจะมีภิกษุบางรูปพยากรณ์การบรรลุธรรมอันยิ่งยวดของมนุษย์ ก็ยังไม่ควรทำความเคารพเธอด้วยเหตุเพียงเท่านี้.
     ก็ในฐานะ ๖ ประการนี้ ควรจะพูดเพื่อความบริสุทธิ์ ท่านบรรลุอะไร คือฌานหรือ หรือว่าวิโมกข์เป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง.

     จริงอยู่ ธรรมใดอันผู้ใดบรรลุแล้ว ธรรมนั้นย่อมปรากฏแก่ผู้นั้น.
     ถ้าพูดว่าข้าพเจ้าบรรลุธรรมชื่อนี้ แต่นั้นก็จะต้องถูกถามว่า ท่านบรรลุอย่างไร?
     อธิบายว่า ท่านทำอะไรในบรรดาอนิจจลักษณะเป็นต้น ให้เป็นธุระ แล้วยึดถือโดยมุขอะไร ในบรรดาอารมณ์ ๓๘ หรือในบรรดาธรรมทั้งหลาย ชนิดรูปธรรมอรูปธรรม อัชฌัตตธรรมและพหิทธาธรรมเป็นต้น แล้วจึงบรรลุ. เพราะอภินิเวส (การยึดถือ การอยู่สำราญ) อันใดของคนใด อภินิเวสอันนั้นย่อมปรากฏแก่คนนั้น.
    ถ้ากล่าวว่า อภินิเวส ชื่อนี้ ข้าพเจ้าบรรลุอย่างนี้ ต่อแต่นั้นก็จะต้องถูกถามว่า ท่านบรรลุเมื่อไร คือบรรลุในเวลาเช้าหรือเวลาเที่ยงเป็นต้นเวลาใดเวลาหนึ่ง. เพราะเวลาบรรลุของตนย่อมปรากฏแก่ทุกๆ คน.

     :25: :25: :25:

    ถ้ากล่าวว่าบรรลุในเวลาชื่อโน้น ต่อแต่นั้นก็ถูกถามว่า ท่านบรรลุที่ไหน คือบรรลุในที่พักกลางวัน หรือในที่พักกลางคืนเป็นต้น โอกาสใดโอกาสหนึ่ง เพราะเวลาที่ตนบรรลุย่อมปรากฏแก่ทุกๆ คน.

    ถ้าพูดว่าข้าพเจ้าบรรลุในโอกาสชื่อโน้น ต่อแต่นั้นก็จะต้องถูกถามว่า ท่านละกิเลสพวกไหน คือท่านละกิเลสที่ปฐมมรรคจะพึงฆ่า หรือที่ทุติยมรรคเป็นต้นจะพึงฆ่า. เพราะกิเลสที่ละด้วยมรรคอันตนบรรลุ ย่อมปรากฏแก่ทุกๆ คน.
    ถ้าพูดว่า ข้าพเจ้าละกิเลสชื่อนี้ แต่นั้นก็จะต้องถูกถามว่า ท่านได้ธรรมเหล่าไหน คือได้โสดาปัตติมรรคหรือสกทาคามิมรรค เป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง. เพราะธรรมที่ตนบรรลุย่อมปรากฏแก่ทุกคน.
    ถ้าพูดว่าข้าพเจ้าได้ธรรมชื่อนี้. แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ก็ไม่ควรเชื่อคำของเธอ.

     st12 st12 st12

    ก็ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นพหูสูต ฉลาดในการเล่าเรียนและการสอบถาม ย่อมสามารถชำระฐานะ ๖ ประการเหล่านี้ให้หมดจด.
    แต่สำหรับภิกษุนี้ควรชำระปฏิปทาอันเป็นเครื่องบรรลุขั้นต้น.
    หากปฏิปทาเป็นเครื่องบรรลุขั้นต้นยังไม่บริสุทธิ์ ควรปลีกออก (จากปฏิญญาของตน) ชื่อว่าโลกุตรธรรมทั้งหลาย เราจะไม่ได้ด้วยปฏิปทานี้.
    แต่ถ้า ปฏิปทาเครื่องบรรลุขั้นต้นของท่านหมดจด ปรากฏว่าภิกษุนี้ไม่ประมาทในสิกขา ๓ ประกอบความเพียร ไม่ติดในปัจจัย มีจิตเสมอเหมือนนกในห้วงอากาศอยู่ตลอดกาลนาน.

