หัวข้อ: ปรัชญาแก้เซ็ง บทความยาวนิด นะคะ เริ่มหัวข้อโดย: รักหนอ ที่ พฤศจิกายน 02, 2010, 07:30:57 am ปรัชญาแก้เซ็ง พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต ป.ธ. ๙, Ph.D.) อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, เจ้าคณะภาค ๒, เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร (http://www.buddhadham.com/article/art_250120.jpg) ในชีวิตประจำวัน คนเรามักหลีกหนีความเซ็งไปไม่พ้น ความเซ็งเกิดขึ้นง่าย พอ ๆ กับการเป็นหวัดคัดจมูกในฤดูฝน คนที่เซ็งไม่ใช่คนเป็นโรคจิต การบำบัดรักษา จากจิตแพทย์จึงไม่จำเป็น แต่เราจะปล่อยให้เซ็งอยู่นาน ๆ ก็ไม่ได้ เพราะความเซ็ง มีส่วนลดทอนความสุขของชีวิต และมักจะทำลายบรรยากาศที่แสนจะโรแมนติกของ บางคน ทำอย่างไรความเซ็งจึงจะถูกลบหายไปจากหัวใจ นี่เป็นปัญหาที่นักปรัชญา ร่วมสมัยควรขบคิด ปรัชญาความเซ็ง คำว่า “เซ็ง” แม้จะเป็นศัพท์ที่เริ่มใช้ในวงการภาษาสะแลง แต่ก็ติด ริมฝีปากของคนไทยได้นาน เพราะสะท้อนถึงความรู้สึกชนิดหนึ่งได้เหมาะสมกะทัดรัด ความรู้สึกชนิดนั้นคือ “เซ็ง” ที่ใครได้ยินก็เข้าใจซึ้งโดยไม่ต้องอธิบายขยายความ เพราะ คนเราต่างคุ้นกับความเซ็งของตัวเองอยู่แล้ว ใครก็ตามที่ความเซ็งเข้าจับความรู้สึก ใจของเขาจะเริ่มมึนซึม ความกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวาจางหายไป ความแจ่มใส เปลี่ยนเป็นซึมเซาเช่นเดียวกับเงาดำปรากฏเวลาดวงจันทร์เข้ากลีบเมฆ จากนั้น อารมณ์ชักหงุดหงิด ส่งผลให้ใครทำอะไรก็กลายเป็นสิ่งไม่สบอารมณ์ รอยยิ้มหวาน ดูเป็นรอยยิ้มเยาะ และเสียงสดใสฟังเป็นเสียงกวนประสาท เหล่านี้เป็นลักษณะอาการ ทั่วไปของความเซ็ง นิยามแห่งความเซ็ง ความเซ็งนั้นมีความเข้มข้นและเจือจางต่างกันไป นั่นก็คือเหตุผลว่าทำไม บางคนเซ็งมากแต่บางคนเซ็งน้อย ทั้งนี้ เพราะเหตุที่ก่อให้เกิดความเซ็งมีความหนัก เบาต่างกัน เมื่อวิเคราะห์แยกแยะถึงสาเหตุเหล่านั้น เราจะพบความเซ็ง ๓ ระดับ คือ ความเซ็งธรรมดา ความเบื่อ และความเอียน แต่ละระดับก็จัดเป็นความเซ็ง ทั้งนั้น ความเซ็งชั่วขณะ ระดับแรกคือ ความเซ็งชั่วขณะ เพราะมีเวลาว่างมาก และไม่มีสิ่งถูกใจ ให้จับทำ เวลาคนอยู่ว่างเขามักจะคิดฟุ้งซ่าน คิดหนักเข้าก็เกิดอาการเซ็งตัวเอง