หัวข้อ: นิพพานเหมือนยอดเขา ทุกคนต้องเดินขึ้นด้วยสองเท้า หากไปทีละก้าว ก็จะต้องถึงสักวัน เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ ตุลาคม 27, 2014, 12:10:15 pm (https://scontent-b-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-xpa1/v/t1.0-9/1555522_721345871280203_1510567937676620897_n.jpg?oh=9a48242e6a4fc694e614150c8ae69827&oe=54E26E6B)
"นิพพาน(ผลในพุทธศาสนานี้) เหมือนเป้าหมาย (การกำหนด) ที่อยู่บนยอดเขา(ระหว่างที่ขึ้น คือ ความทุกข์กาย แต่ไม่ทุกข์ใจ) ทุกคน(สัตว์ทั้งหลายที่มีปัญญา) ต้องเดิน(ตื่นแล้วด้วยความเป็นพุทธะ ) ขึ้นด้วยกำลัง(ศรัทธา+อุตสาหะ)สองเท้า(กาย+ใจ) หากไปทีละก้าว(กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ) ก็จะต้องถึงสักวัน(สัทธรรม 9 มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1)" ข้อความส่วนหนึ่ง จากหนังสือ เพียงหยดหนึ่งแห่งพระธรรม จากบันทึกการภาวนา ของ ธัมมะวังโส หัวข้อ: Re: นิพพานเหมือนยอดเขา ทุกคนต้องเดินขึ้นด้วยสองเท้า หากไปทีละก้าว ก็จะต้องถึงสักวัน เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ ตุลาคม 27, 2014, 12:34:31 pm ด้วยสำนึกใน ครูที่บอกและสอนกรรมฐาน
" ปัญญาวุฑฒิ กะเรเต เต ทินโนวาเท นะมามิหังฯ" วันนี้ คงต้องมากล่าวให้กำลังใจ กับผู้ที่กำลังเสียกำลังใจ และ กำลังขาดความมั่นใจในตนเอง เพื่อภาระกิจของตนเอง หลายครั้งที่ฉันเอง ก็ท้อถอย ไม่ใช่ว่าเป็นครูอาจารย์แล้วจะไม่ท้อถอย มีหลายครั้งที่ฉันเอง นั่ง เดิน ยืน สลับกันไป โดยไม่นอน ติดต่อกัน 3 วัน 3 คืน เพียงเพื่อกระทำการภาวนา เพื่อ อริยะผล แต่ ถึงแม้ฉันจะทุ่มเทแบบนี้ จนกายฉัน ไม่ปกติ และทุ่มสุดตัว จนอวัยวะบางอย่าง เริ่มจะใช้งานไม่ได้ แม้กระนั้น อริยะผลก็ไม่ปรากฏ ให้ฉันเลย ฉันนึกน้อยใจในวาสนา ของตนเอง ที่อุตส่าห์บำเพ็ญเพียร สู้ขนาดนี้ แล้ว ก็ยังไม่ปรากฏผลสำเร็จ อย่างที่คิดไว้ ตั้งใจไว้ จนฉันต้องหยุด และหยุด นานเป็นเวลา เป็นวันสองวัน ในขณะนั้นจิตฉันก็ตกอยู่ภายใต้ ความหดหู่ สิ้นหวัง หมดกำลังใจ เมื่อเป็นเช่นนั้น ฉันก็คิดไว้ในใจว่า ชาตินี้คงไม่มีทางเข้าถึง อริยะมรรค และ อริยะผล ได้เสียแล้ว คงเหลือ แต่ศรัทธาเป็นกำลัง ที่จะตั้งอยู่ในการภาวนาเท่านั้น แน่ ๆ ความคิดของฉันพลันแล่นไป อย่างนี้ ตลอดวัน ตลอดคืน ทั้งสองวัน ครูของฉัน ท่านทราบความคิดของฉัน ดังนี้ ท่านจึงมากล่าว ประโยคนี้ เตือนใจฉัน "นิพพานเหมือนยอดเขา ทุกคนต้องเดินขึ้นด้วยสองเท้า หากไปทีละก้าว ก็จะต้องถึงสักวัน" ครูฉันไม่ได้ อธิบายข้อความเพิ่มเติมเลยในขณะนั้น