สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ ตุลาคม 27, 2014, 11:25:34 am



หัวข้อ: ธรรมนัว : ที่พึ่งทางใจ
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ตุลาคม 27, 2014, 11:25:34 am

(http://www.matichon.co.th/news-photo/matichon/2014/10/bud01261057p1.jpg)

ธรรมนัว : ที่พึ่งทางใจ

     พ่อของเพื่อนผมกำลังป่วยหนัก ตลอดปีนี้เธอต้องบินกลับไปกลับมา ระหว่างสหรัฐอเมริกากับไทยเพื่อมาดูแลพ่ออยู่บ่อยครั้ง เพื่อนคนนี้เธอเป็นชาวพุทธ และเคยทำงานเป็นคณะกรรมการขององค์กรพุทธศาสนาเพื่อสังคมในสหรัฐอเมริกา สำหรับเธอ พุทธศาสนาคือหนทางการฝึกใจ สัมพันธ์กับความทุกข์ทั้งทางปัจเจกและทางสังคมอย่างตื่นรู้กล้าหาญ

     ขณะที่คนในครอบครัวของเธอกำลังเผชิญกับความเจ็บป่วยและความตาย เธอมองว่านี่คือประสบการณ์ครั้งสำคัญที่ต้องเรียนรู้และผ่านไปให้ได้ ทุกอารมณ์ ทุกความรู้สึกที่เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นความวิตกกังวล ความเหนื่อยล้า ความหวังและความกลัว เธอมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกวางใจและทำความเข้าใจชีวิตในช่วงเวลายากลำบาก ระหว่างนั้น แม่ของเธอที่ต้องนั่งเฝ้าพ่ออยู่หน้าห้องไอซียูทุกวัน ดูจะสนใจอ่านหนังสือธรรมะของพระอาจารย์ท่านหนึ่งเป็นพิเศษ ด้วยความที่เธอเป็นกรรมการขององค์กรพุทธศาสนานานาชาติและเคยทำงานร่วมกันกับพระอาจารย์ท่านนั้นมาก่อน ทั้งสองจึงคุ้นเคยกันดี เมื่อทราบข่าว พระอาจารย์มีแก่ใจส่งหนังสือปึกใหญ่มาให้ อีกทั้งยังฝากข้อความถึงเธอด้วยว่า


     ans1 ans1 ans1 ans1

    "หวังว่าเราคงพอเป็นที่พึ่งทางใจให้แก่คุณได้บ้างในช่วงเวลาเช่นนี้"

    สมัยประถม ผมเรียนหนังสือในโรงเรียนคริสต์แห่งหนึ่งในต่างจังหวัด ทุกปีจะมีงานเฉลิมฉลองนักบุญคนสำคัญของโรงเรียน อาจารย์จะเล่าเรื่องราวชีวิตและคำสอนของท่านให้พวกเราฟัง ที่ผมสังเกตคือ ความเป็นนักบุญของคริสต์มักจบลงที่การเสียสละและความตายเสมอๆ คำสอนที่ผมจำได้คือ ไม่ว่าการมีชีวิตอยู่ อุปสรรค หรือความตาย สามารถแสดงออกซึ่งความรักและพรจากพระผู้เป็นเจ้า แม้จะไม่รู้เรื่องอะไรมาก เวลาเดินผ่านรูปปั้นของนักบุญทั้งสอง ผมมักหยุดแสดงความเคารพท่านอยู่เสมอๆ มีอยู่ปีหนึ่งในงานตอบคำถามชีวประวัตินักบุญ ผมได้รางวัลเป็นรูปเคารพความสูงประมาณขวดเครื่องดื่มชูกำลัง เวลาปิดไฟมันสามารถเรืองแสงสีเขียวอ่อนในความมืดได้ ผมดีใจมาก และเริ่มสื่อสารพูดคุยกับท่านในบางโอกาส ก่อนไปสอบ ผมยังขอให้ท่านเป็นกำลังใจให้ผมด้วย

    มองย้อนกลับไปในวัยเด็กย่างเข้าสู่วัยรุ่น ผมรู้สึกว่าธรรมชาติการเติบโตจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ คือ การที่คนเราเริ่มมีจินตนาการเป็นของตัวเอง คิดเองเป็น ลองผิดลองถูกด้วยตัวเองได้ จากเดิมที่อะไรๆ ก็เอาแต่ร้องหาแม่หรือฟ้องครู เกาะกลุ่มเพราะกลัวไม่เหมือนคนอื่นหรือโดนเพื่อนล้อ ความรู้สึกอยากลองเผชิญและคลี่คลายปัญหาด้วยตัวเองเริ่มเกิดขึ้นเองอย่างเป็นธรรมชาติ แม้พ่อแม่จะดีกับเรา ให้ความมั่นคงปลอดภัยแก่เรา หรือตามใจเรามากแค่ไหน ถึงจุดหนึ่งเราก็เลือกที่จะผละจากอ้อมกอดของพ่อแม่ไปสู่โลกที่กว้างใหญ่กว่า เพื่อนสนิทเข้ามาแทนที่ คนรักเข้ามาแทนที่ การงาน ความฝัน... เราเลือกสัมพันธ์กับบางสิ่งบางอย่างที่ตรงกับใจเรา จนในที่สุดเราก็เริ่มตระหนักว่าคนเราต่างมีใจของตัวเองเท่านั้นที่เป็นที่พึ่ง


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/v/t1.0-9/543795_415227258558734_2012372149_n.jpg?oh=60ad43135799769ea3168bc7e2df480a&oe=54ECF811&__gda__=1424270407_47098dd44b28f0443d7321d4319a630a)