บางทีเวลาว่างนั้นเกิดขึ้นโดยสถานการณ์บังคับ เช่น ต้องรอรถเมล์นานเป็นชั่วโมง สองชั่วโมง เราจะหยิบอะไรขึ้นมาทำระหว่างรอก็ไม่ได้ ยิ่งรอก็ยิ่งเซ็ง บางคนไม่ได้ พิศวาสกับการนั่งใต้เพิงหมาแหงนกลางทุ่งสักหน่อย แต่ก็ต้องทนนั่งจับเจ่าอยู่ที่นั่น นับเป็นชั่วโมงเพราะฝนเทลงมาอย่างกะฟ้ารั่ว กลับบ้านก็ไม่ได้ ถ้าเราเจอสภาพนี้เข้า จะเซ็งขนาดไหน หรือบางรายตกไปอยู่ต่างถิ่นต่างแดนพบแต่คนแปลกหน้า ถ้าปรับตัว เข้ากับคนถิ่นนั้นไม่ได้ก็มีแต่เซ็งกับเซ็ง ซึ่งข้อนี้คนไทยในต่างประเทศรู้ดี สองสาม วันแรกในต่างแดนผ่านไปอย่างเชื่องช้า ความไม่คุ้นเคยกับสถานที่และความไม่สันทัด ในภาษาต่างประเทศ บังคับให้ต้องนอนเฝ้าบ้านเขา ใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการ คิดถึงเมืองไทยและคนไทยที่แสนดี ช่วงนี้เป็นระยะที่โรคคิดถึงบ้านออกฤทธิ์ นี่เป็น สภาพที่พูดได้คำเดียวว่า “เซ็งระเบิด” ศิลปะแห่งการสร้างความสุขในความเซ็ง ใครที่รำคาญตัวเอง หรือมีความเซ็งระดับแรกนี้ก็ควรหาอะไรทำแก้เซ็ง ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ ฟังวิทยุ ชมโทรทัศน์ หรือสนทนากับคนถูกคอ การไม่ ปล่อยตัวเองให้มีเวลาว่าง นอกจากจะแก้เซ็งแล้วยังกำจัดความวิตกกังวล และกิเลส อีกหลายประการ คนเรายิ่งมีเวลาว่างมากก็ยิ่งคิดมาก และตามปกติก็มักคิดถึง อารมณ์ที่เพิ่มพูนกิเลสของตัวเอง การจับอะไรขึ้นมาทำจึงช่วยลดกิเลสได้มาก บางคน กล่าวไว้น่าฟังว่า “งานเท่านั้นที่จะฆ่ากิเลสทั้งหลายให้ตายไปได้” การทำงานจึงช่วย ลดกิเลสและแก้เซ็งไปในตัว บางท่านจึงกล่าวว่า “การทำงานเป็นการปฏิบัติธรรม” ชาวญี่ปุ่นเป็นชนชาติขยันขันแข็งผู้ไม่ยอมให้ตนเองอยู่นิ่งเฉย เขาทำ ทุกอย่างที่จะนำผลประโยชน์มาให้ตนเอง ชาวญี่ปุ่นมีคติสอนใจว่า “ล้มไปแล้ว อย่าลุกขึ้นมามือเปล่า อย่างน้อยให้มีหญ้าสักเส้นติดมือขึ้นมาก็ยังดี” ดังนั้นชาวญี่ปุ่น จึงทำงานสร้างชาติแข่งกับเวลา เขาไม่ปล่อยเวลาให้ล่วงไปอย่างไร้ประโยชน์ แม้ในขณะที่ยืนรอรถเมล์ ชาวญี่ปุ่นยังมีหนังสือติดมือมาเปิดออกอ่าน ในประเด็นนี้ คนกรุงเทพฯสามารถเลียนแบบชาวญี่ปุ่นได้ คือผู้โดยสารรถเมล์แต่ละคนควรถือ หนังสือติดมือคนละเล่มสองเล่ม พอจำเป็นต้องรอรถเมล์นาน ๆ หรือนั่งในรถที่ติดกัน ยาวเหยียด ก็เปิดหนังสือตอนที่ขำขันออกอ่าน