     การพยากรณ์ของภิกษุนั้นเทียบกันได้สมกันกับข้อปฏิบัติ คือ เป็นเช่นดังที่ตรัสไว้ว่า น้ำในแม่น้ำคงคากับน้ำในแม่น้ำยมุนาย่อมเข้ากันได้ เสมอเหมือนกันชื่อฉันใด ข้อปฏิบัติอันเป็นเครื่องดำเนินไปสู่พระนิพพานของพระสาวกทั้งหลาย คือ นิพพานและปฏิปทาอันพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นบัญญัติไว้ดีแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเทียบกันได้ ย่อมลงกันได้.

      ans1 ans1 ans1

     ก็อีกอย่างหนึ่งแล ไม่ควรทำสักการะแม้ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้
     อธิบายว่า เพราะเหตุที่ภิกษุบางรูปแม้ยังเป็นปุถุชนอยู่ก็ย่อมมีปฏิปทาเหมือนข้อปฏิบัติอย่างพระขีณาสพ ฉะนั้น ภิกษุนั้นควรใช้อุบายวิธีนั้นๆ ทำให้สะดุ้งหวาดเสียว. ธรรมดาพระขีณาสพ เมื่ออสนีบาตตกลงเหนือกระหม่อมตัวย่อมไม่มีความกลัว ความสะดุ้ง หรือทำให้ขนลุก ส่วนสำหรับปุถุชนย่อมมี (ความกลัวเป็นต้น) ด้วยเหตุการณ์แม้เล็กน้อย.
     ในข้อนั้น มีเรื่องเหล่านี้เป็นตัวอย่าง :-



(http://www.madchima.net/forum/gallery/11_19_01_13_4_07_21.jpeg)

เรื่องพระทีฆภาณกอภยเถระ
             
     ได้ยินว่า พระทีฆภาณกอภยเถระไม่สามารถจะพิสูจน์ภิกษุรูปหนึ่งที่ถือบิณฑบาตเป็นวัตรได้ จึงได้ให้สัญญาแก่ภิกษุหนุ่มไว้.
     ภิกษุหนุ่มรูปนั้นจึงดำน้ำอยู่ที่ปากน้ำกัลยาณี จับเท้าพระที่ถือบิณฑบาตเป็นวัตรรูปนั้นที่กำลังอาบน้ำอยู่.
     พระที่ถือบิณฑบาตเป็นวัตรนั้นเข้าใจว่าเป็นจระเข้ ก็ส่งเสียงร้องขึ้น.
     ตั้งแต่นั้นใครๆ เขาก็รู้ว่าท่านยังเป็นปุถุชน.

     แต่ในรัชสมัยของพระเจ้าจัณฑิมุขติสสะ พระสังฆเถระในมหาวิหารเป็นพระขีณาสพ แต่เสียจักษุอยู่ในวิหารนั้นแหละ. พระราชาคิดว่าจะพิสูจน์พระเถระ เมื่อภิกษุทั้งหลายออกไปภิกขาจาร จึงย่องเข้าไปจับเท้าพระเถระทำเป็นเหมือนงูรัด.
     พระเถระนิ่งเหมือนเสาหิน ถามว่า ใคร ในที่นี้.
     พระราชาตรัสว่า กระผม ติสสะขอรับ.
     ขอถวายพระพรมหาบพิตรติสสะ พระองค์ทรงได้กลิ่นหอมมิใช่หรือ.
     ชื่อว่า ความกลัวย่อมไม่มีแก่พระขีณาสพ ด้วยประการอย่างนี้

      :96: :96: :96:

     ก็บุคคลบางคน แม้จะเป็นปุถุชนก็เป็นคนกล้าหาญไม่ขี้ขลาด. คนผู้นั้นต้องพิสูจน์ด้วยอารมณ์ที่น่ารัก.
     จริงอยู่ แม้พระเจ้าวสภะเมื่อจะพิสูจน์พระเถระรูปหนึ่ง จึงนิมนต์ให้นั่งในพระราชมณเฑียร แล้วรับสั่งให้คนขยำผลพุทราในสำนักของท่าน. พระมหาเถระน้ำลายสอ แต่นั้น ความที่พระเถระเป็นปุถุชนก็ชัดแจ้ง เพราะว่าธรรมดาความอยากในรสพระขีณาสพละได้หมด ชื่อว่าความใคร่ในรสทั้งหลาย แม้เป็นทิพย์ก็ไม่มี.

     ฉะนั้น จึงพิสูจน์ด้วยอุบายเหล่านี้ ถ้าความกลัว ความหวาดเสียว หรือความอยากในรสยังเกิดแก่ท่าน ก็พึงคัดออกได้ว่า ท่านไม่ได้เป็นพระอรหันต์.
    แต่ถ้าไม่กลัว ไม่สะดุ้ง ไม่หวาดเสียว คงนั่ง (สงบ) เหมือนราชสีห์ แม้ในอารมณ์อันเป็นทิพย์ ก็ไม่ทำความใคร่ให้เกิดขึ้น ภิกษุนี้เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยการพยากรณ์ ย่อมควรแก่เครื่องสักการะ ที่พระราชาและมหาอำมาตย์ของพระราชาเป็นต้น ส่งมาโดยรอบแล.

               จบอรรถกถาฉวิโสธนสูตรที่ ๒


__________________________________________________________________
อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ อนุปทวรรค ฉวิโสธนสูตร (อรรถกถาฉัพพิโสธนสูตร)
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=166 (http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=166)