สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ ตุลาคม 08, 2014, 09:56:58 am



หัวข้อ: ขันติธรรมทางศาสนา เอกภาพบนความแตกต่าง ๕ ศาสนา ในอาเซียน
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ตุลาคม 08, 2014, 09:56:58 am

(http://www.komchadluek.net/media/img/size_photo_slide/2014/10/06/6kbc588cbka6a69keedh8.jpg)

ขันติธรรมทางศาสนา เอกภาพบนความแตกต่าง ๕ ศาสนา ในอาเซียน
เรื่องและภาพเรื่อง/ภาพ สำราญ สมพงษ์

การประชุมผู้นำศาสนาเพื่อสันติภาพในประชาคมอาเซียน ครั้งที่ ๑ เรื่อง ขันติธรรมทางศาสนา ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๗ โดยมีผู้นำศาสนา ๕ ศาสนาจาก ๑๐ ประเทศในประชาคมอาเซียน ๘๐ คน รวมถึงคนไทยร่วมงานประมาณ ๕๐๐ คน ซึ่งจัดโดยมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ภายใต้การดำเนินการของโครงการปริญญาโทหลักสูตรสันติศึกษา มจร. โดยเริ่มอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๗ ที่ มจร.วังน้อย โดยมีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นประธาน

ในการนี้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ได้ให้คติเตือนใจโดยขอให้การประชุมครั้งนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแห่งประชาชน เพื่อสันติสุขแห่งประชาชาติ และเพื่อสามัคคีสุขแห่งอาเซียน อย่างไรก็ตามในสารสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ได้ให้ความหมายของ "ขันติธรรมทางศาสนา" หลายประการแต่ที่น่าสนใจน่าจะนำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรมคือความเป็นผู้มีใจกว้างทางศาสนา พร้อมที่จะยอมรับและสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับเพื่อนมนุษย์ผู้มีศาสนาและวัฒนธรรมแตกต่างกัน


(http://www.komchadluek.net/media/img/size1/2014/10/06/c7jjdak85ghbfj6ad6ka5.jpg)

ขณะที่สารนายอาศิศ พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี ก็ได้ระบุถึงขันติธรรมทางศาสนาในลักษณ์เดียวกันความว่า อิสลามเป็นหนึ่งศาสนาสากลที่มีสารเพื่อมวลมนุษยชาติ ส่งเสริมให้เกิดสันติภาพที่มั่นคงบนพื้นพิภพ เรียกร้องให้มนุษยชาติอยู่ร่วมกันด้วยความสันติ ขันติธรรม และฉันมิตร มิให้นำความแตกต่างทางเชื้อชาติ สีผิว ภาษาและลัทธิทางความเชื่อของบุคคลมาเป็นกำแพงกั้นในการอยู่ร่วมกัน จึงไม่เป็นการอันควรที่จะให้ความแตกต่างดังกล่าว เป็นบ่อเกิดหรือเหตุแห่งความขัดแย้งและความแตกแยกให้หมู่มนุษยชาติ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงของการเสวนาผู้นำทั้ง ๕ ศาสนามีความเห็นตรงกันว่า ไม่ควรนำศาสนามาเป็นเครื่องมือสร้างความขัดแย้ง อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ศึกษาศาสนาตนเอง แต่ต้องเคารพยอมรับเข้าใจศาสนาอื่นๆ ไม่ใช้ความรุนแรงทุกประการในทุกกรณี และไม่ให้การเมืองนำศาสนาไปใช้ในการ แสวงหาอำนาจหรือผลประโยชน์ ถึงอาเซียนจะแตกต่างกันในเรื่องของศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี แต่เราคือมนุษย์ร่วมโลกกัน อยู่ร่วมกันในความแตกต่าง หรือเรียกว่า เอกภาพบนความแตกต่าง


(http://www.komchadluek.net/media/img/size1/2014/10/06/eb9ghgaie6agchhb8dcbi.jpg)

