หัวข้อ: 4007 โค้งแม่ฮ่องสอน : ตอน กองมูเสียดฟ้า สิงหราฉ่ำฝน เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กรกฎาคม 14, 2014, 10:27:57 am (http://www.komchadluek.net/media/img/size_photo_slide/2014/07/13/aj98k8d9bifgcijcabh97.jpg) 4007 โค้งแม่ฮ่องสอน : ตอน กองมูเสียดฟ้า สิงหราฉ่ำฝน ฟ้าครึ้มฝน เมฆหม่นลอยมาแต่ไกล ฉันนั่งลุ้น อยู่ข้างสิงห์คู่ ตรงบันไดขึ้นวัดพระธาตุดอยกองมู ฝนจะตกหรือไม่ตก แผนการท่องเที่ยวของฉันจะเปลี่ยนไปเพราะฝนหรือเปล่า แต่ฉันก็ยังยืนยัน แม่ฮ่องสอนเที่ยวได้ทุกฤดู ก็ดูซิ ฉันผ่านมาแล้วตั้ง 1,864 โค้ง จนเข้ามาถึงตัวเมืองแม่ฮ่องสอน จาก อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ มา อ.แม่สะเรียง เข้าสู่ อ.แม่ลาน้อย และอ.ขุนยวม ที่นี่มีชื่อเสียงติดอันดับก็เมื่อตอนที่ดอยแม่อูคอฉาบไปด้วยสีเหลืองของดอกบัวตองในช่วงฤดูหนาวปลายปี (แน่นอนว่าไปตอนนี้ยังไม่ได้เห็น) และที่นี่มีดอยสูงติดอันดับ 10 ดอยสูงในประเทศไทย คือ โป่งสแยน (ดอยเกอโปโพโจ) 2005 เมตร ขุนยวมมีเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่ผูกพันกับญี่ปุ่น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเกิดเรื่องราวความรัก โกโบริ ก็อยู่ที่นี่ หากแต่ตอนจบพระเอกไม่ได้ตายเหมือนในนิยาย แต่ถูกส่งตัวกลับทิ้งภรรยาและลูกสาวอยู่ทางนี้ ความผูกพันของขุนยวมกับญี่ปุ่นกลับเป็นภาพของมิตรมากกว่าศัตรู ผู้ที่ผ่านขุนยวม แวะศึกษาเรื่องราวประวัติศาสตร์ช่วงนี้ได้ที่อนุสรณ์สถานไทย-ญี่ปุ่น จากขุนยวม มีเวลา ฉันจะมาขยายให้ฟัง (http://www.komchadluek.net/media/img/size1/2014/07/13/a5iba7kja7hhaa9eebek9.jpg) กว่าพันแปดร้อยโค้ง ก่อนจะเข้าสู่เมืองแม่ฮ่องสอน ผ่านหลากวิถีชีวิต แต่ในพื้นที่สอดแทรกไว้ด้วย ธรรมชาติที่ปรุงแต่งบ้าง ไร้การปรุงแต่งบ้าง แปลงนาข้าวทั้งที่ราบ และแนวขั้นบันไดเริ่มเห็นสีเขียวๆ ของต้นข้าว ความแห้งแล้งกำลังจะหมดไป เช้าวันนี้ ฝนยังไม่กวนใจ มุมมองจากสองสิงห์บนยอดดอยกองมู มองเห็นทั้งตัวเมือง ย่านชุมชน รันเวย์สนามบินแม่ฮ่องสอนที่ร้างราจากเครื่องบิน และทิวเขาสูงใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป มีเมฆลอยอ้อยอิ่งปกคลุม สำหรับสิงห์สองตัวนี้ อยู่คู่กับดอยกองมูมาแต่โบราณตัวหนึ่งสร้างโดยพระยาสิงหนาทราชา เจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนคนแรก และอีกตัวหนึ่งสร้างโดยพระนางเมี๊ยะ ภริยาของพระยาสิงหนาทราชา :s_hi: :s_hi: :s_hi: วัดพระธาตุดอยกองมู ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คู่บ้านคู่เมือง ใครมาแม่ฮ่องสอนเป็นต้องขึ้นไปสักการะ สมัยก่อนมีชื่อว่า วัดปลายดอย ด้านบนมีเจดีย์ 2 องค์ องค์ใหญ่สร้างโดยจองต่องสู่ เมื่อปี 2403 เป็นที่บรรจุพระธาตุของพระโมคคัลลานะเถระ ที่นำมาจากพม่า ส่วนพระเจดีย์องค์เล็กใกล้ๆ ทางขึ้นดอยมีอนุสาวรีย์พระยาสิงหนาทราชา เมื่อปี 2417 เพื่อเป็นที่ระลึกในการขึ้นครองแม่ฮ่องสอน ส่วนวิหารวัดพระธาตุดอยกองมู อยู่ติดกับ พระธาตุเจดีย์องค์ใหญ่ สร้างขึ้นพร้อมกัน มีหลังคาซ้อนสามชั้น มุงด้วยกระเบื้องไม้และตกแต่งโลหะ ฉลุลวดลายตามแบบศิลปะไทใหญ่ ลงจากดอยกองมู ได้เวลานัดหมายเรือ ที่จะพาเราไปล่องแม่น้ำปายไปเที่ยว บ้านกะเหรี่ยงคอยาว หรือ ชนเผ่าปะด่อง ที่บ้านห้วยปูแกง ต.