หัวข้อ: วิวาห์ 'ลงโลง' ในวันแห่งความรักของพระพุทธศาสนา เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กุมภาพันธ์ 18, 2014, 08:34:54 pm (http://www.komchadluek.net/media/img/size_photo_slide/2014/02/17/7eaiabcgh78abaj9e768i.jpg) วิวาห์' ลงโลง' ในวันแห่งความรักของพระพุทธศาสนา วิวาห์'ลงโลง'ในวันแห่งความรักของพระพุทธศาสนา : เรื่อง ไตรเทพ ไกรงู ภาพ กุลพันธ์ ศิริพิมพ์อัมพร วันมาฆบูชา เป็นวันสำคัญของชาวพุทธเถรวาทและวันหยุดราชการในประเทศไทย โดยคำว่า "มาฆบูชา" ย่อมาจาก "มาฆปูรณมีบูชา" หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะตามปฏิทินของอินเดีย หรือเดือน ๓ ตามปฏิทินจันทรคติของไทย ทั้งนี้ เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๙ รัฐบาลไทยได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของวันมาฆบูชา ที่อาจถือได้ว่าเป็นวันแห่งความรักของพระพุทธศาสนา โดยถือว่าเหตุการณ์สำคัญที่เหล่าพระสาวกทั้ง 1,250 รูป ได้กลับมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วยความรักในพระองค์หลังจากออกไปเผยแพร่พระศาสนาโดยมิได้นัดหมายดังกล่าวเป็นสิ่งที่แสดงถึงความกตัญญูกตเวทีอันบริสุทธิ์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาในปฏิทินจันทรคติในวันเพ็ญเดือนสาม มักจะตกใกล้กับช่วง "วันวาเลนไทน์" อันเป็นเทศกาลวันแห่งความรักของคริสต์ศาสนา :49: :49: :49: วันวาเลนไทน์ วัยรุ่นไทยบางกลุ่มมักยึดถือคติค่านิยมวันแห่งความรักในวันวาเลนไทน์ผิดๆ โดยนิยมยึดถือกันว่าเป็นวันแห่งความรักของคนหนุ่มสาว หรือแม้กระทั่งถือว่าเป็น "วันเสียตัวแห่งชาติ ส่งผลกระทบต่อค่านิยมทางจริยธรรมและศีลธรรมของวัยรุ่นไทย รัฐบาลไทยในสมัยนั้นจึงประกาศให้วันมาฆบูชาเป็นวันกตัญญูแห่งชาติ "เพื่อส่งเสริมค่านิยมที่เหมาะสมแก่วัยรุ่นไทยให้หันมาสนใจกับความรักอันบริสุทธิ์ที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน" แทนที่จะไปมัวเมากับความรักใคร่ชู้สาว หรือเรื่องฉาบฉวยทางเพศของหนุ่มสาว อันจะก่อให้เกิดปัญหาแก่สังคมตามมา การผลักดันให้มีวันกตัญญูแห่งชาติ มีมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๖ โดยเคยมีการตั้งกระทู้ถามในสภาผู้แทนราษฎรให้พิจารณากำหนดให้มีวันกตัญญูแห่งชาติ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธจากผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยอ้างว่าในประเทศไทยมีวันสำคัญแห่งชาติที่เกี่ยวกับการแสดงความกตัญญูมากพอแล้ว ต่อมา พ.ศ.๒๕๔๙ ได้มีการรวมตัวของนักพูดชื่อดังหลายท่าน เช่น ดร.ผาณิต กันตามระ นายสุรวงศ์ วัฒนกุล ดร.อภิชาติ ดำดี นายเฉลิมชัย จารุไพบูลย์ ดร.โอภาส กิจกำแหง และนายถาวร โชติชื่น เป็นต้น ซึ่งท่านเหล่านี้ได้ทำหนังสือถึงคณะมนตรี :58: :58: :58: ความมั่นคงแห่งชาติให้ส่งเสริมให้วันมาฆบูชาเป็นวันกตัญญูแห่งชาติอีกวันหนึ่งด้วย โดยได้รับการตอบรับจากผู้เกี่ยวข้อง โดยวันกตัญญูแห่งชาตินี้ นอกจากจะมีขึ้นเพื่อเป็นการแสดงออกถึงวันแห่งความรักอันบริสุทธิ์ของชาวพุทธแล้ว ยังมีขึ้นเพื่อส่งเสริมค่านิยมให้คนไทยยึดถือความกตัญญู โดยอาจมีการพูดคุย ส่งการ์ดอวยพร มอบของขวัญหรือช่อดอกไม้แก่ผู้มีพระคุณของเรา เป็นการแสดงความระลึกถึงพระคุณด้วยความหวังดีของผู้ให้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ การแสดงออกซึ่งน้ำใจหรือคำพูดก็ตาม :96: :96: :96: อย่างไรก็ตามใน พ.