แล้วหัวเราะคิกคักไปคนเดียว “นัยว่าแก้เซ็ง” ริรักแก้เซ็ง ความเซ็งเพราะไม่รู้จะทำอะไรนี้ไม่ใช่จะให้โทษเสมอไป ความเซ็งอาจให้คุณ ก็ได้ถ้าเราใช้เป็น นักศึกษาหลายคนประสบผลสำเร็จงดงามในการศึกษาก็เพราะ ความเซ็ง นักศึกษาเหล่านี้ขังตัวเองในห้องที่ไม่มีสิ่งเริงรมย์อื่นใดนอกเหนือไปจาก ตำรา เมื่อรู้สึกเซ็งหนักเข้าพวกเขาจะอ่านตำราแก้เซ็ง ดังนั้น นักศึกษาผู้ไม่สามารถ บังคับใจให้จดจ่ออยู่กับตำราเรียน ควรทดลองขังตัวเองอยู่กับตำราดูบ้าง ความจำเป็น เพราะออกไปไหนไม่ได้จะบังคับให้เขาอ่านหนังสือแก้เซ็งได้ ถ้าไม่ชิงหลับปุ๋ยไปเสียก่อน นักศึกษาไทยในต่างประเทศก็อาจใช้ความเซ็งให้เป็นประโยชน์ต่อการศึกษา การต้องจากบ้านเมืองไปอยู่ในต่างแดนที่มีแต่คนแปลกหน้าทำให้เกิดความเซ็ง อย่างมาก วิธีแก้เซ็งที่ดีก็คือต้องตั้งใจเรียน แต่ต้องระวังไม่ให้กลายเป็นเรียนรัก ทั้งนี้เนื่องจากนิยายรักในต่างแดนเกิดขึ้นง่าย เพราะหญิงและชายต่างก็มี ความเซ็งในหัวใจเหมือนกัน ต่างฝ่ายจึงต่าง “ริรักแก้เซ็ง” เขียนแก้เซ็ง นักปรัชญาชื่อว่า อริสโตเติ้ล ดูจะเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระว่างความเซ็ง กับการเรียนรู้นี้ดี อริสโตเติ้ลได้รับเชิญจากพระเจ้าฟิลิปแห่งนครรัฐมาชิโดเนีย ให้เป็น พระอาจารย์สอนหนังสือเจ้าชายอาเล็กซานเดอร์ เจ้าชายพระองค์นี้ต่อมาได้เป็น อาเล็กซานเดอร์มหาราชผู้พิชิตโลก เจ้าชายไม่ทรงสนพระทัยในการศึกษา พระอาจารย์ก่อน ๆ ไม่สามารถสอนเจ้าชายได้เลย ดังนั้น หลังจากได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระเจ้าฟิลิปแล้ว อริสโตเติ้ล จึงจับเจ้าชายอาเล็กซานเดอร์ขังในห้องนอน เจ้าชายร้องดิ้นรนเพื่อจะออกจากห้อง แต่ก็ไม่มีใครเปิดประตู หลังจากสิ้นหวังว่าจะได้ออกไปข้างนอกแล้วจึงสำรวจไป รอบ ๆ ห้อง และได้พบตัวอักษรกรีกที่อริสโตเติ้ลได้เขียนเตรียมไว้บนฝาผนัง ความเซ็งเพราะไม่มีอะไร จะทำเร่งเร้าให้เกิดความสนใจตัวหนังสือเจ้าชายค่อย ๆ ฝึกหัดเขียนตามทีละตัว ๆ การศึกษาของเจ้าชายอเล็กซานเดอร์เริ่มขึ้นแล้วจาก “ความเซ็ง” แม้ในกิจกรรมด้านอื่นความเซ็งก็มีส่วนกระตุ้นให้เกิดผลงานเลอเลิศ เล่ากันว่า “ดิกชันนารี่อังกฤษ-ไทย” ของ “ส. เสถบุตร” ถูกเขียนขึ้นในคุก เขาคงจะ เขียนมันขึ้นเพื่อผ่านช่วงเวลาที่แสนเซ็ง