การประชุมครั้งนี้ผู้นำทั้ง ๕ ศาสนาเห็นชอบในปฏิญญาที่ตกลงร่วมกัน ดังนี้ คือ ๑.ส่งเสริมขันติทางศาสนาตามประกาศของยูเนสโก ปี ๑๙๙๕ ๒.จะดำเนินการเสวนาต่อไปและเสริมสร้างเครือข่ายของผู้นำศาสนา ส่งเสริมกันและกัน ๓.เพื่อให้ประชาคมอาเซียนมีความรู้ในศาสนาของตนเองและศาสนา อื่นๆ ๔.เพื่อดำเนินแบบต่อเนื่องไม่เหน็ดเหนื่อยเพื่อสันติภาพ เข้าใจถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ๕.จะกระทำให้เกิดความคุ้นเคยระหว่างกันเพื่อความเป็นเอกภาพของผู้นำศาสนา และ ๖.เพื่อส่งเสริมการอยู่ร่วมกันด้วยความสามัคคี ไม่ให้ศาสนาตกเป็นเครื่องมือของนักการเมืองและสื่อมวลชน

งานนี้ปิดฉากลงในวันอาทิตย์ที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๗ โดยมีนายฐากูร ดิษฐอำนาจ ที่ปรึกษานายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ  รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน โดยกล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ว่ามีความสำคัญอย่างมากต่อประชาคมอาเซียน และจะได้ดำเนินต่อไปในโอกาสข้างหน้าตาม ปฏิญญาที่ได้ประกาศร่วมกันในครั้งนี้ รวมทั้งนำไปสู่การเพิ่มพูนความร่วมมือทางศาสนาระหว่างองค์กรศาสนาต่างๆ  ตลอดจนเป็นการส่งเสริมงานด้าน ศาสนาและการมีส่วนร่วมของทั้งองค์กรทางศาสนาและประชาชนในสังคมอาเซียน


(http://www.komchadluek.net/media/img/size1/2014/10/06/d9887ghegb687adajaeaj.jpg)


ไร้ขันติ ไร้สันติ

พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ผู้ช่วยอธิการบดี และหัวหน้าโครงการปริญญาโทหลักสูตรสันติศึกษา มจร. กล่าวว่า เมื่อไม่มีขันติ เราจะแสวงหาสันติได้อย่างไร และถ้าไม่มีสันติ เราจะสามารถอยู่ร่วมกันท่ามกลางความแตกต่างได้อย่างไร เมื่อผู้นำศาสนาแสวงหาช่องทางในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ บนฐานของการมีขันติ คำถามคือ ศาสนิกชนของแต่ละศาสนาจะใช้แบบอย่างดังกล่าวมาหล่อหลอมแนวคิด และวิถีแนวปฏิบัติได้อย่างไร รางวัลการตอบคำ ถามได้อย่างถูกต้อง คือ ความอยู่รอดของมนุษยชาติ

นอกจากนี้ในการประชุมโต๊ะกลมผู้นำศาสนาเพื่อสันติภาพในประชาอาเซียนเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ผู้นำศาสนาอิสลามจากประเทศมาเลเซียได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับหลักการของญิฮาดด้วยว่า ตามหลักศาสนาอิสลามที่แท้จริงแล้ว ญิฮาด หมายถึงการฆ่าสิ่งที่ไม่ดีออกจากจิตใจ หาได้หมายถึงการฆ่า หรือทำร้ายผู้อื่นไม่ ดังนั้นคนดีไม่ควรที่จะอยู่นิ่งเฉยออกมาชี้แจงหลักของญิฮาดที่ถูกต้องให้สาธารณชนได้ทราบ ขณะเดียวกันจากการได้เข้าไปสอบถามผู้นำศาสนาอิสาลามจากประเทศอื่นๆ ต่างก็มีความเห็นตรงกัน รวมถึงพระเมียนมาร์เกี่ยวกับพฤติกรรมของพระวีระธุพระหัวรุนแรงในประเทศเมียนมาร์และล่าสุดได้เดินทางไปที่ประเทศศรีลังกา หลายรูปก็ไม่เห็นด้วยกับการกระทำนั้นโดยเห็นว่าเป็นการกระทำส่วนบุคคล