แต่พอฉันรับฟังในขณะนั้น พลันจิตก็แตกสังขารธรรม ประมวลคำมากมาย เข้าสู่ สติ สัมปชัญญะของฉันที่พรั่งพรู ด้วยอรรถะ และความหมาย ขณะนั้น พลันแล่นปรากฏเป็นข้อความแห่งธรรม ที่บอกใบ้ ด้วย ชั้นเชิงแห่งธรรมเป็นลำดับแห่งธรรม หลังจากนั้น ฉันจึงตั้งสติ สัมปชัญญะ ปล่อยวางความคิดทั้งหลายลง ปล่อยวางเวลาลง ปล่อยวางนิพพานลง ปล่อยวาง อริยะมรรคผลลง ปล่อยวาง อริยะมรรคลง ปล่อยวางสังขตธรรมทั้งหลาย จนในขณะนั้นไม่มีอะไรที่ฉันไม่ปล่อยวาง แม้กายฉันเอง ก็ปล่อยวาง เวทนาที่เกิดขึ้นก็ปล่อยวาง สัญญาที่เกิดขึ้นก็ปล่อยวาง วิญญาณการเข้าไปกระทบก็ปล่อยวาง ทุกอย่างที่ปรากฏในขณะนั้นเป็นเพียงความว่างเปล่า และ ว่างเปล่า ไม่มีความหมาย ไม่มีสิ่งใด ๆ ไม่มีสิ่งใดให้ยึดถือ ไม่มีกาลเวลา ทุกอย่างเป็นดังกลับความมืด และดั่งกับแสงสว่างในตัว ในขณะนั้น สติ สัมปชัญญะของฉันรับรู้แต่เพียงว่า ว่างเปล่า ว่างเปล่า ว่างเปล่า ว่าง เวิ้งว้าง และว่างเปล่า หาที่สุด หาประมาณมิได้ จนผ่านไปด้วยค่าวัดใด ๆ จากเวลาไม่ได้ เพราะความว่างเปล่าที่เกิดขึ้น สิ่งกระทบเหมือนทะลุกลวง กาลเวลาขณะนั้น เหมือนไม่มี จนผ่านไป ๆ ๆๆๆ และฉันก็เริ่มรู้ตัว จาก ข้างใน คือ ถึงจะว่างเปล่า แต่มีสิ่งหนึ่งที่รู้ เหมือนว่างเปล่า คือตัวฉัน และฉันก็คือว่างเปล่า นั่นเอง วิชากรรมฐาน ทีครูมอบให้ พลันผุดขึ้นในขั้นตอนขณะนั้นขึ้นมาว่า ศรัทธา คือ ความเชื่อในพระกรรมฐาน ว่า ผล ของพระกรรมฐาน มีจริง ความเชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มีจริง ความเชื่อในการยุติเวียนว่ายตายเกิด มีจริง เมื่อศรัทธาพลันแล่นอย่างนี้ วิชากรรมฐานก็ผุดขึ้นเป็นลำดับ แสงสว่าง ที่ฉันไม่เคยเห็นมาแต่ก่อน ก็ปรากฏขึ้น ระยิบระยับ ดุจดวงดาวนับร้อย นับพัน นับหมื่น ฉันเห็นก้อนแสงกลม ๆ แตกตัวออกมาเป็นแสง อีกก้อน และอีกก้อน มากมาย จนมากระทบกับแสงที่เป็นเสมือนตัวฉัน และฉันก็เป็นเสมือนแสงนั้น ขณะนั้นความว่างเปล่าเปลี่ยนเป็นสีขาวทั้งหมด และเริ่มมีภาพที่ปรากฏ ขึ้นมากระทบมากมาย จนฉันจำไม่หวาดไหว เกิดขึ้นเร็วมาก จนฉันทำได้แต่เพียงรับทราบและมอง คำตอบใด ๆ ก็ให้ไม่ได้ เพราะเหมือนรู้และก็ไม่รู้ เหมือนเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ เพราะสื่อนั้นมีเพียงแค่เห็นรับทราบ เท่านั้น และขณะนั้น รูปทั้งปวง วิ่งออกไปพุ่งออกไป เหนือฟ้า จนเป็นภาพมองกลับมาที่โลก และก็ยังพุ่งออกไป พุ่งไปยังดวงดาว พุ่งออกไป มันเร็วมาก .........