หัวข้อ: โคธิกะภิกษุบรรลุอรหันต์..ขณะฆ่าตัวตาย เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2014, 09:26:35 am (http://blogs.telegraph.co.uk/news/files/2012/04/tibet-2_2178371b.jpg) โคธิกะภิกษุได้ญาณโลกีย์แล้วเสื่อม ที่สุดก็ฆ่าตัวตาย โคธิกสูตรที่ ๓ [๔๘๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้- สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตกรุงราชคฤห์ ฯ ก็สมัยนั้นแล ท่านโคธิกะ อยู่ที่กาลศิลาข้างภูเขาอิสิคิลิ ฯ [๔๘๙] ครั้งนั้นแล ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตมั่นคงอยู่ ได้บรรลุเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์ ภายหลังท่านโคธิกะได้เสื่อมจากเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์นั้น แม้ครั้งที่ ๒ ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียรมีจิตมั่นคงอยู่ ได้บรรลุเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์ แม้ในครั้งที่ ๒ ก็ได้เสื่อมจากเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์นั้น แม้ครั้งที่ ๓ ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตมั่นคงอยู่ ได้บรรลุเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์ แม้ในครั้งที่ ๓ ก็ได้เสื่อมจากเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์นั้น แม้ครั้งที่ ๔ ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตมั่นคงอยู่ ได้บรรลุเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์ แม้ในครั้งที่ ๔ ก็ได้เสื่อมจากเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์นั้น แม้ครั้งที่ ๕ ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตมั่นคงอยู่ ได้บรรลุเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์ แม้ในครั้งที่ ๕ ก็ได้เสื่อมจากเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์นั้น แม้ครั้งที่ ๖ ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตมั่นคงอยู่ ได้บรรลุเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์ แม้ในครั้งที่ ๖ ก็ได้เสื่อมจากเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์นั้น แม้ครั้งที่ ๗ ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตมั่นคงอยู่ ก็ได้บรรลุเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์อีก ฯ ครั้งนั้นแล ท่านโคธิกะได้เกิดความคิดอย่างนี้ว่า เราได้เสื่อมจากเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์ถึง ๖ ครั้งแล้ว ถ้ากระไรเราพึงนำศัสตรามา ฯ (http://www2.astvmanager.com/asp-bin/Image.aspx?ID=2180003) [๔๙๐] ลำดับนั้นแล มารผู้มีบาปทราบความปริวิตกแห่งจิตของท่านโคธิกะด้วยจิตแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้มีจักษุ มีเพียรใหญ่ มีปัญญามาก รุ่งเรืองด้วยฤทธิ์และยศ ก้าวล่วงเวรและภัยทั้งปวง ข้าพระองค์ขอถวายบังคมพระบาททั้งคู่ ข้าแต่พระองค์ผู้มีเพียรใหญ่ สาวกของพระองค์อันมรณะครอบงำแล้ว ย่อมคิดจำนงหวังความตาย ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงไว้ซึ่งความรุ่งเรือง ขอพระองค์จงห้ามสาวกของพระองค์นั้นเสียเถิด ฯ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้ปรากฏในหมู่ชน สาวกของพระองค์ยินดีในพระศาสนา ยังไม่ได้บรรลุพระอรหันต์อันตัดเสียซึ่งมานะ ยังเป็นพระเสขะอยู่ ไฉนจะพึงกระทำกาลเสียเล่า ฯ ก็เวลานั้น ท่านโคธิกะได้นำศัสตรามาแล้ว ฯ :25: :25: :25: [๔๙๑] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า ผู้นี้เป็นมารผู้มีบาป จึงได้ตรัสกะมารผู้มีบาปด้วยพระคาถาว่า ปราชญ์ทั้งหลายย่อมทำอย่างนี้แล ย่อมไม่ห่วงใยชีวิต โคธิกะภิกษุ ถอนตัณหาพร้อมด้วยราก นิพพานแล้ว ฯ [๔๙๒] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เรามาไปสู่กาลศิลา ข้างภูเขาอิสิคิลิ อันเป็นที่โคธิกกุลบุตรนำศัสตรามาแล้ว ฯ ภิกษุเหล่านั้น กราบทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุหลายรูปได้เข้าไปยังกาลศิลา ข้างภูเขาอิสิคิลิ ฯ พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็นโคธิกะมีคออันพลิกแล้ว นอนอยู่บนเตียงที่ไกลเทียว ก็เวลานั้นแล ควันหรือหมอกพลุ่งไปสู่ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และอนุทิศ ฯ (http://www2.astvmanager.com/asp-bin/Image.aspx?ID=2180004) [๔๙๓] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเห็นไหม ควันหรือหมอกนั้นพลุ่งไปสู่ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และอนุทิศ เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลรับพระดำรัสแล้วจึงตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นั่นมารผู้มีบาปเที่ยวแสวงหาวิญญาณของโคธิกกุลบุตร ด้วยคิดว่า วิญญาณของโคธิกกุลบุตรตั้งอยู่ ณ ที่ไหน ดูกรภิกษุทั้งหลาย โคธิกกุลบุตร มีวิญญาณอันไม่ตั้งอยู่แล้วปรินิพพานแล้ว ฯ [๔๙๔] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปถือพิณมีสีเหลืองเหมือนมะตูมสุก เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า ข้าพระองค์ได้ค้นหาวิญญาณของโคธิกกุลบุตร ทั้งในทิศเบื้องบน ทั้งทิศเบื้องต่ำ ทั้งทางขวาง ทั้งทิศใหญ่ ทิศน้อยทั่วแล้ว มิได้ประสบ โคธิกะนั้นไป ณ ที่ไหน ฯ st11 st11 st11 [๔๙๕] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า นักปราชญ์ผู้ใดสมบูรณ์ด้วยธิติ มีปรกติเพ่งพินิจ ยินดีแล้วในฌานทุกเมื่อ พากเพียรอยู่ตลอดวันและคืน ไม่มีความอาลัยในชีวิต ชนะเสนาของมัจจุราชแล้ว ไม่กลับมาสู่ภพใหม่ นักปราชญ์นั้นคือ โคธิกกุลบุตร ได้ถอนตัณหาพร้อมด้วยราก ปรินิพพานแล้ว ฯ พิณได้พลัดตกจากรักแร้ของมารผู้มีความเศร้าโศก ในลำดับนั้น ยักษ์นั้นมีความโทมนัส หายไปในที่นั้นนั่นเอง ฯ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ บรรทัดที่ ๓๘๘๕ - ๓๙๕๑. หน้าที่ ๑๖๙ - ๑๗๒. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=15&A=3885&Z=3951&pagebreak=0 (http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=15&A=3885&Z=3951&pagebreak=0) ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=15&i=488 (http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=15&i=488) ขอบคุณภาพจาก http://blogs.telegraph.co.uk/ (http://blogs.telegraph.co.uk/) , http://www2.astvmanager.com/ (http://www2.astvmanager.com/) หัวข้อ: Re: โคธิกะภิกษุบรรลุอรหันต์..ขณะฆ่าตัวตาย เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2014, 09:46:05 am (http://www2.astvmanager.com/asp-bin/Image.aspx?ID=2180002) กำหนดเวทนาเป็นอารมณ์ตั้งสติมั่น พิจารณามูลกัมมัฏฐานบรรลุพระอรหัต อรรถกถาโคธิกสูตรที่ ๓ (ยกมาแสดงบางส่วน) ได้ยินว่า พระเถระคิดว่า เราจะมีประโยชน์อะไรด้วยชีวิตนี้ จึงนอนหงายเอามีดตัดหลอดคอ. ทุกขเวทนาทั้งหลายก็เกิดขึ้น. พระเถระข่มเวทนาแล้วกำหนดเวทนานั้นนั่นแหละเป็นอารมณ์ตั้งสติมั่น พิจารณามูลกัมมัฏฐานก็บรรลุพระอรหัต เป็นสมสีสี