ศ.๒๕๕๗ นี้ เป็นครั้งแรกของโลกที่วันมาฆบูชากับวันวาเลนไทน์ตรงกัน คือ วันศุกร์ที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๗ เพื่อให้เข้ากับเทศกาลวันมาฆบูชา กับวันวาเลนไทน์ พระครูสมุห์สงบ กิตฺติญาโณ หรือหลวงพี่สงบ รักษาการเจ้าอาวาสวัดตะเคียน ถนนนครอินทร์ (พระราม ๕) ต.บางคูเวียง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ได้จัดให้มี “พิธีวิวาห์ "ลงโลง" ในวันแห่งความรักของพระพุทธศาสนา” ซึ่งเป็นครั้งแรกของประเทศไทย โดยมีคู่บ่าวสาว ๗ คู่ แต่งตัวด้วยชุดวิวาห์ โดยมีความเชื่อดังสำนวนไทยที่ว่า “รวมหอลงโลง” หลวงพี่สงบพูดไว้อย่างน่าคิดว่า "พิธีกรรมการนอนโลงดูผิวเผินอาจจะเป็นเรื่องของการสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา แต่มีคติธรรมที่แฝงอยู่ในพิธีนอนโลง คือ เปรียบเสมือนการฝึกตายก่อนตายจริง เป็นการเตือนสติให้ระลึกว่าในที่สุดแล้วทุกคนก็หนีไม่พ้นความตาย จะจนติดดิน หรือรวยล้นฟ้าทุกคนต้องตายแน่ๆ การนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก ถึงจะเรียกว่าคนมีสติ และสตินี่แหละเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการดำเนินชีวิต" (http://www.komchadluek.net/media/img/size1/2014/02/17/gjj6kf6ikedbcabba8i6b.jpg) "วันจาตุรงคสันนิบาต" วันมาฆบูชาได้รับการยกย่องเป็นวันสำคัญทางศานาพุทธ เนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อกว่า ๒.๕๕๗ ปีก่อน คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ท่ามกลางที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา โดยมีเหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมกัน ๔ ประการ คือ ๑.พระสงฆ์สาวก ๑,๒๕๐ รูป ได้มาประชุมพร้อมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย ๒.พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" หรือผู้ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง ๓.พระสงฆ์ที่มาประชุมล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา ๖ และ ๔.วันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญมาฆปุรณมีดิถี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ดังนั้นจึงเรียกวันนี้อีกอย่างหนึ่งว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" หรือวันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ ๔ อย่างไรก็ตามเดิมนั้นไม่มีพิธีมาฆบูชาในประเทศพุทธเถรวาท จนมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๔) พระองค์ได้ทรงปรารภถึงเหตุการณ์ครั้งพุทธกาลในวันเพ็ญเดือน ๓ ดังกล่าวว่า เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญยิ่ง ควรประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นที่ตั้งแห่งความศรัทธาเลื่อมใส จึงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชกุศลมาฆบูชาขึ้น (http://www.komchadluek.net/media/img/size1/2014/02/17/g5k6hbga96gdaka9bj65k.jpg) "พุทธสุภาษิต"แห่งรัก พุทธศาสนสุภาษิต หมายถึง ถ้อยคำดีๆ ในพระพุทธศาสนา แต่มิได้หมายความเฉพาะคำที่พระพุทธองค์ตรัสไว้เท่านั้น แม้สุภาษิตแทบทั้งหมดจะเป็นพระพุทธพจน์ก็ตาม เช่น ถ้าเป็นภาษิตพระสัมมาสัมพุทธตรัสเอง เรียกว่า พุทธภาษิต พุทธสุภาษิต (หรือพระพุทธพจน์) ถ้าพระโพธิสัตว์ กล่าวเรียกว่า โพธิสัตว์ภาษิต ถ้าพระสาวกกล่าว ก็เรียกว่า เถรภาษิต บ้าง สาวกภาษิต บ้าง แม้แต่คำที่เทวดากล่าวและพระพุทธองค์ได้ตรัสรับรองว่าดีด้วยการตรัสคำนั้นซ้ำ เรียกว่า เทวดาภาษิต เป็นต้น หลวงพี่สงบบอกว่า พุทธศาสนสุภาษิตที่กล่าวถึงความรัก การใช้ชีวิตคู่ รวมทั้งการครองเรือนนั้นมีมากมาย ล้วนสามารถนำมาใช้กับชีวิตคู่ได้เป็นอย่างดี สุดแล้วแต่ใครจะหยิบพุทธศาสนสุภาษิตมาใช้ โดยมีการแบ่งไว้เป็นหมดหมู่ แต่ถ้าจะให้เข้ากับชื่อ "สงบ" ต้องเป็นพุทธศาสนสุภาษิต ที่ว่า "นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง" หมายถึง "ความสุขอื่นนอกจากความสงบ ไม่มี" แต่ถ้าเป็นพุทธศาสนสุภาษิตเพื่อเตือนสติเกี่ยวความรัก คือ "มา ปิเยหิ สมาคญฺฉิ อปฺปิเยหิ กุทาจนํ ปิยานํ อทสฺสนํ ทุกฺขํ อปฺปิยานญฺจ ทสฺสนํ" หมายถึง "อย่าติดอยู่ในสิ่งที่เรารัก หรือไม่รัก การพลัดพรากจากสิ่งที่เรารัก เป็นทุกข์ การพบเห็นแต่สิ่งที่ไม่รัก ก็เป็นทุกข์" ans1 ans1 ans1 นอกจากนี้ยังมีพุทธศาสนสุภาษิตที่กล่าวถึงความรักมากมาย เช่น "นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ" อ่านว่า "นัดถิ อัตตะสะมัง เปมัง" หมายถึง "ไม่มีความรักใด เสมอด้วยความรักตน" "ภริยา ปรมา สขา" หมายถึง "ภรรยาเป็นเพื่อนสนิท" "อติจิรํ นิวาเสน ปิโย ภวติ อปฺปิโย" หมายถึง "อยู่ร่วมกันนานเกินไป ที่เคยรักก็มักหน่าย" "ตสฺมา ปิยํ น กยิราถ ปิยาปิโย หิ ปาปโก คนฺถา เตสํ น วิชฺชนฺติ เยสํ นตฺถิ ปิยาปิยํ ฯ" หมายถึง "เพราะฉะนั้น ไม่ควรรักสิ่งใด เพราะพลัดพรากจากของรัก เป็นทุกข์ ผู้ที่หมดความรักและความเกียจแล้ว เครื่องผูกมัดก็พลอยหมดไปด้วย" "อากงฺเขยฺยุ เจ ภิกฺขเว อุโภ ชานิปตโย ทิฏฺเฐ เจว ธมฺเม อญฺมญฺญํ ปสฺสิตุ อภิสมฺปรายญฺจ เม อญฺมญฺญํ ปสฺสิตุ อุโภว อสฺสุ สมสทฺธา สมสีลา สมจาคา สมปญญา เม อญฺมญฺญํ ญาเต ทิฏฺเฐ เจว ธมฺเม เม อญฺมญฺญํ ปสฺสนฺติ อภิสมฺปรายญฺจ เม อญฺมญฺญํ ปสฺสนฺตีติ ฯ" หมายถึง “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภรรยาและสามีทั้งสองพึงหวังพบกันและกันทั้งในปัจจุบัน และในสัมปรายภพ ทั้งสองเทียวพึงเป็นผู้มีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกันภรรยาและสามีทั้งสองนั้น ย่อมได้พบกันและกันทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ” ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.komchadluek.net/detail/20140218/179180.html#.UwNjFs4W5El (http://www.komchadluek.net/detail/20140218/179180.html#.UwNjFs4W5El) หัวข้อ: Re: วิวาห์ 'ลงโลง' ในวันแห่งความรักของพระพุทธศาสนา เริ่มหัวข้อโดย: KIDSADA ที่ กุมภาพันธ์ 19, 2014, 09:26:15 am เรื่องอย่างนี้ น่าจัดการ มากกว่า เพราะไม่น่าจะเป็นกิจของสงฆ์ ที่จะต้องออกมาประจบคฤหัสถ์ จัดแจงกันขนาดนี้
:welcome: |