( เอาเท่านี้ก็แล้วกัน เพราะเป็นข้อความที่แสดงถึงสภาวะที่ปรากฏในใจ แบบฉับพลัน เป็นผลที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากในพระกรรมฐาน ) ข้อความส่วนหนึ่ง จากหนังสือเพียงหยดหนึ่งแห่งพระธรรม บันทึกการภาวนา ของ ธัมมะวังโส หัวข้อ: Re: นิพพานเหมือนยอดเขา ทุกคนต้องเดินขึ้นด้วยสองเท้า หากไปทีละก้าว ก็จะต้องถึงสักวัน เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ ตุลาคม 27, 2014, 12:55:52 pm อาจจะมีหลายครั้งที่เราท้อแท้ เพราะภาวนา ไม่สำเร็จ
และหลายครั้งที่เราภาวนาไปแล้ว ผลภาวนา ไม่เป็นดั่งใจ แต่ทุกครั้งที่ภาวนา ก็อย่าลืมพระธรรม ว่า ความปรารถนา สิ่งใด ไม่ได้ สิ่งนั้น ก็เป็นความทุกข์ ความปรารถนา นิพพาน และไม่ได้ นิพพาน ก็เป็นความทุกข์ ของนักภาวนาเช่นกัน ความทุกข์นี้ เป็นที่รู้ตัวดี ของผู้ปฏิบัติ คือ รู้ตัวว่า ถ้า อริยะมรรค อริยะผล ไม่ปรากฏ การเวียนว่าย ตายเกิด ในสังสารวัฏฏ์ นี้ ของกายใจ นี้ ก็ยังคงมีต่อไป การเวียนว่าย ตายเกิด มีมากลับคำว่า ภาระ คือ การแบกของหนัก ทุกครั้งที่เกิดขึ้นมาใหม่ ก็คือ เร่ิ่มต้นใหม่ เริ่มต้นจากศูนย์ คือ ไม่มีความเข้าใจ ไปสู่ความเข้าใจ หรือ หลายชาติที่ผ่านมา ก็คือ ความไม่เข้าใจ ไปสู่ ความไม่เข้าใจ ก็มี บางครั้งชาติที่พลาดพลั้ง ก็เกิดเป็นสัตว์ เป็นเปตร เป็นเทวา เป็นอสูร เป็นยักษ์ เป็นพรหม เป็นมาร แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร ก็มี ภาระ คือการแบกของหนัก ทุกครั้ง ไม่มีชาติไหน ที่ไม่แบกของหนัก คือ ภาระ ภาระ คือ สิ่งที่มีอยู่คู่กับการเกิด จนกว่า จะตาย และ ภาระ นี้ก็เป็นเครื่องบังคับ ให้ผู้ที่สวมบทบาท นั้น ทำ กิจแห่งภาระ ตามสภาวะนั้นด้วย ดังนั้น ภาระ ที่มีกิจเป็นกุศล ก็ปรากฏมี ผลแห่งกิจนั้น ก็ส่งผลให้มีบทบาท แตกต่างไป ข้อความนี้ ปรากฏได้ เพราะไม่ใช่อยู่ในระหว่าง พุทธันดร แต่อยู่ ในระหว่าง ที่มีพระพุทธศาสนา ข้อความแห่ง การตื่นรู้ จึงเป็นอุปนิสัย แรก ของ พุทธสาวก ที่ ต้องการ รู้ตามพระพุทธเจ้า ต่อไป การก้าวเดินใน อริยะอัฏฐังคิกัง นี้ ยังเป็นไปได้ เพราะ ตราบใดที่ยังมีผู้เดินตาม อริยะมรรค ตราบนั้นโลกนี้จักไม่ว่างจาก พระอรหันต์ เลย เจริญธรรม / เจริญพร หัวข้อ: Re: นิพพานเหมือนยอดเขา ทุกคนต้องเดินขึ้นด้วยสองเท้า หากไปทีละก้าว ก็จะต้องถึงสักวัน เริ่มหัวข้อโดย: Roj khonkaen ที่ ตุลาคม 27, 2014, 01:10:39 pm st11 st12 st12 thk56
:25: :25: :25: หัวข้อ: Re: นิพพานเหมือนยอดเขา ทุกคนต้องเดินขึ้นด้วยสองเท้า หากไปทีละก้าว ก็จะต้องถึงสักวัน เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ ตุลาคม 27, 2014, 01:17:47 pm กาโล ฆสติ ภูตานิ สพฺพาเนว สหตฺตนา.
