หัวข้อ: ภิกษุณีอรหันต์ กำเนิดจากต้นมะม่วง เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กุมภาพันธ์ 03, 2014, 12:07:59 pm (http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2011/12/Y11473619/Y11473619-2.jpg) ประวัติพระอัมพปาลีเถรี พระเถรีแม้รูปนี้ก็ได้บำเพ็ญบารมีมาในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ สร้างสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานมาในภพนั้นๆ บรรพชาอุปสมบทในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสิขี สมาทานสิกขาบทของภิกษุณีอยู่. วันหนึ่ง ไหว้พระเจดีย์ ทำประทักษิณเวียนขวา เมื่อพระขีณาสวเถรีเดินไปก่อน พลันถ่มน้ำลาย ก้อนน้ำลายก็ตกไปที่ลานพระเจดีย์ พระขีณาสวเถรีไม่เห็นก็เดินไป ภิกษุณีรูปนี้เดินไปข้างหลังเห็นก้อนน้ำลายนั้นก็ด่าว่า อีแพศยาชื่อไรนะ ถ่มน้ำลายลงที่ตรงนี้. ภิกษุณีรูปนี้ รักษาศีลในเวลาเป็นภิกษุณี เกลียดการเข้าอยู่ในครรภ์ ก็ตั้งจิตไว้ให้อยู่ในอัตภาพเป็นอุปปาติกะ. ด้วยการตั้งจิตนั้น ในอัตภาพสุดท้าย ภิกษุณีรูปนั้นก็บังเกิดเป็นอุปปาติกะ ที่โคนต้นมะม่วง ในพระราชอุทยาน กรุงเวสาลี. พนักงานเฝ้าอุทยานเห็นเด็กหญิงนั้นก็นำเข้าพระนคร เพราะบังเกิดที่โคนต้นมะม่วง นางจึงถูกเรียกว่า อัมพปาลี. :41: :41: :41: ครั้งนั้น พวกพระราชกุมาร [เจ้าชาย] มากพระองค์ เห็นนางสะสวยน่าชมน่าเลื่อมใส ทั้งแสดงคุณพิเศษมีเสน่ห์น่ารักน่าใคร่เป็นต้น ต่างก็ปรารถนาจะทำให้เป็นหม่อมห้ามของตนๆ จึงเกิดทะเลาะวิวาทกัน. คณะผู้พิพากษาได้รับคำฟ้องของนาง เพื่อระงับการทะเลาะวิวาทของพวกราชกุมารเหล่านั้น จึงตั้งนางไว้ในตำแหน่งคณิกาหญิงแพศยา ว่าจงเป็นของทุกๆ คน. นางได้ศรัทธาในพระศาสดา สร้างวิหารไว้ในสวนของตน มอบถวายแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ภายหลังฟังธรรมในสำนักของพระวิมลโกณฑัญญเถระ บุตรของตน ก็บวชเจริญวิปัสสนา อาศัยความที่สรีระของตนคร่ำคร่าลงเพราะชรา ก็เกิดสังเวชใจ :96: :96: :96: เมื่อจะชี้แจงถึงความที่สังขารไม่เที่ยงอย่างเดียว จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า แต่ก่อน ผมของข้าพเจ้ามีสีดำเสมือนสีแมลงภู่มีปลายงอน เดี๋ยวนี้ ผมเหล่านั้นก็กลายเป็นเสมือน ป่านปอ เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น ฯ ....ฯลฯ........ พระเถรีนี้พิจารณาทบทวนอนิจจตาความไม่เที่ยงในธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๓ ทั้งหมด โดยมุขคือ การกำหนดความไม่เที่ยงในอัตภาพของตนอย่างนี้แล้ว ยกขึ้นสู่ทุกขลักษณะและอนัตตลักษณะในอัตภาพตนนั้น ตามแนวอนิจจลักษณะนั้น ขมักเขม้นเจริญวิปัสสนาอยู่ ก็บรรลุพระอรหัต โดยลำดับมรรค. ......ฯลฯ...... (http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2011/12/Y11473619/Y11473619-6.jpg) พระอัมพปาลีเถรีเปล่งอุทานเป็นคาถาพรรณนาอปทานของท่านว่า ข้าพเจ้าเกิดในสกุลกษัตริย์ เป็นภคินีของพระมหามุนีพระนามว่าปุสสะ ผู้มีพระรัศมีงามดังมาลัยประดับศีรษะ ข้าพเจ้าฟังธรรมของพระองค์แล้วมีใจเลื่อมใส ถวายมหาทานแล้วปรารถนารูปสมบัติ. นับแต่กัปนี้ไป ๓๑ กัป พระชินเจ้าพระนามว่าสิขี เป็นนายกเลิศของโลก ทรงส่องโลกให้สว่าง ทรงเป็นสรณะของ ๓ โลก เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเกิดในสกุลพราหมณ์ กรุงอมรปุระที่น่ารื่นรมย์ โกรธขึ้นมาก็ด่าภิกษุณีผู้มีจิตหลุดพ้นแล้ว [อริยุปวาท] ว่า ท่านเป็นหญิงแพศยาประพฤติอนาจาร ประทุษร้ายศาสนาของพระชินเจ้า ครั้นด่าอย่างนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็ตกนรกอันร้ายกาจ เพียบพร้อมด้วยทุกข์ใหญ่หลวง เพราะบาปกรรมนั้น จุติจากนรกนั้นแล้ว มาเกิดในหมู่มนุษย์ มีลามกธรรมทำให้เดือดร้อน ครองความเป็นหญิงแพศยาอยู่ถึงหกหมื่นปี ก็ยังไม่หลุดพ้นจากบาปอันนั้น เหมือนอย่างกลืนพิษร้ายเข้าไป. :sign0144: :sign0144: :sign0144: ข้าพเจ้าเสพเพศพรหมจรรย์ [บวชเป็นภิกษุณี] ในศาสนาพระชินเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ด้วยผลแห่งบุญนั้น ข้าพเจ้าก็บังเกิดในสวรรค์ชั้นไตรทศ [ดาวดึงส์] เมื่อถึงภพสุดท้าย ข้าพเจ้าเกิดเป็นโอปปาติกะ ที่ระหว่างกิ่งมะม่วง ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงชื่อว่าอัมพปาลี ข้าพเจ้าอันหมู่สัตว์นับโกฏิห้อมล้อมแล้ว ก็บวชในศาสนาของพระชินเจ้า บรรลุฐานะอันมั่นคงไม่สั่นคลอน เป็นธิดาเกิดแต่พระอุระของพระผู้เป็นพุทธะ. ans1 ans1 ans1 ข้าแต่พระมหามุนี ข้าพเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญในฤทธิ์ทั้งหลาย ในความหมดจดแห่งโสตธาตุ [หูทิพย์] เป็นผู้เชี่ยวชาญเจโตปริยญาณ [รู้ใจผู้อื่น] ข้าพเจ้ารู้ขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในภพก่อนๆ [ระลึกชาติได้] ชำระทิพยจักษุหมดจด [ตาทิพย์] หมดสิ้นอาสวะทุกอย่าง [อาสวักขยญาณ] บัดนี้จึงไม่มีภพใหม่ [ไม่ต้องเกิดอีก]. ข้าพเจ้ามีญาณสะอาดหมดจด ในอรรถปฏิสัมภิทา ธรรมปฏิสัมภิทา นิรุตติปฏิสัมภิทาและปฏิภาณปฏิสัมภิทา เพราะอำนาจของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด กิเลสทั้งหลาย ข้าพเจ้าก็เผาเสียแล้ว ภพทุกภพข้าพเจ้าก็ถอนเสียแล้ว ข้าพเจ้าตัดพันธะเหมือนกะช้างตัดเชือก ไม่มีอาสวะ อยู่ในสำนักพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ข้าพเจ้าก็มาดีแล้ว. วิชชา ๓ ข้าพเจ้าก็บรรลุแล้ว คำสอนของพระพุทธะ ข้าพเจ้าก็ทำเสร็จแล้ว ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้ากระทำให้แจ้งแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ทำเสร็จแล้ว. ก็พระอัมพปาลีเถรี ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว ก็พิจารณาทบทวนข้อปฏิบัติของตนแล้ว ก็เอื้อนเอ่ยคาถาเหล่านั้นเป็นอุทานแล. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรีคาถา วิสตินิบาต อัมพปาลีเถรีคาถา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=467 (http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=467) ภาพจาก http://topicstock.pantip.com/ (http://topicstock.pantip.com/) หัวข้อ: Re: ภิกษุณีอรหันต์ กำเนิดจากต้นมะม่วง เริ่มหัวข้อโดย: Tumdee ที่ กุมภาพันธ์ 03, 2014, 05:21:42 pm อ้างถึง พระอัมพปาลีเถรีเปล่งอุทานเป็นคาถาพรรณนาอปทานของท่านว่า ช่วงนี้เป็นหัวใจของเนื้อเรื่องที่สำคัญ การกล่าวเล่า ของ อริยสาวิกา นั้น ท่านกล่าวเล่า บุพพกรรม ของท่าน ว่า โทษเพียงเรื่องเดียวนิดหน่อย รับ กรรม เป็นยาวนาน ถึง 3 พระพุทธเจ้า แค่ ถ่อยคำ ด่า พระอริยะที่เป็นพระอรหันต์ ว่า อีแพศยาชื่อไรนะ ถ่มน้ำลายลงที่ตรงนี้ นึกถึงตรงนี้ คนที่ด่า พระอริยะ กันประจำอย่างสมัยนี้ แล้ว ทั้งอัดเสียงด่า ทำตำราด่า ทั้งออกประกาศด่า นึกดูแล้ว ว่าจะใช้กรรมอย่างไร อีกทั้งอย่างพวกที่ปรามาส พระอริยะ ทั้ง ๆ ที่ไม่ รู้ ด้วย จะเป็นอย่างไร ? :49: หัวข้อ: Re: ภิกษุณีอรหันต์ กำเนิดจากต้นมะม่วง เริ่มหัวข้อโดย: pongsatorn ที่ กุมภาพันธ์ 04, 2014, 12:45:46 am st11 st12
หัวข้อ: Re: ภิกษุณีอรหันต์ กำเนิดจากต้นมะม่วง เริ่มหัวข้อโดย: doremon ที่ กุมภาพันธ์ 04, 2014, 12:47:12 am st12 st12 st12 st12
บรรดา พวก ปาก จัด ปาก ร้าย จะได้ รู้จัก ระวัง วาจา เสียบ้าง อ่านซะ เนาะ พวกชอบ ปรามาส ครูบา อาจารย์ :49: หัวข้อ: Re: ภิกษุณีอรหันต์ กำเนิดจากต้นมะม่วง เริ่มหัวข้อโดย: Admax ที่ กุมภาพันธ์ 04, 2014, 04:06:57 pm st12 st12 st12 st12
|