หัวข้อ: ตำนาน ชีวิตอมตะ เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กุมภาพันธ์ 04, 2014, 10:32:11 am (http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2014/02/01/400438/hr1667/630.jpg) ปวงเทพของชาวกรีก-โรมัน ตำนาน ชีวิตอมตะ อมตะ แปลว่า ไม่ตาย อะไรที่ยั่งยืนอยู่ได้ตลอดไปก็เรียกกันว่า เป็นอมตะ โดยทั่วไปแล้ว คำว่า อมตะ มักจะเกี่ยวข้องกับคนหรือเทพมากกว่าวัตถุสิ่งของ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ที่มนุษย์เราจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะผู้มีอำนาจล้นฟ้าอย่างกษัตริย์ จักรพรรดิทั้งหลายในอดีตก็ปรารถนาความเป็นอมตะกันมากต่อมาก ดูอย่างจิ๋นซีฮ่องเต้ ที่ส่งคนออกทะเลไปหายาที่จะทำให้พระองค์เป็นอมตะได้ (แต่ไม่มีใครยอมกลับไปสักคน ว่ากันว่า คนกลุ่มนั้นคือบรรพบุรุษของชาวญี่ปุ่นนั่นเอง) หรือสามัญชนคนธรรมดา ใครที่กลัวแก่ ก็น่าจะเข้าข่ายประเภทที่อยากเป็นอมตะเช่นกัน ส่วนเทพนั้น ไม่ว่าจะเป็นของตะวันตกหรือตะวันออก แม้ว่าจะมีอายุยืนยาว แต่ส่วนใหญ่ก็อยากเป็นอมตะอยู่ในสวรรค์วิมานไปตลอด วันนี้คอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์ สเปเชียลโดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูนขอพาไปดูตำนานความเป็นอมตะว่าเป็นอย่างไรบ้าง (http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2014/02/01/400438/o4/420.jpg) ภาพวาดเรือที่จิ๋นซีฮ่องเต้ สั่งให้ออกไปค้นหายาอมตะ นินเกียว ในตำนานเรื่องหนึ่งของญี่ปุ่น กล่าวถึงสัตว์ในมหาสมุทรชนิดหนึ่ง มีลักษณะกึ่งลิงกึ่งปลา คนเรียกมันว่า นินเกียว (Ningyo) สัตว์ชนิดนี้มีฤทธิ์ที่สามารถบันดาลให้เกิดพายุได้หากถูกชาวประมงจับได้ และเมื่อใดที่มีคนนำมันขึ้นฝั่งได้สำเร็จ นั่นหมายความว่า อีกไม่นานจะต้องเกิดสงครามขึ้นที่นั่น ส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอมตะคือ มีหญิงสาวคนหนึ่งเธอได้กินเนื้อของนินเกียวเข้าไป โดยพ่อของเธอเอามาให้ หลังจากนั้นชีวิตของเธอก็เป็นอมตะ แต่ชีวิตที่ยืนยาว (เกินไป) สำหรับเธอมันเหมือนคนถูกสาป เพราะเธอต้องมีชีวิตอยู่ด้วยความโศกเศร้า ที่ต้องเห็นสามีตายจากไปคนแล้วคนเล่า มองเห็นลูก หลาน เหลน ตายจากไปคนแล้วคนเล่า ชีวิตหาความสุขไม่ได้เลย ภายหลังเมื่อได้ฟังธรรมะของพระพุทธองค์และออกบวชเป็นชี เธอก็เป็นอิสระ คือ ได้ตายเมื่ออายุได้ 800 ปี ตามตำนานเรียกเธอว่า แม่ชีแปดร้อยปี (http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2014/02/01/400438/o5/420.jpg) นินเกียว