ผาบ่อง ลงเรือกันที่บ้านห้วยเดื่อ ใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมง เพราะแล่นตามน้ำไปถึงชุมชนกะเหรี่ยงคอยาวบ้านห้วยปูแกง ซึ่งมีส่วนหนึ่งที่ย้ายจากศูนย์อพยพที่บ้านน้ำเพียงดิน มารวมอยู่ที่นี่หลังเกิดเหตุบุกยิงโรงพักบ้านน้ำเพียงดินเมื่อหลายปีก่อน (http://www.komchadluek.net/media/img/size1/2014/07/13/77akhcjjbd9j5bh6eeabj.jpg) ดาราของกะเหรี่ยงคอยาวอายุรุ่นยาย ที่ใครไปใครมาก็ต้องแวะถ่ายรูปด้วย ฟังยายเล่นกีตาร์ ร้องเพลง แต่ไม่ยักเจอ เจอแต่ลูกสาว ชื่อ มะเซ ที่วันนี้ก็อายุเยอะพอๆ กับฉันเข้าไปแล้ว เธอบอกว่า แม่ไปแล้ว ฉันใม่กล้าถามต่อ บอกตรงๆ ว่ากลัวคำตอบ แต่เธอก็เล่นกีตาร์ให้ฟังอย่างเต็มใจ เสียงร้องใสๆ ไม่ต้องผ่านมิกเซอร์ หรือไมโครโฟนชั้นดี ก็ทะลวงความรู้สึกหลายๆ อย่างได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งความดังและความกังวานของเสียง เสียดายฉันฟังภาษาเธอไม่ออก แต่เธอบอกว่า มันหมายถึงการทำมาหากินที่บ้านเกิดไม่ดี เลยต้องอพยพมา ที่บ้านกะเหรี่ยงคอยาว ห้วยปูแกง มีอยู่ราวๆ 45 ครัวเรือน ปกติในยามฤดูฝน เราไปอาจจะไม่ได้เจอสาวๆ มานั่งขายของให้นักท่องเที่ยว หรือทอผ้าอยู่กับบ้านมากนัก เพราะต้องเข้าไปไร่ เพื่อปลูกพืชผล จนถึงหน้าเกี่ยวเกี่ยวเสร็จแล้ว ฤดูกาลท่องเที่ยวมาเยือน เมื่อหมดฝนนั่นล่ะ ที่แต่ละบ้านก็จะจัดการหาข้าวของมาวางขาย ทั้งผ้าทอ ที่พวกเธอทอขึ้นมาเองหรือไม่ก็นำเข้ามาจากพม่า ไม้แกะสลักบ้าง เครื่องประดับพวกเงินผสม และหยกบ้าง ก็เป็นอีกทางของการหารายได้เลี้ยงปากท้องของพวกเขา :49: :49: :49: ออกจากบ้านห้วยปูแกง นั่งเรือทวนน้ำกลับไปท่าเรือ ยังต้องใช้เวลานานกว่าเดิมหน่อย ด้วยความเชี่ยวของกระแสน้ำในฤดูฝน ยังดีที่เป็นช่วงต้นฝน ยังเดินทางสะดวกอยู่บ้าง กลับถึงตัวเมือง ช่วงเย็นๆ เลยได้ไปนั่งเล่นอยู่แถวหนองจองคำ หนองน้ำสาธารณะในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ฉันเลือกนั่งเอ้อระเหยในเงาร่มของต้นไม้ริมน้ำ มองเห็นวัดจองคำ และวัดจองกลาง อยู่อีกฝั่ง ดูสวยงาม วัดจองคำ เป็นวัดเก่าแก่กว่าวัดพระธาตุดอยกองมูเสียอีก วัดนี้สร้างในปี 2370 โดยช่างฝีมือชาวไทยใหญ่ หลังคาวัดเป็นรูปปราสาทเพราะมีคติว่าปราสาทเป็นของสูง ที่เรียกว่าวัดจองคำ ก็เพราะเสาวัดประดับด้วยทองคำเปลวนั่นเอง ด้านในวิหารประดิศฐานหลวงพ่อโต ขนาดหน้าตักกว้าง 4.85 เมตร สร้างโดยช่างชาวพม่า เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ คล้ายพระศรีศากยมุนี(หลวงพ่อโต) วัดสุทัศน์เทพวรารามฯ (http://www.komchadluek.net/media/img/size1/2014/07/13/ibcfbd7hfjfk99ij67igb.jpg) ติดกันเป็นวัดจองกลาง ด้านในประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์จำลอง