    การมีใจตัวเองเป็นที่พึ่ง คือการเติบโตทางจิตวิญญาณขั้นสำคัญ ไม่ต่างจากทารกที่เดินได้หรือเริ่มพูด ดังที่ เชอเกียม ตรุงปะ ธรรมาจารย์ชาวทิเบตเปรียบการมีใจตัวเองเป็นที่พึ่งว่าไม่ต่างอะไรกับ การตัดสายสะดือครั้งที่สอง การจะวางใจตัวเองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
    จุดเริ่มต้นมักปรากฏในรูปของความแปลกแยก คำถาม จุดเปลี่ยน จุดแตกหัก หรือภาวะขัดแย้ง ผลักดันให้เราออกเดินทางจากความเคยชินเดิมๆ อันสะดวกสบาย ในแง่มุมนี้ ธรรมชาติของการบวชหรือการเดินทางภายในเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ สะท้อนเส้นทางอันโดดเดี่ยวของปัจเจกบุคคลในการค้นพบศักยภาพ คุณค่า และแรงบันดาลใจในแบบของตน

    การไว้วางใจ หรือ "trust" ในภาษาอังกฤษ คือเป้าหมายสูงสุดในหลายศาสนา เช่นในศาสนาคริสต์ การตระหนักถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้านำไปสู่การไว้วางใจชีวิตอย่างไม่มีเงื่อนไข เช่นเดียวกับในศาสนาพุทธ ที่การวางใจถือเป็นหัวใจคำสอนเช่นกัน (แม้จะไม่ค่อยถูกพูดถึงบ่อยนักก็ตาม) คุณลักษณะของใจอันเปิดกว้างถูกให้คำอธิบายไว้ในคำสอนเรื่องพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตาคือ ความรัก กรุณาคือความปรารถนาดี มุทิตาคือความชื่นชมยินดี และอุเบกขาคือ "ความไว้วางใจ"


(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xaf1/v/t1.0-9/33960_305762482838546_266469825_n.jpg?oh=d18e327ee3c9557f72af7f189a1498cd&oe=54F3BFA7&__gda__=1424957376_467c8be9ced336bbd8c6e49cceb248e1)

    เรามักเข้าใจผิดว่า อุเบกขา คือ การวางเฉย ทำใจให้เป็นกลางๆ ไม่บวกไม่ลบ แต่ในความเป็นจริง อุเบกขามีพลังยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก จะมีอะไรที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าการใช้ชีวิตด้วยความไว้วางใจ การวางใจตัวเองนำไปสู่การวางใจคนอื่น ขยายกว้างไปสู่ความไว้วางใจในความเป็นมนุษย์ จนใจมีกำลังมากพอที่จะกลายเป็นรากฐานมนุษยนิยมของสังคมประชาธิปไตย สังคมแห่งภราดรภาพซึ่งไม่ได้หมายถึงสังคมที่ปราศจากปัญหา ทว่าปัญหาไม่ถูกมองว่าเป็นเรื่องใหญ่ในพื้นที่แห่งการเคารพและไว้วางใจต่อกัน

    ตรงกันข้ามกับการมีใจตัวเองเป็นที่พึ่งซึ่งต้องอาศัยประสบการณ์และการฝึกฝน อีกหนทางหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยม ก็คือการแสวงหาที่พึ่งทางใจจากภายนอก อาจเป็นอำนาจรัฐ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ปืน รถถัง ต้นไม้ หรืออะไรสักอย่างที่ทำให้รู้สึกมั่นใจและวางใจได้ การมีเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจทำให้เรารู้สึกมีกำลังใจ ยิ้มได้ ไม่เกรงกลัว... หากมีศูนย์รวมใจเดียวกัน เราไม่รู้สึกโดดเดี่ยวแปลกแยก สังคมจะรู้รักสามัคคีและมีความสุข การรวมใจในสังคมไทยจึงกลายเป็นศีลธรรมแห่งการยึดมั่นถือมั่นไปโดยปริยาย ไม่ว่าจะเป็นลัทธิชาตินิยม ลัทธิความเชื่อหนึ่งเดียวสูงสุด หรือลัทธิยึดมั่นตัวบุคคลอย่างสุดโต่ง ยิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจมาก ใจคนก็ยิ่งอ่อนแอ ยิ่งคับแคบ หยาบกระด้างต่อกัน และไม่ไว้วางใจกันมากขึ้น


(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xaf1/v/t1.0-9/574812_305762496171878_1474389326_n.jpg?oh=4071d40d1cf669742f909ca77c14b617&oe=54ABD4AA&__gda__=1425166715_d4a24b30ac6038a4346b3f4ef0cd6a3f)

    ความไว้วางใจคือ หัวใจของสังคมที่มีวุฒิภาวะ เมื่อตระหนักว่าคนเราเท่ากัน ไม่มีใครเป็นที่พึ่งให้แก่ใครได้โดยสมบูรณ์ สังคมมีพลวัต และคนในสังคมมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นได้ การเคารพสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคตามระบอบประชาธิปไตยจะเป็นรากฐานของสังคมแห่งการไว้วางใจ การเคารพต่อความแตกต่างหลากหลาย มิตรภาพของการเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย และการมีใจของตัวเองเป็นที่พึ่ง

ที่มา : คอลัมน์ ธรรมนัว มติชนรายวัน โดย วิจักขณ์ พานิช
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1414304370 (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1414304370)