นี่เรียกว่า “เขียนแก้เซ็ง” เซ็งเพราะสภาพจำเจ ความเซ็งระดับแรกนี้ยังน่ารัก เพราะเราพอปรับใช้ประโยชน์ได้ดังกล่าว แต่เรา จะไม่พบส่วนดีในความเบื่อ ซึ่งเป็นความเซ็งระดับที่สองเลย ความเบื่อ เกิดมาจากสภาพจำเจ เช่น ทำงานเดิมทุกวัน เรียนที่เดิมทุกวัน หรือพบคนหน้าเดิม ทุกวัน เหล่านี้สร้างความเบื่อหน่ายและเซ็งอย่างร้ายกาจ เพราะขัดกับสภาพในใจ ของเราที่ไม่ชอบความซ้ำซากจำเจ ตามปกติใจของคนเราชอบสิ่งแปลกใหม่ สิ่งใด ที่ได้เป็นกรรมสิทธิ์แล้วก็แล้วกันไป เรามองข้ามของเก่าและสอดสายตาหาของใหม่ ต่อไปด้วยอำนาจตัณหา ไม่มีใครฟังคำเตือนที่ว่า “นกตัวเดียวในกำมือ ดีกว่านกสองตัวบนต้นไม้” น้อยคนจะสนใจสิ่งใกล้มือ ส่วนมากมักพยายามไขว่คว้าสิ่งไกลเกินเอื้อม สิ่งใดที่หามา ได้โดยง่าย สิ่งนั้นดูจะมีค่าน้อย ดอกฟ้าที่ยังเกี่ยวอยู่บนกิ่งฟ้าจึงเป็นสุดที่รักสุดบูชา แต่วันใดที่ดอกฟ้าถูกเด็ดลงมาปักแจกัน นับตั้งแต่วันนั้นดอกฟ้าก็ลดค่าลงมา เทียมดอกหญ้า และภาวะจำเจนั่นเองอาจก่อให้เกิดความเซ็งในอดีตดอกฟ้า บางคน พอรู้สึกเบื่อสิ่งใดก็อยากหนีสิ่งนั้น นั่นก็เป็นวิธีแก้เซ็งที่ได้ผลชะงัด แต่ในทางปฏิบัติ เราทำได้ยาก ถึงเราจะเบื่อแสนเบื่อกับงานที่ซ้ำซากจำเจ เราก็ต้องทนทำเพื่อเงินเดือน หรือเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ในงาน บางคนถึงจะเบื่อหน้าคนที่บ้าน ก็ทิ้งเขาไปไม่ได้ เพราะมีพันธะผูกพันคือลูกตาดำ ๆ เสียแล้ว บางท่านแม้จะเซ็งกับชีวิตนักบวชเพียงใดก็ต้องทนบวช เพราะเป็นถึง เจ้าฟ้าเจ้าคุณ การที่เราต้องทนกับภาวะจำเจต่อไปก็เพราะมีภาวะจำยอมบีบบังคับเรา ดังนั้น แม้จะเบื่อต่อสภาพจำเจเราก็ดิ้นไม่หลุด ทุกคนมีหัวโขนประจำตัว ใครสวม หัวโขนไปแล้วก็ถอดยากและจะไม่เต้นไปตามบทบาทก็ไม่ได้ เหมือนอย่างเช็คสเปียร์ กล่าวว่า “โลกนี้คือโรงละครใหญ่ ชายหญิงไซร้คือตัวละครนั่น” เมื่อหนีความจำเจไปไม่ได้ เราก็ไม่ควรทนอยู่ด้วยความเบื่อ แต่ควรจะอยู่ ด้วยไม่รู้สึกเบื่อหรือเซ็ง วิธีการก็คือ ขั้นแรกเราปรับใจให้ยอมรับและพอใจกับสิ่ง จำเจนั้น มองหาเสน่ห์ในความจืดชืด คิดเสียว่า “เมื่อไม่มีสิ่งที่เราชอบ ก็ต้องชอบ สิ่งที่เรามี” จากนั้นจึงหาวิธีเพิ่มเสน่ห์ให้กับสิ่งที่เรามี เช่น ถ้าเบื่องานประจำเราก็หาทาง ปรับปรุงขยับขยายงานนั้น