หัวข้อ: สมาธิชาวบ้าน : กระบวนการทางจิต (จบ) เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มกราคม 13, 2014, 07:19:45 pm (https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/1505495_735926186418071_244088234_n.jpg) สมาธิชาวบ้าน : กระบวนการทางจิต (จบ) กระบวนการทางจิตนี้ เมื่อเราเข้าใจในระบบคิดที่เหนือการน้อมนำได้ด้วยเหตุผล เข้าใจในจิตของตน ในที่นี่เราก็จะเข้าใจว่า จริงๆ แล้วเราต่างเกิดในมิติของความคิด ความฝันทั้งสิ้น ความคิด ความฝันเป็นมิติที่ดึงจิตเราให้หลงเชื่อว่าจริง พอมันเชื่อว่าจริง ดวงจิตวิญญาณก็ท่องเที่ยวไปยังมิติความฝันไม่รู้จักจบจักสิ้น การปฏิบัติสมาธิก็เพื่อเป็นไปเพื่อความรู้อันนี้ ความรู้ที่จะนำพาเราให้ออกจากวังวนของความคิดความฝัน ความปรุง ความแต่ง จิตเมื่อเข้าสู่ในแนวทางนี้แล้วจะเข้าสู่วิปัสสนาภูมิ จิตที่ได้สมาธิแล้วแทนที่จิตจะนิ่ง สงบ สว่าง เข้าสู่ความว่างไปเฉยๆ ไม่รู้ไม่เห็นอะไร จิตจะเริ่มพิจารณาในสิ่งที่อยู่เหนือเหตุผล เหนือนามธรรม เหนืออารมณ์ เมื่อจิตมันได้สมาธินิ่งดีแล้ว จิตกลับพิจารณาจนเกิดปัญญาขึ้น ปัญญาที่หลุดจากความคิด ปัญญานี้เป็นปัญญารู้แจ้ง เพราะมันอยู่นอกเหนือปัญญาที่มีความคิดมาน้อมนำได้ ความคิดที่อยู่นอกเหนือสมมติบัญญัติไม่อาจที่จะมาครอบงำปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงได้ :96: :96: :96: เมื่อจิตเกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริงถอดถอนความยึดมั่นไปได้ ถอดความเป็นตัวเป็นตนไปได้ ก็จะรู้ว่าแต่แท้ที่จริงแล้วดวงจิตมันไม่มีแต่ต้น เรื่องนี้จะเข้าใจยากเพราะเป็นนามธรรม เป็นเรื่องที่เอาเหตุผลทางโลกมาตรวจวัดไม่ได้ เป็นเรื่องที่เหนือเหตุผล เพราะแท้ที่จริงแล้วดวงจิตดวงนี้มันไม่มีตั้งแต่ต้น ในส่วนนี้จะเข้าใจยาก แต่เมื่อปฏิบัติก็จะเท่าทัน และเจอจุดนี้กันหมด เมื่อปัญญารู้แจ้งเห็นจริง พอเริ่มทำงานแล้วก็จะรู้เรื่องอื่น รู้ในความจริง ความจริงของกายของใจที่มันเกิดขึ้นจริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับกายนี้ เกิดอะไรขึ้นกับใจนี้ เจ้าธาตุรู้ที่มันรู้ตามความเป็นจริงเกิดขึ้น นี่จึงเป็นวิปัสสนาภูมิ หรือเป็นความรู้แจ้งเห็นจริง ต่อไปความรู้แจ้งเห็นจริงนั้นขยายตัวออกเรื่อยๆ จนกระทั่งไปรู้ที่สำคัญที่ว่าการไม่มาเกิดมันเป็นอย่างไร การไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดเป็นเพราะสาเหตุไหน เกิดภูมิปัญญารู้แจ้งเห็นจริง