สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ กรกฎาคม 20, 2014, 07:28:17 pm



หัวข้อ: ผลสำรวจพระ-เณรปี'57 กว่า 3.49 แสนรูป ชี้สำนักสงฆ์จดทะเบียนตั้งวัดพุ่งกว่า 1,500
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กรกฎาคม 20, 2014, 07:28:17 pm

(http://www.matichon.co.th/online/2014/07/14057483241405748632l.jpg)

ผลสำรวจ พระ-เณร ปี '57 กว่า 3.49 แสนรูป ชี้สำนักสงฆ์จดทะเบียนตั้งวัดพุ่งกว่า 1,500 วัด

นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวกรณีจำนวนพระสงฆ์ และสามเณร ลดลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมาว่า ดูจากข้อมูลเกี่ยวกับการขอตั้งวัดใหม่พบว่ามีคำขอตั้งวัดเพิ่มทุกปีอย่างปี 2557 ขอตั้งวัดใหม่เพิ่มขึ้นจากปี 2556 จำนวน 1,563 วัด ซึ่งนั่นหมายความว่าจำนวนพระสงฆ์ไม่ได้ลดลง ส่วนที่ระบุว่ามีวัดร้างเพิ่มขึ้น เพราะมีการบวชน้อยลงนั้น ความจริงแล้วปัจจุบันไม่มีวัดร้าง เนื่องจากจำนวนวัดร้างที่อยู่ในปัจจุบันทั้งหมด เป็นวัดร้างในสมัยโบราณ ซึ่งที่ผ่านมา พศ.พัฒนา และยกวัดร้างให้เป็นวัดใหม่ ส่วนประเด็นที่บางวัดพระน้อยนั้น ยอมรับว่าในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนใต้ มีบางวัดอาจที่มีพระสงฆ์ 3-5 รูป ซึ่งถือว่าปกติ ไม่ได้ลดลงจากเดิม

นายนพรัตน์กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่มีการสำรวจเกี่ยวกับจำนวนพระสงฆ์ จำนวนวัดทั่วประเทศของ พศ.ที่ผ่านมา พบว่า เมื่อปี 2556 วัดที่มีพระสงฆ์ 37,713 วัด ส่วนปี 2557 มี 39,276 วัด มีวัดเพิ่มขึ้นจากปี 2556 จำนวน 1,563 วัด ส่วนใหญ่มาจากการที่สำนักสงฆ์ขอจดทะเบียนเป็นวัด ส่วนจำนวนพระสงฆ์ และสามเณรที่ พศ.ดำเนินการสำรวจ พบว่าในปี 2556 พระสงฆ์ และสามเณรทั่วประเทศ มี 355,295 รูป ส่วนปี 2557 จากการสำรวจเมื่อถึงมกราคมมี 349,659 รูป เชื่อว่าหากสรุปจำนวนพระสงฆ์ในช่วงปลายปี น่าจะเพิ่มจากปีที่ผ่านมา

 :96: :96: :96:

"ส่วนจำนวนวัดร้างที่พบข้อมูลเมื่อปี 2556 มี 6,097 วัด และในปี 2557 วัดร้างลดเหลือ 6,081 วัด สาเหตุที่วัดร้างลดจำนวนลง เนื่องจาก พศ.พยายามยกฐานะวัดร้างเป็นวัดที่มีพระสงฆ์ ซึ่งปัญหาวัดร้างที่ พศ.กำลังเร่งแก้ปัญหาอยู่ขณะนี้ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยโบราณ และปัจจุบันกำลังเร่งยกฐานะขึ้นมาใหม่ ซึ่งสำเร็จไปแล้วจำนวนมาก" นายนพรัตน์กล่าว