อ่านว่า.. (กาโล ฆะสะติ ภูตานิ สัพพาเนวะ สะหัตตะนา) แปลว่า.. "กาลเวลาย่อมกินสรรพสัตว์กับทั้งตัวมันเอง" (https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpa1/v/t1.0-9/10603499_637120859737695_9080063240156494835_n.jpg?oh=3954d4d5ef2cc43294cde165414ad60b&oe=54AEDBB5&__gda__=1424338189_774d1ff568efd4d3504c07fc7b7c328b) ที่นำข้อความตอนนี้มาให้อ่าน ก็เพราะอยากให้กำลังใจแก่ หลาย ๆ ท่านที่ หมดกำลังใจ หรือดูเหมือนจะสิ้นหวังในการภาวนา ฉันจึงนำข้อความจากบันทึก ซึ่งส่วนนี้เคยคิดไว้ว่า จะไม่เผยแผ่ แต่เห็นว่าขอ้ความช่วงแรกมีประโยชน์ในด้านการให้กำลังใจ แต่ในช่วงกลาง ๆ และท้าย เป็นช่วงแสดงสภาวะในกรรมฐาน ที่เรียกว่า ปฏิภาคนิมิต นั้นมากจึงลงไว้นิดเดียวเท่านั้น ข้อความสำคัญก็คือ การภาวนา ให้สำเร็จนั้น ต้องข้ามกาลเวลาให้ได้ เพราะหากมีกาลเวลาอยู่ ก็มีเครื่องวัดอยู่ เมื่อมีเครื่องวัดอยู่ มันก็มีได้ มีเสีย ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุด เมื่อเราภาวนา จักต้องปล่อยวางกาลเวลา เครื่องวัดทั้งหลายลงให้ได้ ถ้าท่านปล่อยวาง ได้จะมีโอกาสมากขึ้น หัวข้อ: Re: นิพพานเหมือนยอดเขา ทุกคนต้องเดินขึ้นด้วยสองเท้า หากไปทีละก้าว ก็จะต้องถึงสักวัน เริ่มหัวข้อโดย: PRAMOTE(aaaa) ที่ ตุลาคม 27, 2014, 02:16:06 pm ขออนุโมทนาสาธุ
หัวข้อ: Re: นิพพานเหมือนยอดเขา ทุกคนต้องเดินขึ้นด้วยสองเท้า หากไปทีละก้าว ก็จะต้องถึงสักวัน เริ่มหัวข้อโดย: kobyamkala ที่ ตุลาคม 27, 2014, 05:09:35 pm อันนี้อ่านแล้ว น้ำตาไหลย้อยเลยคะ สงสัย จะปีติ ที่เห็นข้อความคะ
st11 st12 st12 หัวข้อ: Re: นิพพานเหมือนยอดเขา ทุกคนต้องเดินขึ้นด้วยสองเท้า หากไปทีละก้าว ก็จะต้องถึงสักวัน เริ่มหัวข้อโดย: บุญเอก ที่ ตุลาคม 28, 2014, 12:56:55 am st11 st12
หัวข้อ: Re: นิพพานเหมือนยอดเขา ทุกคนต้องเดินขึ้นด้วยสองเท้า หากไปทีละก้าว ก็จะต้องถึงสักวัน เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ ตุลาคม 30, 2014, 03:17:02 am st11 st12 st12
|