หัวข้อ: การเห็นธาตุในจงกรม เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ พฤศจิกายน 28, 2013, 08:58:18 am (https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/1450282_660170214023413_935519421_n.jpg) การเห็นธาตุในจงกรม ใน ๖ ส่วน ในแง่ของการยก(เท้าขึ้น) ธาตุทั้ง ๒ คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ มีประมาณต่ำ อ่อน ส่วนอีก ๒ ธาตุ(คือ เตโชธาตุ วาโยธาตุ) มีประมาณมาก มีกำลังในการย่างเท้าและในการย้ายเท้าก็เหมือนกัน ในการหย่อนเท้าลง ธาตุทั้ง ๒ คือ เตโชธาตุ วาโยธาตุมีปริมาณต่ำ อ่อน ส่วนอีก ๒ ธาตุ (คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ) มีประมาณมาก มีกำลัง ในการเหยียบและกดก็เหมือนกัน ครั้นโยคีทำ(ระยะของการก้าวเท้าก้าวหนึ่ง) ให้เป็น ๖ ส่วนอย่างนี้แล้ว จึงยกพระไตรลักษณ์เข้าในรูปที่ถึงความแตกดับด้วยความเติบโตขึ้นตามวัยนั้น ask1 ask1 ans1 ans1 โดยส่วนทั้งหลาย ๖ (ของก้าวเท้าก้าวหนึ่ง) เหล่านั้น ยกขึ้นอย่างไร? โยคีท่านนั้นพิจรณาเห็นอยู่ดังนี้ว่า ” ธาตุทั้งหลายในที่เป็นไป ในการยกเท้าขึ้นก็ดี รูปทั้งหลายใดอาศัยธาตุนั้นก็ดี สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดยังไม่ทันถึงการย่างเท้า ก็ดับไปในการยกเท้าขึ้นนี่เอง เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านั้นทั้งหมด จึงเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อนึ่ง สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นไปในการย่างเท้า ยังไม่ทันถึงการย้ายเท้า…. ที่เป็นไปในการย้ายเท้า ยังไม่ถึงกับการหย่อนเท้าลง …. ที่เป็นไปในการหย่อนเท้าลง ยังไม่ทันถึงการเหยียบ ….. ที่เป็นไปในการเหยียบ ยังไม่ถึงกับการกด ก็ดับไปในการเหยียบนั่นเอง สังขารทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้วในนั้นๆ (มีการยกเท้าขึ้นเป็นต้น) ยังไม่ทันถึงส่วนนอกนี้ (และ) นอกนี้ ก็ทำเสียงตฏะตฏะแตกเป็นปล้องๆ เป็นข้อๆ เป็นท่อนๆ ณ ที่นั้นๆ นั่นเอง เหมือนเมล็ดงา ที่เขาวางลงบนแผ่นกระเบื้องอันร้อน ทำเสียงตฏะตฏะ (เปรี๊ยะๆ) แตกไป ฉะนั้น เพราะฉะนั้น สังขารทั้งหลายจึงเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ” ฉะนี้แล (https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/996948_660169870690114_603762507_n.jpg) การกำหนดรู้รูปของโยคีท่านนี้ แจ้งสังขารทั้งหลายที่เป็นปล้องๆอย่างนี้ เป็นการกำหนดรู้ที่ละเอียดอ่อน ฉะนั้น การใช้คำในการสอดแทรกการอธิบายของตำราต่างๆ ท่านผู้เขียนตำราจะมีหมายเหตุไว้ว่า ทำไมจึงเรียกแบบนั้นแบบนี้ เพราะบางคำ หาคำเรียกที่ชัดเจนลงไปไม่ได้ เช่น วิปสฺสติ สมฺมสนฺติ ววฏฺฐเปต ปริคฺคคณหนฺติ ปริจฺฉินฺทติ แปลกันมาทางปริยัติว่า วิปสฺสนฺติ, วิปัสสนา = เห็นแจ้ง สมฺมสนฺติ, สมฺมสน = พิจรณา ววฏฺฐเปนฺติ, ววฏฺฐานํ (หรือ ววตฺถานํ) = กำหนด ปริคฺคโห, ปริคฺคหิตํ = ยึดถือ,หวงแหน ปริจฺฉินฺทนฺติ, ปริจฺเฉโท = กำหนด,จำแนก,ขอบเขต แต่ในทางปฏิบัติ มีความหมายตามไขคำว่า วิปสฺสนฺติ = เห็นด้วยวิปัสสนาญาณ (ตามลำดับญาณนั้นๆ) สมฺมสนฺติ, สมฺมสนํ = กำหนดรู้ อธิบายว่า กำหนด (เฉยๆ) ไม่รู้จะกำหนดไปทำไม? และจะแปลว่า พิจารณา (ตามที่เรียนมาทางปริยัติ) ก็เช่นกัน จะมัวไปพิจารณาอยู่ทำไม? กำหนดรู้ไปเลย และท่านใช้ชื่อญาณด้วย คือ สัมมาสนญาณ = ญาณกำหนดรู้ ววฏฺฐเปนฺติ ก็แปลว่า กำหนดรู้ เช่น จตุธาตุววฏฺฐาน = กำหนดรู้ะาตุ ๔ ปริคฺคณฺหนฺติ,ปริคฺคเหตฺวา,ปริคฺโห,ปริคฺคหตํ ก็แปลว่า กำหนดรู้ ซึ่งในฎีกา(ปรมตฺถมญฺชูสา,ติตยภาค, น. ๔๘๘-๙) ให้แปลอย่างนั้น โดยอธิบายไว้ว่า ” ปริคฺคเหตฺวาติ ญาเณน ปริจฺฉิชฺช คเหตฺวา = กำหนดถือไว้ ด้วยญาณ “ ส่วน ปริจฺฉินฺทนฺติ แปลว่า จำแนก,กำหนด จึงแปลไว้ในที่นี้ ตามแนวไขคำ :25: :25: :25: สิ่งที่นำมาแสดงตรงนี้ เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น ในแง่ของสภาวะที่ต้องอาศัยบัญญัติในการคิดพิจารณา แต่โดยตัวสภาวะที่แท้จริง จะรู้ขึ้นในจิตเอง ไม่มีคำเรียก ไม่มีอะไรทั้งสิ้น แต่จะรู้โดยตัวสภาวะที่มาแสดงให้เห็นเอง ฉะนั้นการตีความในพระไตรปิฎก ต้องแม่นโดยตัวสภาวะก่อน จึงจะนำมาสื่อในแง่ของบัญญัติที่เป็นรูปธรรมที่สามารถจับต้องได้ แสดงให้เห็นภาพที่ชัดเจนได้ว่า สภาวะที่เกิดขึ้นณขณะนั้นๆโดยตัวของสภาวะเองนั้นเป็นอย่างไร การรู้ จะรู้ทีละขั้น คือ รู้แบบหยาบๆตามกำลังของสติ สัมปชัญญะและสมาธิ แล้วรู้นั้นๆจะมีความละเอียดมากขึ้นเรื่อยๆตามสภาวะที่มาแสดงให้เห็น เรียกว่า มหาปัจจเวกขณะ จากบทความ : การเห็นสภาวะสันตติ-ฆนะ ในแง่ของบัญญัติ by walailoo walailoo2010.wordpress.com/category/การเดินจงกรม/ (http://walailoo2010.wordpress.com/category/การเดินจงกรม/) ขอบคุณภาพจาก http://www.flickr.com/photos/90000460@N08/with/8174856134/ (http://www.flickr.com/photos/90000460@N08/with/8174856134/) |