ด้านพระครูสารกิจประยุต (กาบ) รองเจ้าคณะอำเภอเมืองมหาสารคาม เจ้าอาวาสวัดขุนพรหมดำริ ต.ท่าสองคอน อ.เมือง จ.มหาสารคาม รักษาการเจ้าอาวาสวัดธัญญาวาส ต.ตลาด อ.เมือง จ.มหาสารคาม และ อาจารย์ประจำหลักสูตร สาขาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น หน่วยบริการมหาสารคาม กล่าวว่า ปริมาณคนที่บวชเป็นพระไม่ได้ลดน้อยลง เพราะปีนี้บวชเป็นพระมากกว่า 100 รูป สมัยก่อนคนที่มาบวช บวชเพื่อมุ่งหวังการเรียน แต่ปัจจุบันบวชเป็นประเพณีและบวชทดแทนคุณบิดามารดา แต่ทุกวันนี้มีพระราชบัญญัติการศึกษา กำหนดให้คนต้องเรียนจบชั้น ม.6 ทำให้มาบวชเป็นพระเป็นเณรไม่มาก ส่วนใหญ่พอจบ ม.6 ไปแล้ว ก็มีแฟนทำให้โอกาสเข้ามาทางพระก็น้อยลง

 :25: :25: :25:

พระครูสารกิจประยุตกล่าวอีกว่า สมัยนี้คนที่เข้ามาบวชพระถูกจำกัดด้วยเวลาการลางานจากบริษัทห้างร้านต่างๆ เปรียบเสมือน "พระเซเว่น"

แทนที่จะบวชได้พรรษา กลับบวชได้แค่ 7-15 วันเท่านั้น โอกาสเข้าใจหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่มี อยากขอร้องบริษัทห้างร้านอนุญาตให้ลาได้ 15 วัน หรือ 1 เดือน เพราะเชื่อว่าการที่คนเข้าศึกษาหลักธรรมในพระพุทธศาสนา เมื่อสึกออกไปแล้ว คนที่จะได้ประโยชน์ก็คือองค์กรของตัวเอง เพราะลูกน้องที่มาบวช ได้รู้หลักธรรมคำสอน ได้คุณธรรมจริยธรรม มีความอดทน มีความเพียร มีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง ซื่อสัตย์ต่อองค์กร เอาความดีที่ได้บวชไปทำความดีต่อหน่วยงาน เสียโอกาสเพียงเดือนเดียวเท่านั้นเพื่อให้สังคมร่มเย็น ประเทศชาติก็จะร่มเย็นตามไปด้วย

 st12 st12 st12

พระครูธรรมธรสมรักษ์ อนาลโย หรือ "หลวงพ่อรักษ์" เจ้าอาวาสวัดสุทธาวาส วิปัสสนา สำนักปฏิบัติธรรมแห่งที่ 13 พุทธมณฑลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ.ลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า ในการจัดการศึกษาปัจจุบันที่ต้องผลิตบัณฑิตสู่สังคมพระพุทธศาสนาและสังคมแห่งการเรียนรู้สู่อาเซียนนั้น จำต้องมีสิ่งสนับสนุนการจัดการเรียนรู้แก่นิสิตอย่างดีและมีประสิทธิภาพ เพื่อพัฒนาศักยภาพของบัณฑิต จึงจำเป็นต้องมีงบประมาณมาสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนให้เพียงพอต่อความต้องการของนิสิต

พระเทพญาณเวที รองอธิการบดีมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) วิทยาเขตพะเยา กล่าวว่า เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของพระนิสิตให้ดีขึ้นเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ เพื่อสืบทอดการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนตลอดไป จึงได้จัดตั้งกองทุนการศึกษาส่งเสริมพระพุทธศาสนาพัฒนาคุณภาพพระนิสิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา

 st11 st11 st11

พระราชปริยัติ ผู้อำนวยการสำนักวิชาการ มจร.พะเยา กล่าวว่า กองทุนดังกล่าวที่ตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนทุนการศึกษาพระนิสิต ที่ศึกษาในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา ชั้นปีที่ 1-4 จำนวน 200 รูป โดยทุนการศึกษาที่จะถวายพระนิสิตด้อยโอกาส แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ
     1. ทุนตามกำลังศรัทธา
     2. ทุนค่าหน่วยกิตและค่าบำรุงการศึกษาตลอดหลักสูตร ปีการศึกษาละ 8,000 บาท และ
     3. ทุนต่อเนื่องจนสำเร็จการศึกษา หลักสูตร 4 ปี หลักสูตรละ 32,000 บาท และครุศาสตร์ 5 ปี หลักสูตรละ 40,000 บาท ซึ่งจนถึงขณะนี้ได้มีผู้มีจิตเป็นกุศลร่วมสนับสนุนกองทุน 140,000 บาท แล้ว

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1405748324 (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1405748324)