นี่คือภูมิปัญญาที่ปฏิบัติไปแล้วจะเจอ จะรู้เหมือนๆ กันหมด (https://scontent-a.xx.fbcdn.net/hphotos-prn2/1538710_573952959352829_1677220892_n.jpg) เมื่อปัญญานั้นเกิดขึ้นกับเรา เราเข้าใจธรรม เราเข้าถึงธรรม มันจะยิ่งใหญ่กว่าที่คนอื่นเข้าถึงแล้วนำมาแสดงให้เราดู คนอื่นนำมาแสดง นำมาบรรยายให้ดู มันก็แค่อยู่ในระดับความเข้าใจ แต่ถ้าเราเข้าถึงธรรมเราจะรู้ว่าธรรมอันเป็นอัศจรรย์นั้นเป็นอย่างไร เข้าถึงธรรมนั้นรู้ว่าใจเข้าถึงสภาวะธรรมนั้นเอง รู้ได้ด้วยตัวเอง ธรรมะที่เราได้ยิน ที่เราปฏิบัติอยู่นี้ เป็นเพียงผู้ที่เข้าถึง ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ ได้พบเจอสภาพที่กล่าวมา แล้วนำมาสั่งสอนพวกเรา แต่ก็ยังไม่เท่ากับเราได้สัมผัส ได้รู้ ได้เห็นสภาวธรรมนั้นจริงๆ ด้วยตนเอง เรียกว่าดวงตาเห็นธรรม เพราะนิพพานเกิดได้ด้วยการเข้าถึงภาวะนี้ นิพพานไม่อาจเข้าถึงด้วยการท่องจำ หรือการฟัง การพูด เข้าใจได้ด้วยจิตที่ถึงสภาวะหมดสิ้นซึ่งทุกสิ่ง เมื่อจิตเข้าใจในภาวะของจิตที่ไม่อยู่ในภาวการณ์น้อมนึกได้ สามารถถอดถอนอวิชชาในใจลงไปได้ เข้าใจในมิติที่สัมพันธ์ซ้อนกันบันทึกกันมาในจิต สิ่งสุดท้ายที่กระบวนการทางจิตจะเข้าใจ คือระบบกรรม ที่มีทั้งกรรมดี กรรมชั่ว กรรมอันเป็นกลาง st12 st12 st12 ซึ่งกรรมต่างๆ เหล่านี้จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะทดสอบผู้ปฏิบัติว่า การถอดถอนอวิชชา การเข้าใจในมิติของจิตที่พบเจอที่เข้าใจนั้น เข้าใจและเท่าทันในสิ่งที่พบอย่างแท้จริงหรือไม่ ถ้าจิตยังติดอยู่ในกระแสของกรรมแม้แต่นิดเดียว ความคิด ความฝันก็จะนำพาให้เรามาเกิด และต้องเล่นละครต่อไป เพราะดวงจิตยังไม่หมดกรรม แต่หากผู้ที่สามารถถอดถอนอวิชชาได้อย่างจริง จะเข้าใจว่ากรรมทั้งหลายสามารถที่หมดไปได้โดยการชดใช้กรรม การทำให้กรรมไม่ส่งผล และการอยู่ในภาวะที่เหนือกรรม กรรมดังกล่าวนั้นคือกรรมที่ทำมาทั้งกรรมดี กรรมชั่ว และกรรมอันเป็นกลาง อย่างพระอรหันต์บางรูปที่เข้าสู่นิพพานเลือกที่จะรับความทุกขเวทนาในวาระสุดท้ายก่อนที่จะละสังขาร ก็เพื่อว่ากรรมอันเป็นผลผูกพันกันมาจะได้หมดไปในชาตินี้ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาเกิดอีกเป็นการเข้าสู่พระนิพพานอย่างแท้จริง ซึ่งหากยังติดในกรรมแม้เป็นกรรมดีเพียงนิด จิตดวงนี้ก็มิสามารถเข้าสู่พระนิพพานได้. ที่มา http://www.thaipost.net/tabloid/120114/84481 (http://www.thaipost.net/tabloid/120114/84481) ภาพจากเฟซบุ้คธัมมะวังโส |