ปรินิพพานแล้ว. ก็ชื่อว่าสมสีสีมี ๓ ประเภท คือ อิริยาปถสมสีสี โรคสมสีสี ชีวิตสมสีสี. บรรดาพระอรหันต์ ๓ ประเภทนั้น พระอริยะรูปใดอธิษฐานอิริยาบถทั้งหลายมียืนเป็นต้น อิริยาบถอย่างใดอย่างหนึ่ง ตั้งวิปัสสนาไว้มั่นด้วยหมายจะไม่เปลี่ยนอิริยาบถนี้แล้ว บรรลุพระอรหัต เมื่อเป็นดังนั้น พระอริยะรูปนั้นบรรลุพระอรหัตและไม่เปลี่ยนอิริยาบถพร้อมคราวเดียวกัน พระอริยะรูปนี้ชื่อว่าอิริยาปถสมสีสี. อนึ่ง พระอริยะรูปใดเมื่อบรรดาโรคทั้งหลายมีโรคตาเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่งมีอยู่ ตั้งวิปัสสนาไว้มั่นว่า ถึงไม่หายจากโรคนี้ ก็จักบรรลุพระอรหัต เมื่อเป็นดังนั้น พระอริยะรูปนั้นบรรลุพระหัตและหายโรคพร้อมคราวเดียวกัน พระอริยะรูปนี้ชื่อว่า โรคสมสีสี. แต่อาจารย์บางพวกบัญญัติพระอรหันต์นั้นเป็นสมสีสีในข้อนี้ โดยปรินิพพาน ในเพราะอิริยาบถนั้นนั่นแหละ และในเพราะโรคนั้นนั่นแหละ. อนึ่ง พระอริยะรูปใดสิ้นอาสวะและสิ้นชีพ พร้อมคราวเดียวกัน พระอริยะรูปนี้ ชื่อว่าชีวิตสมสีสี สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า บุคคลใดสิ้นอาสวะและสิ้นชีพไม่ก่อนไม่หลัง บุคคลนี้เรียกว่า สมสีสี. :25: :25: :25: ก็ในคำว่า สมสีสี นี้ สีสะมี ๒ คือ ปวัตตสีสะและกิเลสสีสะ. บรรดาสีสะทั้ง ๒ นั้น ชีวิตินทรีย์ชื่อว่าปวัตตสีสะ อวิชชาชื่อว่ากิเลสสีสะ. บรรดาชีวิตินทรีย์และอวิชชานั้น จุติจิตย่อมทำชีวิตินทรีย์ให้สิ้นไป มรรคจิตทำอวิชชาทั้งหลายให้สิ้นไป. จิตสองดวงย่อมไม่เกิดพร้อมคราวเดียวกัน. แต่ผลจิตเกิดในลำดับมรรคจิต ภวังคจิตเกิดในลำดับผลจิต ออกจากภวังคจิต ปัจจเวกขณจิตก็เกิด. ปัจจเวกขณจิตนั้นบริบูรณ์บ้างไม่บริบูรณ์บ้าง. จริงอยู่ แม้เอาดาบอันคมกริบตัดศีรษะ ปัจจเวกขณจิตย่อมเกิดขึ้น ๑ วาระหรือ ๒ วาระโดยแท้ แต่เพราะจิตทั้งหลายเป็นไปเร็ว การสิ้นอาสวะและการสิ้นชีพจึงปรากฏเหมือนมีในขณะเดียวกันนั่นเทียว. อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค มารสังยุต ตติยวรรคที่ ๓ โคธิกสูตรที่ ๓ http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=15&i=488 (http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=15&i=488) ขอบคุณภาพจาก http://www2.astvmanager.com/ (http://www2.astvmanager.com/) หัวข้อ: Re: โคธิกะภิกษุบรรลุอรหันต์..ขณะฆ่าตัวตาย เริ่มหัวข้อโดย: samapol ที่ กุมภาพันธ์ 22, 2014, 09:47:08 pm ก็มีความเสีี่่ยง อยู่ มากในกรณี นี้ แต่ท่านโคธิกะ นั้น ท่านเป็นเข้าฌาน ได้ หลายครั้งและก็เสื่อมหลายครั้ง ดังนั้นท่านจึงมั่นใจ ในการปลงชีวิต ในขณะที่ดำรงฌาน ก่อนเสื่อม เพราะท่านตั้งใจไว้ว่า จะฆ่าตัวตายก่อน ฌานเสื่อม นั่นเอง ความตั้งใจแลกชีวิต คือปลงสังขาร ในระหว่างที่เข้าฌาน จึง เป็น สมสีสี ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะทำได้ง่าย ๆ ในการเข้าฌาน ทรงฌาน และ ออกจากฌาน หรือ สมาบัติ
ดังนั้นเดิมพัน ครั้งนี้เป็น เดิมพัน ของผู้ที่เข้าฌานเป็น จึงไม่ใช่เรื่องที่ ใคร ๆ จะทำได้ นะครับ พิจารณาให้ดี การเป็นพระอรหันต์ อย่างนี้ นับว่า หายาก เพราะต้องแลกด้วยชีวิต หากปลงชีวิตขณะฌานเสื่อม และ ขาดวิปัสสนา ก็ มีนิริยะ รออยู่ :bedtime2: :bedtime2: :bedtime2: สำหรับผมคงไม่เลือกวิธีนี้ เพราะมีครูอาจารย์ คอยแนะนำพร่ำสอนให้ปฏิบัติ มีสัมมาทิฏฐิ ในการภาวนา จึงเห็นควรว่า วิธีนี้ไม่เหมาะสม และพระพุทธเจ้า คงไม่ยินดีที่เราจะใช้วิธีอย่างนี้ มิฉะนั้น พระองค์ จะทรงสนับสนุนให้ภิกษุทั้งหลาย ฆ่าตัวเอง เพื่อมรรคผล เป็นแน่แท้ ถ้าดีจริง :49: |