เปิดแผนกใหม่ขึ้นมาบ้าง ไม่ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม และที่สำคัญคือไม่กลัวการเสี่ยง ยึดภาษิตว่า “ล้มเพราะก้าวไปข้างหน้า ดีกว่ายืน เต๊ะท่าอยู่กับที่” หรือถ้าทำงานประจำจนเครียด ควรหางานอดิเรกทำสลับฉาก บางคน เขียนหนังสือเป็นงานอดิเรกจนกลายเป็นนักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่ และบางท่านแม้จะ มีงานประจำทำอยู่แล้ว ก็ยังรับตำเหน่งรัฐมนตรีเป็นงานอดิเรก เหตุนั้นการปรับปรุง กิจการภายในจึงเป็นวิธีแก้ความเบื่อได้ดี คนเบื่อบ้านก็อาจตกแต่งห้องใหม่อย่างมีศิลป์ โยกย้ายเฟอร์นิเจอร์เสียบ้าง บ้านจะได้ดูน่าอยู่ขึ้น หรือสำหรับผู้ที่เบื่อแฟนก็อาจใช้วิธีเปลี่ยนบรรยากาศชวนกันไป ทานอาหารนอกบ้าน ไปตากอากาศด้วยกันบ้าง หรือเซ็งหนักเข้าก็ชวนกันไปปิดทอง ลูกนิมิต แล้วอธิษฐานว่า “ชาติหน้าชาติไหน จงอย่าได้เจอะได้เจอกันอีกเลย” จะได้ สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเลย ที่สุดแห่งความเซ็ง “ความเซ็งประการสุดท้าย” คือความเซ็งระดับสุดยอดที่เรียกกันว่า “ความเอียน” นั่นคือความเบื่อโลกหรือเอียนชีวิต ตรงกับคำว่านิพพิทา หรือความ หน่ายโลก ใครที่เอียนชีวิตจะมีความเซ็งชนิดถาวร มองเห็นโลกไม่น่าอภิรมย์ เอาเสียเลย ถ้าไม่ออกบวชหรือฆ่าตัวตายก็มีชีวิตอย่างหมดชีวิตชีวา ความเอียนชีวิตเกิดมาจากสาเหตุที่ว่า เป้าหมายในชีวิตได้พังทลายลงอย่าง กระทันหัน บางครั้งเป้าหมายหรืออุดมคติในชีวิตได้พังทลายลงเพราะค่านิยมของเรา เปลี่ยนแปลงไปเอง เป้าหมายที่เราเคยตั้งไว้กลายเป็นสิ่งที่ไร้คุณค่า ตัวอย่างคือ เจ้าชายสิทธัตถะเคยมองตำแหน่งจักรพรรดิว่าเป็นสิ่งชวนไขว่คว้า ต่อมาเมื่อทรง พิจารณาเห็นความไม่เที่ยงของชีวิต พระองค์ทรงมองไม่เห็นคุณค่าของความเป็น พระเจ้าจักรพรรดิอีกต่อไป เป้าหมายชีวิตเดิมได้พังทลายลง ความเอียนชีวิตได้ ครอบงำพระทัยของพระองค์ ดังนั้น จึงทรงหาเป้าหมายใหม่ให้กับชีวิตคือ “ทรงปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า” เป้าหมายชีวิตของคนธรรมดาอาจถูกทำลายได้ เพราะเห็นระบบสังคม ที่ฟอนเฟะหรือผู้นำที่ไม่เอาไหน ซึ่งทำให้คนอยู่ในสังคมอย่างหมดหวัง บางคนจึงทำตัว เป็นฮิปปี้ผู้สูบกัญชายาเสพติด บางคนหมดศรัทธาในพ่อแม่ของตัวเองก็หันเข้าหา ยาเสพติด