คือเงือกชนิดหนึ่งที่ค่อนข้างน่ากลัว ตำนานของชาวคริสต์ จอกศักดิ์สิทธิ์ (Holy Grail บางแห่งก็เรียกเป็น Holy Chalice) เป็นภาชนะสำหรับดื่ม หรือ จาน ชาม ที่พระเยซูใช้เสวยพระกระยาหารมื้อสุดท้าย ก่อนที่จะถูกจับไปตรึงกางเขน ตามตำนานกล่าวว่า จอกนี้เป็นของวิเศษ ในงานเขียนยุคปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12 ของโรเบิร์ต เดอ โบรอน เกี่ยวกับ โยเซฟ แห่งอริมาเทีย และตำนานจอกศักดิ์สิทธิ์ว่า โยเซฟได้รับจอกมาจากพระเยซูหลังฟื้นคืนพระชนม์ และได้เดินทางพร้อมผู้ติดตามไปยังเกาะอังกฤษ (ในยุคต่อมามีการเขียนต่อเติมว่า จอกนี้เคยถูกใช้รองรับพระโลหิตของพระเยซูครั้งที่ถูกตรึงบนกางเขนด้วย) โยเซฟได้จัดเตรียมตระกูลผู้ภักดีเพื่อคอยพิทักษ์รักษาจอกเอาไว้ให้ปลอดภัย ในตำนานกษัตริย์อาเธอร์ มีภารกิจสำคัญอย่างหนึ่งของเหล่าอัศวินของพระองค์ คือการค้นหาจอกศักดิ์สิทธิ์ที่ว่านี้ (http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2014/02/01/400438/o7/420.jpg) จอกศักดิ์สิทธิ์ที่พระเยซูใช้ในการเสวยพระกระยาหารมื้อสุดท้าย ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอมตะนั้น กล่าวกันว่าเมื่อใครได้ครอบครองจอกศักดิ์สิทธิ์แล้วจะมีอำนาจมาก และเมื่อใครได้ดื่มน้ำจากจอกศักดิ์สิทธิ์แล้วจะเป็นอมตะ แต่ว่าบางตำนานก็บอกว่าถ้าได้ดื่มน้ำจากจอกศักดิ์สิทธิ์แล้วเมื่อมีโรคภัยไข้เจ็บหรือมีบาดแผล เมื่อดื่มน้ำผ่านจอกนี้แล้วเอาน้ำนั้นมาราดลงบนแผล แผลนั้นจะหายเป็นปลิดทิ้ง ชีวิตอมตะใน “ไซอิ๋ว” ไซอิ๋ว วรรณคดีที่โด่งดังที่สุดเรื่องหนึ่งของจีน อันเป็นเรื่องการผจญภัยของพระถังซัมจั๋ง เพื่อไปนำเอาพระไตรปิฎกที่ชมพูทวีปกลับไปประเทศจีน เส้นทางที่ยาวไกลนั้นเต็มไปด้วยปีศาจร้ายนานาชนิด ที่สำคัญปีศาจเหล่านั้นรู้ว่าหากใครได้กินเนื้อพระถังซัมจั๋งละก็ จะอายุยืนหมื่นปี จึงพยายามจะจับท่านไปกินอยู่มิได้ขาด แต่ท่านก็ไม่ได้เดินทางเพียงลำพัง เพราะมีศิษย์ซึ่งเป็นปีศาจกลับใจ 2 ตัว ได้แก่ เห้งเจีย หรือ ซึงหงอคง ซึ่งเป็นลิง โป๊ยก่าย (หมู) และเทวดาตกสวรรค์ คือ ซัวเจ๋ง อีกหนึ่ง ศิษย์ทั้งสามเป็นผู้คอยอารักขาพระถังซัมจั๋งตลอดเส้นทางจนสำเร็จ (http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2014/02/01/400438/o6/420.jpg) ไซอิ๋ว วรรณคดีที่โด่งดังของจีน พระถังซัมจั๋งนั้นมีตัวตนจริงๆ ชื่อจริงคือ เหี้ยนจัง หรือ เสวียนจั้ง (ออกเสียงแบบจีนกลาง) ปี พ.