สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ กรกฎาคม 21, 2014, 09:51:29 am



หัวข้อ: ทุกคนล้วนเป็นญาติกัน : วิปัสสนาบนหน้าข่าว
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กรกฎาคม 21, 2014, 09:51:29 am

(http://www.komchadluek.net/media/img/size_photo_slide/2014/07/20/56jficb5ibjbedi9bckjg.jpg)

ทุกคนล้วนเป็นญาติกัน : วิปัสสนาบนหน้าข่าว
โดยพิสุทธิ์ เกรียงบูรพา เรื่อง อนันต์ วิจิตรประชา ภาพ

ยอมรับว่า สลดใจมาก เมื่อเห็นข่าวการฆ่าข่มขืนเด็กหญิงอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต ปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ ๒-๓ วันติดต่อกัน ยิ่งข่าวร้ายรายล่าสุด ผู้ร้ายบ้ากามที่ก่อเหตุ เป็นเจ้าหน้าที่บนรถไฟเสียเอง ซ้ำเด็กหญิงผู้เป็นเหยื่ออายุแค่ ๑๓ (แก่กว่าลูกสาวของผู้เขียนเพียงปีเดียว) ถูกฆาตกรรมแล้วโยนลงมาจากรถไฟอย่างน่าสะเทือนขวัญ

หลังจากครุ่นคิดอยู่นานว่าจะยกธรรมะข้อไหนดีที่จะกระตุ้นเตือนโจรผู้ร้ายให้ฉุกคิดเรื่องบาปกรรม กระตุกใจให้สังคมตื่นตัว เฝ้าระวังบุตรหลาน ญาติมิตรของเรา ก็ได้นึกถึงพุทธพจน์บทที่เกี่ยวกับท่าทีที่พระภิกษุพึงจะมีต่อสตรีนั้น มีปรากฏอยู่ใน 'ภารทวาชสูตร' ซึ่งพระเจ้าอุเทนได้ตรัสถามท่านปิณโฑลภารทวาชะว่า …

    “เหตุใดพระภิกษุหนุ่มๆ มีผมดำสนิท ที่ยังไม่หมดกามราคะ จึงบวชอยู่ได้นาน หรือบวชได้ตลอดชีวิต”

     ท่านชี้ให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ว่า   
     “ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอเห็นสตรีมีอายุคราวแม่ จงตั้งจิตเอาไว้ว่า หญิงนี้เป็นแม่ของตน, เมื่อเธอเห็นสตรีมีอายุคราวพี่สาว หรือน้องสาว จงตั้งจิตว่า หญิงเป็นพี่สาว หรือน้องสาวของเรา, เมื่อเธอเห็นสตรีมีอายุคราวลูก จงตั้งจิตว่าหญิงนี้เป็นลูกของเรา ด้วยความคิดอย่างนี้แล เป็นเหตุให้ภิกษุหนุ่มๆ เหล่านั้นรักษาพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์อยู่ได้นาน หรืออยู่ได้ตลอดชีวิต”

      :25: :25: :25:

พุทธพจน์อันประเสริฐบทนี้เอง หากทุกคนได้พิจารณาอย่างแยบคายแล้วไซร้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในหลายๆ มิติด้วยกัน และจะเป็นกุศโลบายอันป้องกันเหตุร้ายจาก ข่มขืน-ฆาตกรรมได้จริงๆ ดังจะได้สาธยายกันต่อไปนี้

๑. มิติของโจรใจบาป...แม้จะเสพยาบ้า ผสมการร่ำสุรา จนเกิดอารมณ์หื่นขึ้นมานั้น ... เห็นเด็กสาวเดินมาในที่เปลี่ยว เปิดโอกาสให้คิดกระทำเรื่องเลวร้าย หากได้สำนึก สำเหนียกถึงพุทธพจน์นี้ ที่ว่า ... “เมื่อเธอเห็นสตรีมีอายุคราวลูก จงตั้งจิตว่าหญิงนี้เป็นลูกของเรา” ... แล้วไซร้ความคิดที่จะก่อกรรมชั่วร้าย ก็คงจะไม่เกิดขึ้น เป็นแน่ จะเว้นไว้ก็สำหรับคนระยำบางคนที่อาจใช้ไม่ได้ผล แม้จะคิดว่า น้องหญิงที่เขากำลังจะข่มขืนเป็นลูกสาวในไส้แล้วก็ตาม ก็ยังอุตส่าห์ลงมือทำร้ายได้ ก็เพราะคนประเภทนี้ เป็นคนเพียงแต่รูปกายภายนอกเท่านั้น แต่จิตใจเขาเป็นสัตว์นรก จึงมีพฤติกรรมที่ไม่ต่างอะไรไปจากสัตว์เดรัจฉาน ที่พร้อมจะเสพกามกับญาติพี่น้อง ลูกหลานตัวเองได้ ทุกเมื่อที่เกิดอารมณ์ ... (ชั่วเกินกว่าธรรมะพระพุทธเจ้าจะโปรดถึง)

๒. มิติของสาธุชนพลเมืองดี ที่อาจตกอยู่ในสถานการณ์นั้น หากได้สำเหนียก ระลึกนึกถึงพุทธพจน์ว่า ... “เมื่อเธอเห็นสตรีมีอายุคราวลูก จงตั้งจิตว่าหญิงนี้เป็นลูกของเรา” ... พวกเขาเหล่านั้น ก็จะไม่นิ่งดูดายต่อความปลอดภัยของเด็กหญิง ที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม นั้นๆ ทั้งยังช่วยกันเป็นหู เป็นตา ปกป้อง ไม่ให้คนร้าย คิดก่อเหตุระยำ ได้ง่ายดาย สังคมก็จะปลอดภัยมากขึ้น