เขามียาเสพติดไว้จุดประกายชีวิตชีวาในหัวใจ ผู้หวังดีต่อเขาอาจให้การ บำบัดทางกายจนเขาพ้นอิทธิพลของยาเสพติด แต่ใครจะรับประกันได้ว่าเขาไม่ หวนกลับไปหามันอีก เพราะนั่นเท่ากับฉุดเขาออกจากโลกฝันอันบรรเจิด เมื่อเขาเลิก ใช้ยาเสพติดแล้วชีวิตเขาอาจจะเซ็งมาก จนเขาต้องกลับไปหายาเสพติดอีก ดังนั้น เขาควรได้รับการบำบัดทางใจอย่างรีบด่วน ด้วยการหาเป้าหมายเป็นหลักยึดในชีวิต ของเขา คนเอียนชีวิตอีกประเภทหนึ่งคือคนผิดหวังอย่างแรง เพราะเป้าหมายชีวิต ถูกสาเหตุภายนอกทำลาย เช่น นักเรียนผู้ทุ่มเทกับการเรียนอย่างมากแต่ก็สอบตก อย่างพลิกล็อค นักธุรกิจผู้ประสบกับสภาพล้มละลายอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว นายกรัฐมนตรี ถูกคณะปฏิวัติจี้ให้สละเก้าอี้อย่างกระทันหัน คนเหล่านี้เป็นผู้ผิดหวังอย่างแรงจนเกือบ หมดอาลัยตายอยากในชีวิต มีสภาพเหมือนกับคนอกหัก คนผู้กำลังตกอยู่ในห้วงรักย่อมวาดวิมานในอากาศ เขาสู้ถากถางสร้าง อนาคตรอใครคนหนึ่ง หยาดเหงื่อแรงงานทุกหยดหยาดหลั่งแล้วเพื่อสร้างรังรัก สำหรับใครคนนั้น แต่แล้ววันที่ฟ้าไม่ปราณีก็มาถึง เมื่อรังรักถูกฟ้าผ่าเพราะใครคนนั้น ตีจากไป เขาหยุดการสร้างตัวทันที ถ้ากำลังเรียนก็เลิกเรียน ถ้ากำลังทำงานก็ทิ้งงาน เขาไม่รู้จะสร้างอนาคตต่อไปทำไมหรือเพื่อใคร เขาคงอยากหลับฝันถึงความหลัง ครั้งก่อนเก่าดีกว่าลืมตาตื่นมาพบชีวิตจริงที่เลื่อนลอย คนอกหักจึงมีทั้งอดีตอันขมขื่น และปัจจุบันที่สุดเซ็ง ความเอียนไม่ว่าจะเป็นของคนประเภทใด ล้วนเนื่องมาจากการพังทะลาย ของเป้าหมายในชีวิต ถ้าเราประสบกับความเอียนเช่นนี้จะทำอย่างไร ชีวิตอันหมด ที่หมาย มีสภาพไม่ผิดกับว่าวหลุดจากสายป่าน ดังนั้นต้องประคองตัวให้ดี อย่าให้ ความผิดหวังหรือความเอียนทำลายอนาคตหรือดับชีวิตของเรา ปลอบตัวเองด้วยคำ ของโบวีที่ว่า “แม้ทุกสิ่งทุกอย่างจะเสียไปแล้ว อนาคตก็ยังอยู่ และสถานการณ์ไม่ได้ เลวร้ายที่สุดอย่างที่เราคาดคิดในวันอารมณ์เสีย ทั้งสถานการณ์ก็ไม่ได้ดีที่สุดอย่างที่เรา คาดคิดในวันอารมณ์ดี” จากนั้นจึงสร้างเป้าหมายใหม่ให้กับชีวิตอย่างแช่มช้าแต่มั่นคง ข้อสำคัญจึงอยู่ที่ว่า เราไม่ปล่อยชีวิตให้ล่องลอยไปตามยถากรรม เพราะถ้าขืน ปล่อยไปเช่นนั้น สถานการณ์มีแต่จะเลวร้ายลงเรื่อย ๆ เราต้องรีบสร้างเป้าหมายใหม่ ของชีวิตมาทดแทนสิ่งที่พังทะลายไป เหมือนอย่างพระพุทธองค์ทรงเลือกโพธิบัลลังก์ แทนราชบัลลังก์ ส่วนมาก คนเราไม่กล้าเลือกแนวทางชีวิตใหม่อย่างที่พระพุทธองค์ ทรงกระทำ เรากลัวว่าทางใหม่จะเลวร้ายกว่าทางเก่าแล้วผิดหนักกว่าเก่า ความจริงนั้นเรามีเสรีภาพในการตัดสินใจเลือก ฌองปอล ชาตร์ ยืนยันว่า “มนุษย์ถูกสาปให้มีเสรีภาพ” ดังนั้น เราต้องใช้เสรีภาพในการเลือกแนวทางใหม่ ของชีวิต แม้ภายหลังการณ์จะปรากฏว่าเราเลือกทางผิดเราก็ไม่เสียใจ คนที่ลังเล ไม่ยอมตัดสินใจ เป็นคนน่าสงสาร เขากลัวความเอียนไม่รู้จบน้อยกว่าความรับผิดชอบ จากการตัดสินใจ เขามีลักษณะเหมือนคนผู้หลงทางกลางป่า แต่ไม่กล้าเลือกเดินไป ตามทางสายใดสายหนึ่ง เพราะกลัวจะไปพบทางตัน คนชนิดนี้จะติดอยู่ในป่าจนตาย คนที่ขาดเป้าหมายใหม่ให้กับตัวเองก็จะเซ็งจนตายเช่นกัน รวมความว่า ความเซ็งคืออารมณ์พันทางที่ผสมผสานระหว่างความ หงุดหงิด ความเบื่อ และความเอียน ความเซ็งมีถึงสามระดับ กล่าวคือ ผู้ที่มีความเซ็ง ขั้นธรรมดาเพราะไม่มีอะไรทำ ควรจับอะไรบางอย่างขึ้นมาทำแก้เซ็ง ผู้ที่เซ็งเพราะ ความเบื่อความจำเจ ก็ควรเติมเสน่ห์หรือใส่ผงชูรสลงในสิ่งจำเจนั้น ส่วนท่านที่เซ็ง ถึงขนาดเอียนชีวิตเพราะสูญเสียเป้าหมายของชีวิตกระทันหัน ก็ควรมองหา จุดประสงค์อันอื่นแล้วกล้าตัดสินใจเลือกทางใหม่ของชีวิต http://www.buddhadham.com/index.php?mo=3&art=250120 (http://www.buddhadham.com/index.php?mo=3&art=250120) หัวข้อ: Re: ปรัชญาแก้เซ็ง บทความยาวนิด นะคะ เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ พฤศจิกายน 02, 2010, 12:36:18 pm มาตัดริบบิ้นให้คุณรักหนอ
ปรกติชอบฟังเทศน์ของพระธรรมโกศาจารย์อยู่ไม่น้อย ท่านเทศน์อิงหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์ ฟังเพลินดี ขอยินดีในกุศลจิตของคุณรักหนอ นานๆมาที อย่าว่ากัน แอบไปสร้างบารมีมาครับ หัวข้อ: Re: ปรัชญาแก้เซ็ง บทความยาวนิด นะคะ เริ่มหัวข้อโดย: ประสิทธิ์ ที่ พฤศจิกายน 02, 2010, 09:47:38 pm กว่าจะอ่านจบ ใช้เวลาพอสมควรครับ
เป็นกำลังใจ ครับ เพราะกาำรได้อ่านบทความธรรมะ นั้น ผมฝึกอ่านให้เป็นนิสัยครับ เพราะเป็นการสร้าง ภูมิคุ้มกันจิืต ให้รู้เท่าทัน กิเลสครับ จักตามอ่านไปเรื่อย ๆ ครับ :25: :c017: |