ปิดืทองเหลืองอร่ามไปทั้งองค์ ภายในวัดยังจัดทำพิพิธภัณฑ์ตุ๊กตาไม้แกะสลักเป็นรูปคน และรูปสัตว์โดยฝีมือช่างชาวพม่า โดยนำเข้ามาในไทยเมื่อปี 2400 และยังมีจิตกรรมบนกระจกเป็นเรื่องราวพระเวชสันดรและภาพพุทธประวัติ รวมถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนสมัยก่อน หลายภาพมีคคำบรรยายใต้ภาพเป็นภาษาพม่า และบันทึกไว้ด้วยว่าเป็นฝีมือช่างชาวมัณฑะเลย์ จริงๆ สถานที่ต่างๆ เหล่านี้ ใครมาก็มักไม่พลาด เพราะตัวเมืองแม่ฮ่องสอนไม่ได้ใหญ่โตมากมายนัก หากแต่ลองมาในฤดูที่แตกต่าง สถานที่ท่องเที่ยวในตัวเมืองส่วนใหญ่ เป็นวัดวาอาราม ซึ่งมีอายุอานามเก่าแก่ และมีเอกลักษณ์ st12 st12 st12 วันรุ่งขึ้น รีบตื่นกันแต่เช้า เพื่อเดินทางไปตักบาตรกันที่สะพานซูตองเป้ ที่ สวนธรรมภูสมะ บ้านกุงไม้สัก สะพานนี้เริ่มมีเชื่อเสียงกระจายออกไปนอกพื้นที่ ด้วยภาพของสะพานไม้ที่ตัดผ่านผืนนากว้างๆ ที่มีต้นข้าวออกรวงเหลืองสวย จนใครๆ เอ่ยปากว่า ถ้ามาแม่ฮ่องสอนอย่าลืมแวะไปที่นี่ด้วยนะ แต่ถ้ามาที่ สะพานซูตองเป้ ในหน้าฝน ก็จะได้เห็นต้นข้าวเขียวๆ หรือช่วงต้นฝน ที่กำลังเริ่มดำนา ก็จะเห็นต้นข้าวยังเล็กๆ อาจจะดูไม่สวยในทางโลก แต่ในทางธรรมและความศรัทธาของคนในพื้นที่ต้องบอกว่าที่นี่มีเต็มเปี่ยม สะพานไม้ที่เห็นทอดยาวไม่น้อยกว่า 600 เมตร ล้วนสร้างขึ้นด้วยกำลังและศรัทธาของชาวบ้านในละแวกนั้น เสาสะพานแต่ละต้นได้รับการบริจาคมาจากชาวบ้าน จากเดิมที่พระต้องคอยเก็บไม้ที่ลอยมาตามน้ำ แล้วก็มาต่อเติมจนข้ามผืนนากว้างๆ ได้โดยไม่เหยียบคันนา หรือต้นข้าวเสียหาย st11 st11 st11 วัดซูตองเป้ หรือสวนธรรมภูสมะ ยังดูไม่เรียบร้อยดี และขณะนี้กำลังสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ขึ้น ซึ่งคำว่าซูตองเป้ เป็นภาษาพม่า มีความหมายว่า ความสำเร็จ ชาวบ้านที่มากราบไหว้พระขอพรจากพระซูตองเป้ จะผูกคำขอพรเป็นไม้ไผ่แบนๆ เล็กๆ กับราวข้างๆ ศาลาหลังเล็กที่ประดิษฐานพระซูตองเป้ ว่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์นัก จนกลายเป็นความเชื่อและศรัทธา ปิดท้ายกันให้อิ่มบุญ ด้วยการไหว้เจ้าแม่กวนอิม ที่ศาลเจ้าแม่กวนอิม พุทธสถานจีนนิกายแห่งแรกของจังหวัดแม่ฮ่องสอน และเพิ่งจะประกอบพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมานี่เอง เป็นเทวสถานที่ยิ่งใหญ่ วิจิตรงดงาม จะขึ้นไปกราบไหว้เจ้าแม่กวนอิม ต้องลอดท้องเต่ามังกรด้านซ้าย ไหว้เทพเจ้าทั้งหมด 6 จุด แล้วอย่าลืมไปรับพลังฟ้าดิน ซึ่งในไทยมีแค่ 4 แห่งเท่านั้น ที่ลานรับพลัง ซึ่งสร้างขึ้นตามหลักฮวงจุ้ย ด้านหลังเป็นภูเขา ด้านหน้าเป็นฟ้า รับพลังของหยิน-หยาง แค่ตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ฉันก็ท่องไปทั่วได้ไม่รู้เบื่อ สัปดาห์หน้าจะพาผ่านพันโค้งสุดท้าย ขึ้นไปหาธรรมชาติและชุมชนสงบๆ ริมน้ำปายกันบ้าง อย่าลืมติดตามนะคะ ขอบคุณภาพและบทความจาก http://www.komchadluek.net/detail/20140713/188106.html (http://www.komchadluek.net/detail/20140713/188106.html) |