หัวข้อ: จิตเดิมแท้ และภาวะนิพพาน 2 เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ธันวาคม 22, 2013, 08:11:02 pm (http://www.madchima.net/forum/gallery/11_16_12_13_9_53_57.jpeg) จิตเดิมแท้ และภาวะนิพพาน 2 พอจิตที่เป็นสมาธิแล้วก็เกิดความตั้งมั่นของจิต แท้ที่จริงจิตดวงนี้ก็เป็นธาตุรู้ ธาตุรู้ที่มันเป็นธาตุรู้ต่างๆ สิ่งต่างๆ ที่เข้ามาทางหู จมูก ปาก ลิ้น กาย ของพวกนี้มันไม่มีความนึกคิดอะไร แต่มันส่งไปให้ใจคือผู้รู้ ผู้รู้ก็รับรู้ผ่านสิ่งต่างๆ เหล่านี้รับรู้ผ่านทางจมูก รับรู้ผ่านทางลิ้น ฯลฯ แต่ทางลิ้นทางจมูกเหล่านี้ ตัวมันเองก็เป็นแค่ผู้ส่งสัญญาณเท่านั้น ไอ้คนตัดสินว่าชอบไม่ชอบ มีกลิ่นหอม กลิ่นไม่หอมต่างๆ นี้มันคือใจ จมูก หูลิ้น ฯลฯ มันเป็นแค่ตัวส่งสัญญาณเท่านั้นที่ทำหน้าที่ส่งไปที่ตัวรู้ ตัวรู้เป็นตัวตัดสินว่าชอบไม่ชอบ ไอ้ตัวที่ห่อหุ้มตัวรู้อยู่ก็เป็นอวิชชาการปรุงแต่ง การยึดมั่นถือมั่นตามสมมติบัญญัติ สมมติบัญญัติมีการปรุงแต่งไว้อย่างไร ไอ้ตัวรู้นี้ก็จะพิจารณาไปตามการปรุงแต่งนั้น :96: :96: :96: เช่นว่ามันเรียนรู้ว่าความสวยเป็นอย่างนี้ พอตาเห็นรูปต่างๆ มันก็มีอวิชชาที่ห่อหุ้มไว้ กำหนดว่าแบบไหนเป็นความสวย แบบไหนคือความพอใจ แบบไหนเป็นความไม่พอใจ จิตผู้รู้มันก็ตัดสินว่าสิ่งไหนพอใจ สิ่งไหนไม่พอใจ สวยหรือไม่สวย ต่างๆ เหล่านี้เป็นไปตามสมมติโลก เป็นตามสมมติที่บัญญัติไว้ ตา หู จมูก มันก็ส่งผ่านไปยังที่ใจ ใจหรือผู้รู้อันเป็นดวงจิตของเรา ถ้าเราไม่อบรมสมาธิแล้ว เราก็เข้าไม่ถึงมัน เมื่อเข้าไม่ถึงมัน มันก็ไม่รู้ความจริง พอไม่รู้ความจริง การปฏิบัติภาวนาตลอดไปทั้งชาติก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะไม่รู้ว่าจิตฝึกไปแล้วได้อะไร ยิ่งเพิ่มความหลง อวิชชาต่างๆ ในมายาเข้าไปอีก จิตมันก็ไม่ถึงธรรมะ มันจะไปได้สิ่งที่เป็นมายาปรุงแต่ง ไปยึดมั่นถือมั่นในโลกสมมติ แล้วอวิชชายึดมั่นยังไปยึดในโลกอื่นๆ :25: :25: :25: เมื่อจิตที่ยังหลงอยู่ในมายาปรุงแต่งได้ออกจากร่างกายอันเป็นธาตุขันธ์ พอธาตุขันธ์ดับ ชีวิตตายไป แต่จิตจะไม่ดับ ไม่ตายไปด้วย จิตที่ก่อนเสียชีวิตไปยึดติดที่ไหน ก็จะไปเกิดที่นั่น ตามอำนาจการปรุงของจิต จิตปรุงไปทางใด ไปยึดที่ไหน จิตมันก็น้อมไปสู่การเกิดที่นั่น จิตดวงนี้พอไปเกิดมันก็เอาสิ่งต่างๆ ที่ทำไว้ที่เรียกว่ากรรม โดยมันคิดว่าของของมัน มายึดกรรมไว้ ดวงจิตบันทึกไว้หมด ยึดไว้หมดทั้งกรรมดี กรรมชั่ว กุศลกรรม อกุศลกรรม จิตนี้คิดว่าเป็นของของมัน ทั้งกรรมดีและกรรชั่วก็บันทึกไว้ ไอ้กรรมที่ดวงจิตบันทึกไว้ก็ไปสร้างภพสร้างชาติใหม่ ดวงจิตจึงไปเกิดบนภพชาติต่างๆ เพื่อไปสนองผลกรรมที่ตนทำเอาไว้ พอไปเกิดก็ไปเกิดเพื่อรองรับผลกรรมอันนั้น ทำกรรมดีมา จิตดวงนั้นไปเกิดใหม่ เกิดมาก็มีกรรมดีมารองรับ กรรมดีส่งผลก็ทำให้จิตดวงนั้นมีความสุข เกิดเป็นผู้มีฐานะร่ำรวยทรัพย์สินต่างๆ เหล่านี้เป็นผลจากกรรมดี จิตที่เคยทำอกุศลกรรมไว้ก็มีกรรมชั่วมาส่งผลให้เกิดความทุกข์ จะสลับกันไป ในช่วงชีวิตก็มีทั้งกรรมดี-กรรมชั่วสลับผลกันมาเกิด ไปชดใช้ผลกรรมเหล่านั้นไป กรรมทั้ง 2 อย่างนี้ต่างส่งผลต่างกัน กรรมดีก็จะส่งผลในทางความสุข ส่วนกรรมชั่วก็ส่งผลในทางความทุกข์ แต่กรรมทั้ง 2 ชนิดนี้เป็นปัจจัยในการเกิดเสมอกันเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม (http://www.madchima.net/forum/gallery/11_16_12_13_9_56_46.jpeg) ถึงเกิดมาเป็นคนร่ำรวย คนยากจน เป็นขอทาน เป็นนักโทษ เป็นพระ ก็ล้วนมาจากกรรมทั้งสิ้นที่ส่งผลให้มีการเกิด เพราะฉะนั้นแล้ว กรรมดี กรรมชั่ว ส่งผลต่อการเกิดต่างกัน ส่งผลในทางสุข ทางทุกข์ แต่ว่ากรรมดี-กรรมชั่วนั้นเป็นปัจจัยแห่งการเกิดด้วยกันทั้งสิ้น หากยึดมั่นถือมั่นในกรรมก็ล้วนมาเกิดได้ทั้งสิ้น เกิดมาแล้วก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของการคิด หากไม่แสวงหาทางที่จะหลุดพ้นจากความคิดความฝัน มันก็จะมาเกิดได้ทุกเมื่อจนกว่าจิตจะหลุดพ้นจากความคิดความฝันเข้าสู่จิตเดิมแท้ เมื่อนั้นจึงจะไม่เกิด หลุดพ้นได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นฝันดี เป็นอำนาจของกุศลกรรม ถึงแม้ว่าจะเป็นฝันร้าย เป็นอำนาจของอกุศลกรรม ดวงจิตวิญญาณนั้นก็ไม่พ้นในอำนาจของการเวียนว่ายตายเกิด จนกว่าจิตดวงนี้จะถูกอบรมจนกระทั่งรู้แจ้งเห็นจริง จิตดวงนี้มันถึงจะปล่อยวาง ถึงจะหลุดพ้นจากอำนาจกรรมที่เคยผูกมัดเอาไว้ พอเห็นความจริง จิตมันก็หลุดพ้นไปได้ เมื่อเห็นความจริงแล้ว จิตก็ไม่หลงไปยึดมั่นถือมั่น st11 st11 st11 เมื่ออวิชชาในจิตมันหมดไป ตอนมันไม่รู้ มันก็เกิดอวิชชา อวิชชาคือความไม่รู้ พอจิตรู้แล้วอวิชชาก็หมดไป ปัญญาอันเป็นแสงสว่างก็ส่องเข้ามาในส่วนที่เราไม่เห็น ไล่อวิชชาให้หมดไป จิตวิญญาณพออบรมแล้ว จิตดวงนั้นสว่างไสวเห็นหมด อวิชชาก็หมดไปด้วยปัญญานี่เอง ในสมัยพุทธกาลนั้น พระพุทธเจ้าอาศัยการเทศน์เป็นปาฏิหาริย์ คนฟังได้ฟังเพียงครั้งเดียวก็สามารถสำเร็จมรรคผลนิพพานได้ คนฟังก็เกิดปัญญาธรรมสูงสุด ธรรมอันนั้นก็เป็นธรรมที่ผู้ปฏิบัติ-ผู้ฟังยังติดอยู่ พอฟังไปก็เกิดดวงตาเห็นธรรม ในปัจจุบันนี้ก็ไม่มีใครสำเร็จด้วยการฟังธรรมแล้ว เพราะว่าไม่มีผู้มีเทศนาปาฏิหาริย์เทียบเท่าพระพุทธเจ้าแล้ว ส่วนใหญ่พระในปัจจุบันนี้เป็นการแสดงโวหารทางธรรม ความรู้ที่ตีความธรรมะต่างๆ ไปตามวิธีของตน สามารถตีความธรรมะได้แตกฉาน อ่านมามาก ตีความได้ดี มีความแตกฉานในธรรมมากมายลึกซึ้ง แต่ว่าไม่ได้เป็นการแสดงปาฏิหาริย์ธรรม st12 st12 st12 การแสดงปาฏิหาริย์ธรรมนั้นเป็นธรรมที่เกิดขึ้นกับผู้แสดงเอง ทำให้ผู้ฟังเข้าใจได้ทันที ไม่ต้องมาทำความเข้าใจในเทศนาย้อนหลัง การแสดงปาฏิหาริย์ธรรมไม่มีศัพท์ยากๆ หรือคำแปลกๆ ที่ต้องมานั่งตีความกันอีกที แต่จะเป็นธรรมอันใช้ภาษาอย่างง่ายๆ วิธีที่ง่ายๆ ความเก่งในการตีความ ความเก่งในการใช้ศัพท์ การเข้าใจธรรมะแบบตีความตามข้อกฎหมาย ไม่มีผลใดๆ ทั้งสิ้นกับการเข้าใจธรรมะ หรือการหลุดพ้น ซึ่งส่วนใหญ่ในปัจจุบันแล้วจะเป็นการแสดงธรรมแบบนี้ เวลาที่ผู้ปฏิบัติศึกษาธรรมก็ควรเข้าใจด้วยกระบวนการค้นหาทางจิตของเราเองให้มากเข้าไว้ เพราะปฏิบัติเองก็รู้เอง ปฏิบัติด้วยการใช้อุบายกรรมฐานกองไหน ก่อนที่จิตจะเข้าไปถึงสมาธิ มันก็จะเกิดคุณวิเศษของกรรมฐานกองที่จิตไปถึง นั่นจึงเป็นปาฏิหาริย์อีกแบบหนึ่ง. ที่มา http://www.thaipost.net/tabloid/221213/83699 (http://www.thaipost.net/tabloid/221213/83699) |