หัวข้อ: พุทธศาสนา...ในมือเรา - รู้โลกไม่รู้ตน เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กุมภาพันธ์ 19, 2014, 08:32:07 pm (http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x490/cover/566087.jpeg) พุทธศาสนา...ในมือเรา - รู้โลกไม่รู้ตน ย้อนกลับไปก่อนพุทธศักราชที่ ๑ ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธปริ นิพพานได้ทรงวางเงื่อนไข ๓ ประการ ต่อมา ครั้งสุดท้ายพญามารก็มาอาราธนาขอให้ปรินิพพานอีก เราคงเคยได้ยินว่าพระพุทธศาสนาของเรานั้นจะมีอายุ ๕,๐๐๐ ปี และขณะนี้พวกเราจึงถือได้ว่าอยู่ที่ “กึ่งพุทธกาล” โดยประมาณ แต่การที่พุทธศาสนาจะยืนอยู่ยาวนานเพียงใดหรือจะมีอายุเกินไปกว่าปีพุทธศักราชที่ ๕๐๐๐ ได้อย่างมั่นคงหรือไม่นั้น องค์ประกอบสำคัญ ๆ ส่วนหนึ่งอยู่ที่พุทธบริษัท ๔ อันได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกานั่นเอง ได้ยินเรื่องเล่าที่น่าสนใจมาจึงอยากจะแบ่งปันดังนี้ครับ ans1 ans1 ans1 ย้อนกลับไปก่อนพุทธศักราชที่ ๑ ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธปริ นิพพานได้ทรงวางเงื่อนไข ๓ ประการ ต่อมา ครั้งสุดท้ายพญามารก็มาอาราธนาขอให้ปรินิพพานอีกโดยทวงว่าเงื่อนไขที่พระองค์ได้ทรงวางไว้นั้นสมบูรณ์แล้วขอนิมนต์ปรินิพพานได้ พระพุทธเจ้าทรงสำรวจดูปรากฏว่าเงื่อนไขที่พระองค์ทรงกำหนด ไว้ ๓ ประการนั้นครบแล้ว พระพุทธองค์จึงทรงรับอาราธนาปรินิพพานแล้วทรงปลงพระชนมายุสังขารคือ ตกลงพระทัยว่าจะปรินิพพาน สิ่งที่น่าสนใจสำหรับสาธุชนคือ เงื่อนไข ๓ ประการที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้มีอะไรบ้าง (http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x490/cover/566088.jpeg) ก่อนมหาปรินิพพานหรือเริ่มต้นนับพุทธศักราชที่ ๑ นั้น พุทธบริษัท ๔ ได้แก่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา จะต้องมีความสามารถที่จะดำรงพระศาสนาได้ มิฉะนั้นพระพุทธองค์จะต้องทำหน้าที่ของพระศาสดาต่อไป หมายความว่าพระพุทธองค์ได้ทรงฝากพระศาสนาไว้กับพุทธบริษัท ๔ ผู้มีความสามารถ ๓ ประการได้แก่… ๑. ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา รู้เข้าใจธรรมวินัยและปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยตนเอง ๒. มีความสามารถและเอาใจใส่ที่จะบอกกล่าวชี้แจงสั่งสอนธรรมแก่ผู้อื่น ๓. เมื่อมีลัทธิคำสอนที่ผิดพลาดแปลกปลอมขึ้นมาก็สามารถกล่าวชี้แจงปกป้องพระธรรมและพุทธศาสนาไม่ให้ถูกบิดเบือน st12 st12 st12 นับจากพุทธศักราชที่ ๑ เป็นต้นมาจนถึงพุทธศักราชที่ ๒๕๐๐ หรือช่วงก่อนกึ่งพุทธกาล หน้าที่หลักของการดูแลพุทธศาสนาเป็นของพุทธบริษัทที่มีความมั่นคงเข้มแข็งเปี่ยมด้วยศรัทธาและปัญญาในการปกป้องพระศาสนาให้อยู่รอดปลอดภัย แต่...