๓. มิติตำรวจ-เจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมาย ... ผู้มีงานคดีต้องติดตามมากมายก่ายกอง อาจไม่มีเวลาพอที่จะสนใจ แยแส เรื่องราวเหล่านี้ กระทั่งได้สำเหนียกถึงพุทธพจน์ที่ว่า ... “เมื่อเธอเห็นสตรีมีอายุคราวลูก จงตั้งจิตว่าหญิงนี้เป็นลูกของเรา” … คือเหยื่อเป็นลูกสาวเรา ญาติของเรา ตำรวจ เจ้าหน้าที่บ้านเมือง ก็คงจะต้องเร่งรีบ สืบเสาะ ดำเนินการได้เร็วเป็นพิเศษแน่นอน คือตั้งใจลงมือทำจริง สืบคดีจริงๆ ตั้งแต่เบื้องต้น ไม่ใช่รอเสนอหน้า เฉพาะเวลาแถลงข่าว ตอนจับได้แล้ว ... FBI เคยเตือนเรื่องนี้กับประเทศไทยแล้วนะครับว่า กฎหมาย หรือกระบวนการจัดการ ขั้นตอนการแจ้งความ หรือสืบเสาะหา 'เด็กหาย' นั้นต่ำกว่ามาตรฐานมาก, มีสถิติระบุไว้เป็นตัวเลข (เท่าที่ผมจำได้) หากเด็กหาย ๖ ช.ม. โอกาสที่เด็กยังคงรอดชีวิตอยู่มีไม่ถึง ๕๐% … ฯลฯ และหากเด็กหายไป ๒๔ ชม. อัตรารอดชีวิตมีแค่ ๖% เท่านั้น ในขณะที่กฎหมายบ้านเรา ไม่แยก 'คนหาย' ว่าเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ มีแต่บังคับว่าจะแจ้งได้ ต้องหายไปแล้ว ๒๔ ชม. ขึ้นไป ...

    นั่นคงจะสายเกินการณ์เป็นแน่!!!

 :41: :41: :41:

ก็เมื่อเราเห็นหญิงคราวแม่ ก็คิดว่าเป็นแม่เรา ปากเรายังเรียกว่า “คุณแม่” ก็เมื่อเราเห็นหญิงคราวพี่สาว น้องสาวเราก็คิดว่า นั่นเป็นพี่สาวเรา น้องสาวเรา ปากเรายังเรียกว่า “พี่สาว-น้องสาว” ก็เมื่อเราเห็นหญิงสาวคราวลูก-หลาน เราก็คิดว่า นั่นเป็นลูกเป็นหลานของเรา ปากเรายังเรียกว่า “ลูกๆ หลานๆ” แล้วไซร้ (สังคมไทยเรา น่ารักตรงนี้แหละครับ เราพยายามเรียกสรรพนามแทนคนทุกคนเป็นดั่งญาติกันไปหมด ไม่เว้นแม้แต่คนขอทานข้างถนน)

ฉะนั้นเมื่อเราตระหนักว่า คนบนโลกต่างมีสายใยสัมพันธ์ฉันญาติกันแล้ว เราก็จะดูแลซึ่งกันและกัน คนที่มีจิตใจต่ำทราม ชั่วช้า ครั้นเมื่อใครเกิดคิดร้าย อยากจะเบียดเบียน จ้องแต่จะเอาเปรียบผู้อื่น กระทั่งอยากจะข่มขืนใครต่อใคร ก็จะเกิดความละอายชั่ว (หิริ) กลัวบาป (โอตตัปปะ) ไม่กล้าลงมือกระทำสิ่งไม่ดีต่อผู้ใด เพราะทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นญาติสนิทมิตรสหาย พี่ๆ น้องๆ กันทั้งสิ้น

 :49: :49: :49:

การฆ่าข่มขืนทั้งหลายทั้งปวง จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าทุกคนในสังคมคิดตามที่พระพุทธเจ้าสอน หากพวกเราช่วยๆ กัน คนละไม้คนละมือ ช่วยกันปิดโอกาส ไม่ให้เกิด หยุดเถิด การฆ่าข่มขืนในสังคม (ผมละเบื่อจริงๆ ไอ้เรื่องแบบนี้) .... หันเข้าหา สุขอันประณีต ที่มีให้เลือกสรรอีกมากมายในโลก หรือมุ่งสู่ความสงบแห่งธรรม อันมุ่งกำจัดกิเลส จนเกิดญาณวิเศษเย็นว่าง ทางประเสริฐ ช่วยกันดุลย์โลกมนุษย์ให้มากๆ หน่อย รู้สึกคนชั่วมันเยอะเหลือเกินครับ

                คุกมันเต็ม กฎหมายเบา เอาไม่เคยอยู่
                กฎศีลปฏิบัติ เราก็รู้ กู่แทบไม่กลับ
                คดีฆ่าข่มขืน จึงยังคงอยู่ ไม่ลาลับ
                เป็นไปตามกฎ อิทัปปัจ-จยตา
                โชคยังดี มีกฎธรรม คอยถ่วงดุลย์
                สนับสนุน ความเป็นญาติ มีศาสนา
                ทุกคนล้วน เป็นญาติคลาน ตามกันมา
                โปรดอย่าได้ เบียดเบียน ญาติกันเลยฯ


ขอบคุณภาพและบทความจาก 
http://www.komchadluek.net/detail/20140720/188517.html (http://www.komchadluek.net/detail/20140720/188517.html)