สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ พฤศจิกายน 30, 2014, 09:31:24 am



หัวข้อ: สมาธิชาวบ้าน : ภูมิวิปัสสนา 2.
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ พฤศจิกายน 30, 2014, 09:31:24 am

(https://scontent-a-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-xaf1/v/t1.0-9/545487_370619129686214_1249155568_n.jpg?oh=0f294d8ea6a42b3af216823b1c652367&oe=5504AFF0)

สมาธิชาวบ้าน : ภูมิวิปัสสนา 2.

   ผู้ที่เริ่มต้นอบรมจิตแต่ละคนมีความถนัดในการให้จิตเป็นเครื่องรู้ของจิตไปอยู่กับสิ่งใดก็สามารถทำวิธีนั้น ถ้าไม่สามารถกำหนดการพรากจิตออกจากความคิดได้ต้องอาศัยอุบายให้จิตไปเกาะไว้ก่อน วิธีที่นิยมปฏิบัติคืออยู่กับลมหายใจ หายใจเข้ารู้ หายใจออกรู้ อย่าให้จิตหลงไปคิด แรกๆ จะทำได้ยาก  เพราะจิตยังไม่รู้จักสมาธิ ต้องบังคับไปอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นอุบายกรรมฐาน เมื่อจิตตั้งอยู่ได้เสร็จย่อมทิ้งความคิดห่างความคิดออกมา เมื่อพ้นอำนาจความคิดเดิมเกิดความคิดใหม่ขึ้นมา แต่ว่าเป็นความคิดที่ไม่มีอำนาจความคิดเดิมครอบงำ

    ผู้ปฏิบัติสามารถฝึกให้เข้าถึงปัญญารู้แจ้งได้ทุกคน เพียงแต่ตอนแรกที่เรายังสลัดความคิดไม่ออก จำต้องอาศัยทำอุบายกรรมฐานซ้ำๆ บางครั้งบางคนที่ได้อุบายใหม่ๆ หรือบางครั้งต้องทำติดต่อกันหลายวันให้จิตรับอุบายกรรมฐานนั้น เมื่อจิตมีเครื่องรู้จะกำหนดจิตให้เป็นสมาธิได้ จิตจะพรากจากความคิดด้วยการอบรมใช้อุบายกรรมฐานต่างๆ นี้ สังเกตได้ว่าจะมีลักษณะกายเบา จิตเบา

    st12 st12 st12 st12 st12

    กายเป็นธาตุทั้งสี่ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ อันเป็นธาตุหยาบ จะรู้สึกเบากาย ที่เคยรู้สึกมีความหนักจะรู้สึกเหมือนตัวเบา ลอย พอกายเบา จิตจะเบาไปด้วย จนกระทั่งกายหาไม่เจอ กายหายไป แต่จิตรู้ เพราะกายเบามากจนแทบหาไม่เจอ ลมหายใจเบาจนหาลมหายใจไม่เจอ ขณะที่กายหาไม่เจอ ลมหายใจหาไม่เจอ จิตจะกลับมีอาการสว่างมากขึ้น แต่กายหายไป ลมหายใจหายไป ความคิดหายไป แต่รู้มันสว่างขึ้น จริงๆ อาการจิตเป็นอาการจำลองความเป็นไป

    เช่น จิตมีอาการเบา จิตมีอาการสว่าง อาการของจิตอย่างนี้ จิตไม่ได้รู้ แต่มันมีสิ่งหนึ่งที่รู้ สิ่งนี้เป็นธาตุรู้ ธาตุรู้ไม่ได้อยู่ในจิต แต่อยู่ข้างนอกออกมาดูสิ่งที่ปรากฏ มีสิ่งให้รู้ มีสิ่งที่รู้และสิ่งที่ถูกรู้ แต่ธาตุรู้เป็นตัวที่ดูปรากฏการณ์ 2 อย่างนี้ เช่น จิตมีอาการว่าง อาการสงบสว่าง จิตเป็นตัวแสดงอาการ แต่ตัวรู้ไม่ได้ไปแสดงอาการเพียงเป็นตัวรู้เฉยๆ สิ่งนี้เป็นอาการซับซ้อนขึ้น เมื่อปฏิบัติฝึกฝนสม่ำเสมอไปแล้วจะเข้าใจ


(https://scontent-b-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-xfa1/v/t1.0-9/166538_320001964747931_927381069_n.jpg?oh=4e777b5803f0add61d44ae3442aa74f0&oe=551EA3E0)

    เมื่อสมาธิที่มีปัญญาจิตย่อมไม่ต้องเถียงกันเรื่องวิธีการทำสมาธิ ว่าวิธีไหนวิเศษหรือดีกว่า เพราะเมื่อเข้าใจวิธีเข้าสู่สมาธิ เราจะได้เรียนรู้อย่างอื่นต่อ เมื่อฝึกฝนจิตคิดให้น้อยลงจนกระทั่งหยุดคิดเหมือนเหยียบเบรก เหยียบสนิท มันว่างตอนที่ความคิดมันหยุดสนิท ความคิดไม่ได้หายไป แต่ความคิดมันไม่เคลื่อนไหว จิตจะว่างทันที ว่างจากความคิด เพราะความคิดมันไม่ไหลต่อ เห็นจิตตัวเองคราวนี้ จิตมีปีติ มีความสุข มีความสว่าง มีอะไรต่างๆ อาการที่มันเกิดกับจิตดวงนี้ ว่าอะไรที่ทำให้มันรู้ จิตว่าง จิตดีใจ เสียใจ เป็นขั้นที่ลึกลงไปอีกชั้นหนึ่ง คือสิ่งที่เราต้องเข้าไปถึงตอนที่จิตเบาลอย ในที่สุดเมื่อเจอแล้วเข้าใจว่า คือตัวรู้ว่าคืออะไร ให้รู้ว่าจิตที่เราพูดถึงนั้นเป็นแค่อาการของจิต จะเบา จะลอย เห็นภาพนิมิต จะดีใจ เสียใจ มันเป็นอย่างนี้ เมื่อรู้ก็จัดการอาการรู้นั้นเสียอย่าให้มันคงอยู่

    วิธีการเข้าถึงสมาธิแต่ละวิธีเป็นการทำให้จิตมีอุบายออกจากความคิดที่ครอบงำ ใครชำนาญแบบไหนก็ไปฝึกไปตามวิธีนั้นๆ ในที่สุดเมื่อเข้าถึงสมาธิได้บ่อยๆ ย่อมไม่จำเป็นต้องใช้อุบายกรรมฐานใดๆ เมื่อจิตทิ้งสมมติบัญญัติต่างๆ ไม่มีความคิดครอบงำ เป็นจิตที่มีความเป็นเดิมแท้ มีประภัสสร คืออาการเดิมของจิต เช่น ก่อนที่เราจะไปยึดมั่นถือมั่นเอาไว้ ออกจากความคิด เมื่อจิตหยุดคิดเรียกว่าว่าง ไม่มีความเป็นเจ้าของสิ่งต่างๆ จิตย่อมเข้าสู่ความเป็นอิสระ การบรรลุธรรมด้วยจิตที่ว่างเป็นธรรมะที่รู้จริง เกิดปัญญารู้แจ้ง แตกต่างจากการอ่านหรือการฟัง เพราะเป็นการเข้าสู่ภาวะของจิตเดิมแท้อย่างแท้จริง.



ที่มา http://www.thaipost.net/tabloid/301114/99688 (http://www.thaipost.net/tabloid/301114/99688)