ในช่วงหลังกึ่งพุทธกาลปรากฏว่า ศาสนาอยู่ในความเสี่ยงทว่าไม่ใช่จากบุคคลภายนอกแต่ล้วนเกิดจากบุคคลที่อยู่ในศาสนาด้วยกันเอง ด้วยความย่อหย่อนต่อพระธรรมวินัยย่อหย่อนต่อสัจธรรมแท้จริงแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ่งเหล่านี้จึงทำให้ศาสนาหลักของชาติไทยกำลังอยู่ในภาวะที่ท้าทายอย่างยิ่งหลังกึ่งพุทธกาล หรือพุทธศักราช ๒๕๐๐ ปีล่วงมาเป็นที่เชื่อกันว่าหน้าที่ในการดูแลประคับประคองพระพุทธศาสนาให้อยู่ครบ ๕,๐๐๐ ปีเป็นของพระพุทธมหาจักรพรรดิซึ่งเป็นพระองค์แทนในการรองรับพระพุทธานุภาพจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ในการสืบทอดพระพุทธศาสนาและพระธรรม (http://www.dailynews.co.th/imagecache/429x490/cover/566089.jpeg) คำสอนให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ด้านหนึ่งคือการที่พุทธศาสนิกชนทุกหมู่เหล่าได้ร่วมกันทำบุญสม่ำเสมอ เช่น การที่มูลนิธิพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ร่วมกับ “มูลนิธิธรรมดี” และปุญญภาคีผู้มีบุญสัมพันธ์จึงดำริจัดสร้าง “พระพุทธมหาจักรพรรดิ (พระเจ้าทองทิพย์)” ปางวิสุทธิเทพประทานพรครั้งแรกของโลกเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและร่วมสืบสานพระพุทธศาสนาให้เจริญมั่นคงในแผ่นดินไทยสืบไป(รายละเอียด http://www.dhamdee.com/#sthash.qi9GSk59.dpuf (http://www.dhamdee.com/#sthash.qi9GSk59.dpuf)) แต่อีกด้านหนึ่งคือเรื่องที่ต้องดำเนินควบคู่ไปด้วยกันคือเรื่องบทบาทของพุทธบริษัท ๔ ที่มีต่อพระธรรมวินัยและสัจธรรมที่แท้จริงของพุทธศาสนา ดังจะเห็นได้ว่า ปัจจุบันคนเราใส่ใจกับเรื่องพิธีกรรมสะเดาะเคราะห์ ตัดกรรม ทำพิธีต่าง ๆ โดยเชื่อว่าพิธีกรรมสามารถลบล้างผลแห่งกรรมชั่วที่สร้างสมเอาไว้แต่เดิมได้มากกว่าที่จะเชื่อเรื่องของการสั่งสมกรรมดีให้ถึงพร้อม ละเว้นความชั่วและการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ อันเป็นแก่นพระพุทธศาสนานับแต่วันที่พระพุทธองค์ทรงแสดงพระโอวาทปาฏิโมกข์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันในยุคพุทธกาล หน้ากระดาษหมดพอดี สัปดาห์หน้าค่อยมาคุยกันต่อเรื่อง กฎแห่งกรรมและสัมมาทิฐิ ต่อเรื่องการเสริมสร้างกรรมดีละเว้นกรรมชั่ว. ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน ขอบคุณภาพข่าวจาก www.dailynews.co.th/Content/Article/217004/พุทธศาสนา+...+ในมือเรา+-+รู้โลกไม่รู้ตน (http://www.dailynews.co.th/Content/Article/217004/พุทธศาสนา+...+ในมือเรา+-+รู้โลกไม่รู้ตน) หัวข้อ: Re: พุทธศาสนา...ในมือเรา - รู้โลกไม่รู้ตน เริ่มหัวข้อโดย: ธุลีธวัช (chai173) ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2014, 06:36:47 am
ปัจจุบันนี้สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับในตัวแห่งตนคนหมู่มากว่า เขลาเชื่อในวัตถุกามนว้ตกรรมจนไม่เชื่อในหลักธรรมอริยะสงฆ์ คนหม่นจมทิ้งศีลกันมากมีแต่ทำบุญสุนทานหาใส่ใจกุศลกล่าวคือเขลาทำทำสักแต่ว่าทำศีลไม่ทำภาวนาไม่เอาเข้าไม่ถึงแก้ไขชีวิตลิขิตชะตาไม่เป็นปัญหาจึงหมักหม่ม ผมเห็นแล้วกลัวขยาดหนีคนกลุ่มพวกนี้และเสียใจที่เกิดมาร่วมเหยียบแผ่นดินด้วย ลี้หนีก็เท่ากับขลาดอนาถไม่มีแผ่นดินจะยืน ชี้ชวนชักนำก็ยาก รู้มากอยากทำแต่ไม่ใส่ใจจะทำปรามาสเสียด้วยอีก นี่แหละคนยุคนี้ |