ศ.1172 ท่านออกเดินทางไปยังประเทศอินเดีย เพื่อคัดลอกพระไตรปิฎกกลับไปประเทศจีน ตลอดการเดินทางจากเมืองหลวงของจีน คือ ฉางอาน อาศัยเส้นทางสายไหมผ่านไปทางตะวันตก ของจีน เข้าสู่เอเชียกลาง และเอเชียใต้ หรือชมพูทวีป ตามลำดับ ซึ่งในที่สุดท่านก็เข้าไปศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยนาลันทา ซึ่งเป็นที่สอนศาสนาพุทธใหญ่ที่สุดในโลก ณ เวลานั้น รวมเวลาเดินทางไปกลับและอยู่ที่อินเดีย รวมทั้งสิ้น 19 ปี ท่านกลับถึงจีนเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ.1188 พร้อมกับอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ พระไตรปิฎก และพระพุทธรูปกลับไปด้วย สำหรับวรรณคดีไซอิ๋ว นั้น มีชื่อเป็นภาษาจีนว่า ซีโหยวจี้ ที่ใช้เรื่องราวของพระถังซัมจั๋ง แต่แต่งใหม่ให้เป็นเรื่องสนุกสนานแนวผจญภัย โดยอู๋เฉิงเอิน เมื่อประมาณปี ค.ศ.1590 ในสมัยราชวงศ์หมิง เห้งเจีย ศิษย์เอกของพระถังซัมจั๋งซึ่งเป็นลิงที่มีฤทธิ์มากนั้น สมัยก่อนที่ยังเป็นลิงอันธพาล เคยไปอยู่บนสวรรค์ทำหน้าที่เฝ้าสวนท้อทิพย์ แต่เห้งเจียก็ไปแอบกินอย่างสบายใจ เมื่อถึงเวลาที่เทพเจ้าของสวนจะเอาไปจัดเลี้ยงก็ไม่มี แถมยังตามไปป่วนงานเลี้ยงของเทพทั้งหลาย และไปขโมยกินยาอายุวัฒนะของเทพองค์หนึ่งด้วย เห้งเจียจึงเป็นผู้ที่มีชีวิตเป็นอมตะผู้หนึ่ง ตำนานเทพของฮินดู ศาสนาฮินดูนั้นมีเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นอมตะเช่นกัน เรื่องที่ว่าคือ การกวนเกษียรสมุทรของเหล่าเทพและอสูร เพื่อเอาน้ำอมฤตซึ่งให้ชีวิตที่เป็นอมตะมาดื่ม เรื่องราวย่อๆมีว่า ฝ่ายเทวดาซึ่งนำโดยพระอินทร์ปรารถนาที่จะมีชีวิตเป็นอมตะ เพื่อจะได้รบชนะฝ่ายอสูร จึงได้ไปขอพรจากพระนารายณ์ พระองค์ก็แนะนำให้ทำพิธี “กวนเกษียรสมุทร” เพื่อจะได้น้ำอมฤตมาดื่มกินจะทำให้ชีวิตยืนยาว แต่ลำพังเทวดาเองกำลังไม่พอ พระอินทร์จึงออกอุบายกับเหล่าอสูรว่า เมื่อกวนเสร็จแล้วจะแบ่งน้ำอมฤตให้ดื่ม เพื่อจะได้เป็นอมตะ ฝ่ายอสูรจึงยอมร่วมมือแต่โดยดี (http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2014/02/01/400438/o3/420.jpg) พิธีกวนเกษียรสมุทร มหกรรมการกวนเกษียรสมุทรได้ดำเนินไปเนิ่นนานพันปี มีของวิเศษหลายอย่างที่ได้ออกมาก่อนน้ำอมฤตหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือเหล่าปวงเทพีอัปสรสวรรค์ เมื่อกวนจนได้น้ำอมฤตแล้วพวกอสูรเห็นนางอัปสรจำนวนมาก ก็ลุ่มหลงพากันไล่จับนางอัปสรจนลืมเรื่องน้ำอมฤตไป เว้นแต่พระราหูที่แปลงร่างให้เหมือนเทวดาไปร่วมดื่มน้ำอมฤตด้วย แต่พระอาทิตย์กับพระจันทร์เห็นเข้าก็ไปบอกพระนารายณ์ พระนารายณ์เลยขว้างจักรใส่พระราหู แต่ด้วยอำนาจของน้ำอมฤตทำให้พระราหูไม่ตาย แต่ก็เหลือแต่หัวมาจนทุกวันนี้ และพระราหูก็โกรธพระอาทิตย์กับพระจันทร์มาก เจอที่ไหนจะต้องเอามาอมเล่นให้ได้ ต่อมาเมื่อพวกอสูรรู้ว่าตัวเองโดนหลอก น้ำอมฤตก็หมดแล้ว นางอัปสรก็จับไม่ได้ แถมยังต้องเสียพื้นที่บนสวรรค์ให้กับพวกเทพอีก ตำนานเทพตะวันตก ต้นตำรับของเทพทางฝั่งตะวันตก โดยมากมาจากกรีกและโรมัน ชาวกรีกนับถือเทพเจ้ามากมายหลายองค์ แต่เมื่อชาวกรีกเสื่อมอำนาจลง ในขณะที่ชาวโรมันเรืองอำนาจขึ้นแทนที่ ชาวโรมันได้รับเอาความเชื่อถือเรื่องเทพเจ้าของชาวกรีกสืบต่อไป โดยเทพเจ้าแต่ละองค์ได้เปลี่ยนชื่อจากภาษากรีกเป็นภาษาโรมันหรือภาษาละติน ซึ่งบางชื่อก็ได้กลายเป็นรากศัพท์ของคำภาษาอังกฤษที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน ตามบทกวีโรมันของโอวิด (Ovid) ซึ่งอยู่ในสมัยก่อนคริสต์ศักราช เล่าถึงการกำเนิดทวยเทพและโลกเอาไว้ ตอนหนึ่งกล่าวว่าเทพแห่งเขาโอลิมปัส เมื่อมีตัวมีตนแล้วก็ต้องกินอาหารทิพย์ คือ แอมโบรโตส (Ambrotos แปลว่า อมฤต คือ กินแล้วไม่ตาย เป็นอมตะ) ดื่มน้ำทิพย์มีชื่อเรียกว่า เนคตาร์ (Nectar) (http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2014/02/01/400438/o8/420.jpg) แอปเปิลของเทพีอิดัน ส่วนเทพของตะวันตกอีกกลุ่มหนึ่งคือ เทพของพวกนอร์ส (พวกที่อาศัยแถบสแกนดิเนเวีย)เทพของนอร์สนั้นอาศัยแอปเปิลทองคำเป็นอาหารเพื่อคงความเป็นอมตะและคงความเป็นหนุ่มสาวของตน โดยแอปเปิลพวกนั้นจะปลูกอยู่ในสวนของเทพีอิดัน (Idun) ans1 ans1 ans1 จากคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น “ทุกอย่าง” ล้วนมีความเสื่อม มีอายุขัย จะต่างกันที่ยาวหรือสั้นเท่านั้น อย่างมนุษย์นั้นมีอายุยาวนานกว่าสัตว์โดยทั่วไป เทวดาก็มีอายุยาวนานกว่ามนุษย์ชนิดที่เทียบกันไม่ได้ เทวดาในสวรรค์ชั้นที่สูงขึ้นไปก็จะมีชีวิตที่ยาวนานมากขึ้น แต่อายุของเทวดาก็สั้นกว่าพรหมหลายร้อยหลายพันเท่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า พรหมบางชั้นนั้นอายุยาวนานจนเข้าใจว่าตนเองเป็นอมตะ เพราะเห็นทุกอย่างตายเกิดหมด เห็นโลกและจักรวาลแตกดับไปหลายครั้ง แต่ตนเองนั้นยังอยู่เหมือนเดิมตลอด แต่พระองค์ก็ทรงแสดงหนทางและความเป็นอมตะไว้ แต่ต่างจากที่มนุษย์และเทพต้องการ เพราะอมตะที่พระองค์ทรงแสดงและเข้าถึงแล้วพร้อมกับสาวกจำนวนนับไม่ถ้วน คือการไม่ต้องเกิดอีก เมื่อไม่มีการเกิด การตายจะมีแต่ไหน นี่คือความเป็นอมตะที่แท้จริง. โดย :ลุงดำ ทีมงาน นิตยสาร ต่วย'ตูน ขอบคุณภาพและบทความจาก http://www.thairath.co.th/column/life/sundayspecial/400438 (http://www.thairath.co.th/column/life/sundayspecial/400438) |