หัวข้อ: สมาธิชาวบ้าน : พุทธะ คือ การตื่นรู้ เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ พฤษภาคม 17, 2014, 09:18:44 am (https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/10155483_627766110638180_5914177098853684975_n.jpg) สมาธิชาวบ้าน : พุทธะ คือ การตื่นรู้ นิพพานนั้น เป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนหน้าที่จะมีพระพุทธศาสนา นิพพานเป็นของกลางๆ คือไม่ได้เป็นของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง นิพพานเป็นภาวะของจิต นิพพานจึงไม่สามารถจับต้องได้ นิพพานเป็นเรื่องทางนามธรรม นิพพานอยู่ไม่ใกล้และนิพพานอยู่ไม่ไกล นิพพานดูเหมือนอยู่ภายนอกใจคนเรา แต่นิพพานอยู่ภายในใจคนเรา นิพพานเป็นบรมสุข แต่ในบรมสุขที่มากมายมหาศาลของนิพพานนั้น โดยเนื้อแท้ของนิพพานนั้น ไม่มีแม้แต่สิ่งใดๆ เลยแม้กระทั่งความรักและความสุข เป็นภาวะที่ไม่หลงเหลือความคิด ความรู้สึก ก่อนที่จะมีพระพุทธศาสนา พระปัจเจกพุทธเจ้ามากมายค้นพบสิ่งนี้ สิ่งที่เรียกว่า “นิพพาน” แต่การพบและเข้าถึง “นิพพาน” ของพระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่สามารถนำมาสั่งสอนมวลมนุษย์ให้เข้าถึงพระนิพพานได้ จนพระพุทธเจ้าทรงค้นพบและเข้าถึงพระนิพพาน และได้บัญญัติแนวทางไว้ให้ผู้คนปฏิบัติตาม เป็นศาสนาพุทธเผยแผ่ไปในสากล ผู้ที่ปฏิบัติตามแนวทางนี้จะพบได้ว่าเมื่อถึงจุดหนึ่ง ผู้ที่เดินตามแนวทางของพระพุทธองค์จะค้นพบด้วยตัวเอง รู้ได้ด้วยตนเองทุกคน รู้ในพระนิพพานที่เป็นปลายทางเหมือนกัน ในพระนิพพานจึงไม่มีความแตกต่างกัน มีความเท่ากัน :25: :25: :25: มนุษย์นี้มีพุทธะในตนเอง ฟังธรรมะรู้เรื่อง ใครเข้าใกล้นิพพานมากขึ้น ก็ยิ่งมีพุทธะที่เบ่งบาน มนุษย์ทั้งหลายเพียงแค่ยังแก้โจทย์นั้นไม่ได้เอง ต้องอาศัยแนวทางของผู้ที่เดินเส้นทางนี้เป็นแนวในการค้นหาคำตอบของโจทย์ ซึ่งก็คือธรรมะในพระพุทธศาสนา แต่ว่าถึงที่สุดแล้ว นิพพานก็จะรู้ด้วยตนเองจริงๆ ดังนั้นการที่จะค้นหาใจของเรา เราก็ต้องลงมือค้นหาด้วยตัวเอง เพียงแต่ยึดแนวทางพระพุทธศาสนาเป็นหลักยึดในการค้นหา เราจะจินตนาการไปเอง แล้วให้สำเร็จธรรมะไม่ได้ เช่น เราจินตนาการถึงขี่จักรยานหรือว่ายน้ำ มันก็ไม่ได้ทำให้เราขี่จักรยานหรือว่ายน้ำเป็นจริงๆ แม้ว่าจะจินตนาการดีสักแค่ไหน เราต้องขี่จักรยาน ว่ายน้ำ ด้วยตนเองเท่านั้นจึงจะขี่จักรยานเป็น ว่ายน้ำเป็น พุทธะ ธรรมะ นั้นก็อยู่ในใจเราทุกคน เราพยายามไปถึงมัน ไปถอดรหัสเหล่านี้จนจิตให้พ้นจากอวิชชา อวิชชาจองจำความคิดเราอยู่ มันมีมิติของความคิด แล้วเราก็ถูกจองจำในมิติของความคิด st12 st12 st12 สรรพสิ่งทุกอย่างบนโลกล้วนตั้งอยู่เพื่อรองรับความทุกข์ มีมากทุกข์ก็ทุกข์แบบมีมาก มีน้อยก็ทุกข์แบบมีน้อย ความเป็นเจ้าของที่เราคิดว่ามี ในความจริงแล้วทุกคนก็ยังคงเป็นคนเท่ากัน แต่อำนาจในการครอบครองสิ่งของบนโลกมันอยู่ตรงไหน อยู่ตรงที่เราไปบัญญัติมันขึ้นมา ไปสำคัญมั่นหมายขึ้นมา ซึ่งต่างคนต่างมีกรรมร่วมกัน ก็มาเกิดในความฝันเดียวกัน แล้วมายึดมั่นถือมั่นว่ามันเป็นจริงเป็นจัง ความฝันเรื่องใหม่จึงเกิดขึ้น คนเราจึงมีความฝันในหลายรูปแบบ แต่เมื่อไรที่เราพบพระนิพพาน พบความตื่นรู้ เราก็จะตื่นจากความฝัน และจะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วไม่มีสิ่งใดๆ มีอยู่จริงเลยแม้แต่พระนิพพาน. ที่มา http://www.thaipost.net/tabloid/040514/89916 (http://www.thaipost.net/tabloid/040514/89916) |