"การประชุมครั้งนี้ยังเห็นด้วยในปฏิญญา ๖ ข้อที่จะร่วมมือกันทำหน้าที่สร้างสันติภาพต่อไป และมีกิจกรรมให้ผู้นำทางศาสนาเขียนระบายความรู้สึกบนแผ่นผ้า ส่วนใหญ่ได้เขียนเรียกร้องให้โลกมีเสรีภาพและจับมือกันสร้างสันติภาพโลก" พระมหาหรรษา กล่าว


(http://www.komchadluek.net/media/img/size1/2014/10/06/kc7fbiiah8bdj987efbbk.jpg)


ต่างศาสนาอยู่ร่วมกันสันติสุข

การประชุมครั้งนี้ในวันที่ ๒๕ กันยายน ผู้นำ ๕ ศาสนาในภูมิภาคประชาคมอาเซียน ได้เดินทางไปทัศนศึกษาในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และเยี่ยมชมชุมชนกุฎีจีน ประกอบด้วย วัด โบสถ์คริสต์ และมัสยิด
 
จุดแรกเข้าเยี่ยมชมคือศูนย์ท่องเที่ยวพระนครศรีอยุธยาตามด้วยอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา รวมถึงวัดพระมหาธาตุที่มีเศียรพระพุทธรูปฝังอยู่ในต้นไม้ โบสถ์คริสต์ยอเซฟที่สวยงามวิจิตรได้รับความสนใจจากผู้นำศาสนาเป็นอย่างมาก และมัสยิดตะเกียโยคิณราชมุสลิมจินดาสยาม ซึ่งมีการจำลองโบสถ์ตามลักษณะสถาปัตยกรรมของโบสถ์พุทธทั่วไปเป็นแท่นที่ปราศรัย เพราะมัสยิดแห่งนี้เดิมเคยเป็นวัดมาก่อน ตามด้วยวัดพนันเชิงที่มีฝาผนัง ศิลปะเปอร์เซีย โดยเป็นวัดของพุทธศาสนามหายานมาก่อน ภายหลังกลายสภาพเป็นวัดพุทธเถรวาท ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังมีพระมหายานและมีธงทิวประดับ บริเวณโบสถ์
 
ทั้งนี้ มัคคุเทศก์กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้คนอยุธยาอยู่ร่วมกันได้ในสภาพเช่นนี้อย่างมีความสุข คือ "ความเป็นอยุธยา" โดยที่คนอยุธยาต่างศาสนา ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันตั้งแต่เป็นนักเรียนและวิถีชีวิตทั่วไป โดยจะไม่มีการพูดกระทบกระทั่งกัน และมีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันมาตลอด

 
(http://www.komchadluek.net/media/img/size1/2014/10/06/78if999i9d998b7dh7ka8.jpg)

ขณะที่มงซินญอร์แอนดรูว์วิษณุ ธัญญอนันต์ ผู้แทนศาสนาคริสต์ กล่าวว่า ความจริงแล้วคนอยุธยาอยู่ร่วมกันบนสภาพที่หลากหลายทางความเชื่อมานานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาและมีความเป็นสากล หรืออินเตอร์มานานแล้ว พื้นที่ต่างๆ ควรจะเป็นเอาเป็นแบบอย่างขยายพื้นที่ไปให้มาก ทั้งนี้ คงเป็นเพราะวิสัยทัศน์ของผู้นำขณะนั้นคือกษัตริย์สมัยนั้นมีความใจกว้างให้อิสระทางความคิดแล้วคนระดับล่างปฏิบัติตาม

เช่นเดียวกันนายบุญเลิศ ตานีเทพ กรรมการอิสลามมัสยิดตะเกียโยคิณราชมุสลิมจินดาสยาม กล่าวว่า คนย่านนี้ต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไปมาหาสู่กันตลอด โดยไม่ได้คำนึงว่าจะนับถือศาสนาอะไร ทุกคนที่มาที่มัสยิดแห่งนี้พร้อมให้การต้อนรับ


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20141007/193534.html (http://www.komchadluek.net/detail/20141007/193534.html)